“อื้อ อย่าเลียข้า เจ้าอ๋องหื่นกาม!” โจวผินซีพ่นคำด่าทอออกมาต่อเนื่องไม่ยอมหยุดปาก เสียงครางปะปนกันไปก็ยังไม่ยอมสงบ หมิงซ่งเหยียนยิ่งได้ใจที่ชายาบุรุษของเขาไม่พอใจ
“ตรงไหนหรือ เอ๊ะ หรือตรงนี้” หมิงซ่งเหยียนเย้าชายาตัวน้อยเล่นด้วยการโลมเลียยอดอกสีสวยไปมาทีละข้าง โจวผินซีเชิดหน้าขึ้นกัดปากจนเลือดซึมเล็กน้อย
‘ข้าจะต้องโดนทลายเอกราชจริงๆ หรือ’
“อ้า! หยุดนะเจ้าอ๋องลูกเต่านี่” เมื่อรวบรวมแรงสุดท้ายก็ฮึดใช้มันอย่างไม่คิดหน้าหลัง แต่สุดท้ายก็ไม่ทันได้ทำอะไร มือทั้งสองที่กำหมัดขึ้นมาก็ต้องราบเรียบไปกับเตียงอีกครั้งเพราะแรงที่มากกว่าของคนด้านบน
“อ๋องลูกเต่ารึ น่าสนใจๆ” กล่าวแล้วก็เลื่อนมือหนาลงไปยังช่องทางหลังของเขา ก่อนจะสัมผัสถึงสิ่งแปลกปลอมที่มันกำลังเข้ามาภายในตัว
“อึก จะ เจ็บข้าเจ็บ” ชายาตัวน้อยร้องครางอย่างน่าสงสาร ยิ่งสร้างความพอใจให้แก่ซ่งเหยียนขึ้นไปอีก แม้เป็นบุรุษแต่เสียงกลับไพเราะนัก
หมิงซ่งเหยียนดึงสายรัดม่านออกมาก่อนจะบรรจงมัดไปที่ข้อมือขาวผ่อง และยกเรียวขางามขึ้นพาดบ่าตนไว้
“อ่ะ! จะ เจ้าจะทำอันใด” โจวผินซีตะโกนออกมาเสียงดังลั่น เกรงว่าคงได้ยินไปทั้งจวนแล้วกระมัง แต่กระนั้นเองหมิงซ่งเหยียนก็หาได้สนใจไม่ เขาจับแท่นมังกรรูดรั้งเบาๆ ก่อนจะถูไถมันที่ขานุ่มนิ่มของชายา
“เจ้าอ๋องวิปริต! ปล่อยข้านะ” ยิ่งได้ฟังคำด่าทอยิ่งรู้สึกเร้าอารมณ์อย่างบอกไม่ถูก หรือเขาอาจจะวิปริตอย่างที่ชายากล่าวก็เป็นได้
หมิงซ่งเหยียนพอแท่นมังกรเริ่มได้ที่ก็จ่อมันไปที่ปากทางรักสีสดและค่อยๆ ดันมันเข้าไปข้างในกายของชายาตัวน้อยที่กำลังดี้ดดิ้นอยู่ด้านล่าง เมื่อมันค่อยๆ เข้าไปได้ใบหน้างามที่อยู่ใต้ร่างเขาก็นองไปด้วยน้ำตา ทั้งยังร้องไห้ทั้งยังด่าทออยู่เรื่อยๆ
“ฮึ่ก ปะ ปล่อยข้านะ อ้า! เจ็บๆ เอาออกไปนะเจ้าอ๋องวิปริตนี่”
“หยุดนะ อึก เจ็บข้าเจ็บ”
หมิงซ่งเหยียนไม่ได้สนใจทั้งยังพยายามดันเข้าไปจนสุด เมื่อมิดแท่นแล้วก็บรรจงกระทั่นกระแทกเข้าไปอย่างรุนแรงจนเตียงไม้อย่างดีสั่นโยก มือบางของคนงามก็คอยจิกเล็บที่หลังของเขาอย่างปลดปล่อยอารมณ์ แขนบางคล้องไว้ที่คอเขาทั้งที่โดนมัดเชือกไว้
เสียงครางปะปนกับเสียงเนื้อกระทบกันอยู่พักใหญ่โดยไม่ใส่ใจว่าเหล่าบ่าวไพร่ข้างนอกกำลังมุงแอบฟังเสียงร่วมรักของผู้เป็นนายทั้งสอง ดุเดือดจริงๆ
สองชั่วยามผ่านไป
ร่างบางของโจวผินซีนอนนิ่งอยู่บนเตียงใหญ่ ทั้งตัวเต็มไปด้วยรอยจุมพิตและคาบน้ำกามสีขาวของสวามีที่ตอนนี้กำลังนั่งหน้าชื่นมื้นอยู่ข้างๆ มือหนาลูบเส้นผมสีน้ำตาลเบาๆ ราวกลัวว่ามันจะพังทลาย
“อื้อ” โจวผินซีครางในลำคอเบาๆ ก่อนจะลืมตาขึ้นมา ก็ถลึงตาใส่สวามีของตนทันที
“เจ้า!”
หมิงซ่งเหยียนยิ้มรับหน้าชื้น “ว่าอย่างไรผินเอ๋อร์”
“ยะ อย่ามาเรียกข้าว่าผินเอ๋อร์นะ!” โจวผินซียังนอนด่าเพราะลุกไม่ไหว
“เช่นนั้นเรียกยอดรักดีหรือไม่” !!!
“หวางเฟยเพคะ…” ฉางเอ๋อร์นั่งกอดเข่าผู้เป็นนายที่ยามนี้ใบหน้างามบึ้งตึง โจวผินซีกัดฟันดังกรอดๆ ยิ่งคิดถึงเรื่องเมื่อวันซีนแล้วก็ยิ่งคับแค้น ตั้งแต่วันนั้นมาเจ้าอ๋องสามก็เหมือนจะเพิ่มความน่ารำคาญเป็นสองเท่าตัว
“หวางเฟย” เหมยลี่เรียกบ้างพลางยื่นมือไปแตะขาผู้เป็นนายบ้าง ตั้งแต่วันที่หวางเฟยและนางโดนลงโทษ หวางเฟยก็ดูจะอารมