“ท่านอาสะใภ้ ดูข้านะ” เสียงใสขององค์ชายหนึ่งนาม หมิงต้าวหยี่ เอ่ยขึ้นก่อนรีบวิ่งไปหยิบห่วงวงกลมชูขึ้น
“มาเลยอาซื่อ!”
ทันใดนั้น สุนัขตัวใหญ่ก็วิ่งกระโดดเข้าห่วงข้ามมาอีกฝั่งหนึ่ง หมิงต้าวหยี่น้อยหันมายิ้มปริราวกับคาดหวังสิ่งใดอยู่
“เก่งมากเลยเพคะองค์ชายใหญ่”
“ฮาฮ่า จริงหรือขอรับท่านอาสะใภ้ อาซื่อเอาอีกๆ โชว์ท่านอาสะใภ้อีก” เสียงกระตือรือร้นของเด็กน้อยเรียกรอยยิ้มจากหวางเฟยได้มากเลยทีเดียว โจวผินซีอมยิ้มเล็กน้อยก่อนจะลูบหัวองค์ชายใหญ่เบาๆ อย่างเอ็นดู
“องค์ชายใหญ่ใกล้ถึงเวลาทานข้าวแล้ว เราพักทานกันก่อนดีกว่าไหมเพคะ”
“ท่านอาสะใภ้หิวแล้วหรือขอรับ” โจวผินซียิ้มน้อยๆ เป็นคำตอบ
“เพ่ยหูรีบไปเอาสำรับมาเร็ว!”
“เช่นนั้นท่านอาสะใภ้ไปนั่งรอที่ศาลากันเถอะขอรับ” เอ่ยแล้วจูงมืออันอ่อนนุ่มของอีกฝ่ายไปที่ศาลาริมสระบัว ที่วันนี้โจวผินซีมาอยู่ที่วังหลวงได้เพราะ จูฮองเฮา กล่าวขอให้มาเป็นเพื่อนเล่นกับองค์ชายใหญ่ เหตุเพราะองค์ชายใหญ่โปรดนางมาก
เฮ้อ งงงานไม่ได้ทำเลยสักเสี้ยวน้อย ปกติก็ต้องเอาตัวรอดในวังอ๋องมาหนนี้โดนองค์ชายหมายหัวไว้อีก
ไม่รู้ป่านนี้พวกในกองสืบจะเป็นอย่างไรบ้าง เพราะเขามาติดอยู่ที่แคว้นหมิงได้ราวๆ สามเดือนแล้ว วันๆ ก็ต้องหลบภัยจากสวามีจอมเจ้าเล่ห์ ไฉนยังต้องมาปวดกบาลกับหลายสิ่งอีก ทว่าการได้มาอยู่กับเด็กคนนี้ก็ดีเหมือนกัน คิดแล้วก็มองใบหน้านวลของเด็กชายที่นั่งข้างๆ กันอย่างพินิจ หมิงต้าวหยี่รู้สึกตัวแล้วหันมายิ้มหวานให้เขา “ท่านอาสะใภ้มีอันใดติดหน้าข้าหรือ”
“เปล่าเพคะ ไม่มี”
“ท่านอาสะใภ้….”
“สำรับพร้อมแล้วพ่ะย่ะค่ะ” องค์ชายใหญ่ยังไม่ทันเอ่ยจบก็โดนแทรกโดยเพ่ยหู ขันทีวัยกลางคนเดินมาพร้อมกับขบวนนางข้าหลวงในมือของพวกนางมีสำรับอาหารอยู่กันครบทุกคน
โจวผินซีส่ายหัวเนือยๆ
นี่กินกันแค่สองคนนะ เอามาซะเหมือนกินกันเป็นสิบ!
พอวางสำรับไว้บนโต๊ะม้าหิน ก่อนเพ่ยหูจะใช้เข็มเงินตรวจพิษ และพากันออกไปยืนอยู่ห่างๆ
“ท่านอาสะใภ้เชิญทานเลยขอรับ”
“เพคะ องค์ชายใหญ่เองก็ทานด้วยกันนะเพคะ”
“ขอรับ” เอ่ยแล้วหยิบตะเกียบคีบอาหารนั่นนี้ใส่ถ้วยให้ท่านอาสะใภ้อย่างตั้งอกตั้งใจ จนเจ้าตัวอดยิ้มไม่ได้
“องค์ชายใหญ่เพคะ ทานด้วยสิเพคะ มิใช่คีบให้แต่หม่อมฉันอย่างเดียว” องค์ชายยิ้มเป็นคำตอบ แต่ก็ยังไม่ยอมกินด้วยเสียที โจวผินซีจึงหมดทางเลือกคีบเนื้อหมูยื่นให้ปากเล็ก องค์ชายใหญ่ตะลึงชั่วครู่ก่อนจะยอมอ้าปากรับเนื้อหมูเข้าไปเคี้ยวตุ้ยๆ
“อร่อยมากเลยขอรับท่านอาสะใภ้!”
เจ้าเด็กนี่อย่างกับว่ากำลังเกี้ยวข้าอยู่อย่างนั้นแหละ
“เพคะๆ เช่นนั้นก็ทานต่อสิเพคะ”
“ท่านอาสะใภ้ป้อนข้าอีก”
“หืม องค์ชายใหญ่ตอนนี้กี่ชันษาแล้วเพคะ” องค์ชายใหญ่เลิกคิ้ว
“สิบเอ็ด ข้าอายุสิบเอ็ดขอรับทำไมหรือ”
“ก็โตแล้วนะเพคะ เหตุใดต้องให้หม่อมฉันป้อนด้วยล่ะเพคะ” ว่าแล้วยิ้มล้อเด็กน้อยนิดๆ
“ท่านอาสะใภ้ป้อนต้าวเอ๋อร์ด้วยนะ นะขอรับ” มาแล้วสินะ ลูกอ้อนนี่ โจวผินซีพยายามหลบตา……
“อื้อ อร่อยมากขอรับ” ท้ายสุดแล้ว โจวผินซีก็จำใจป้อนเพราะทนต่อลูกอ้อนไม่ไหว แล้วคราวนี้ยังมีสลับกันป้อนอีก
“เพคะๆ”
“ท่านอาสะใภ้อ้ามม”
ในที่สุดก็หมดช่วงเวลาความทรมานมาได้ ทรมานที่ว่าคือโดนองค์ชายตัวแสบยัดข้าวยัดขนมให้กินจนจุกท้อง
ชักอยากจะอาเจียนแล้วสิ
แน่นท้อง….
“ท่านอาสะใภ้...ท่านเป็นอะไรขอรับ” เห็นคนข้างกายมีสีหน้าไม่ดี หมิงต้าวหยี่จึงเอ่ยถามขึ้นมาพลางยื่นมือไปประคองร่างที่ใหญ่กว่าเล็กน้อย
“หม่อมฉันปวดท้องเพคะ” ไม่ไหวแล้ว โจวผินซีทรุดตัวลงกับพื้นเมื่อพูดจบทำองค์ชายใหญ่ตกใจรีบลงประคองไว้ไม่ให้หัวตกพื้น
“เพ่ยหูตามหมอหลวงที!”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
ผ่านไปไม่ถึงเค่อ หมอหลวงวัยชราก็เดินเร็วมาที่ตำหนักขององค์ชายใหญ่ เมื่อมาถึงก็เห็นหวางเฟยอ๋องสามกำลังนอนขดตัวอยู่บนเตียงไม้หรู สีหน้าย่ำแย่มาก
“ถวายบังคมองค์ชายใหญ่และโจวหวางเฟยพ่ะย่ะค่ะ”
“อย่ามากพิธี รีบมาดูท่านอาสะใภ้เร็ว” หมอหลวงรีบเข้าไปจับข้อมือตรวจชีพจร เขานิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะยิ้มน้อยๆ ออกมา
“ยินดีด้วยพ่ะย่ะค่ะ หวางเฟยทรงพระครรภ์พ่ะย่ะค่ะ”
!!!
“อ เอ่อหมอหลวง อึก” เจ็บ โจวผินซีขดตัวระคลายความปวดแน่นเพราะของกินที่เพิ่งโดนยัดมาไม่นาน ก่อนองค์ชายใหญ่จะชิงพูดก่อน “ทรงพระครรภ์แล้ว ท่านหมอไม่ได้ตรวจผิดใช่หรือไม่”
“ไม่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมขอเอาศีรษะเป็นประกัน”
เฮ้ยๆ เจ้าหมอหลวงนี่เดี๋ยวคอก็ได้หลุดจากบ่าจริงๆ หรอก
หมิงต้าวหยี่สะบัดหน้ามาทางเขา พลางประคองมือเบาๆ
“ท่านอาสะใภ้ ท่านเจ็บปวดท้องเพราะทรงครรภ์ เช่นนั้นมันจะไม่เป็นอะไรกับท่านแน่หรือ…”
“หากว่ามันอันตราย…”
“ไม่เป็นไรเพคะ องค์ชายใหญ่อย่างไรก็เป็นบุตรของหม่อมฉันกับท่านอ๋อง”
“....” หลังจากตีเนียนตามน้ำหมอหลวงเฒ่า องค์ชายใหญ่ก็หาได้ตอบเขา ทั้งยังทำสีหน้าไร้อารมณ์ใส่อีกก่อนจะเดินออกไปจากตำหนัก
อะไร ข้าทำอะไรผิด!?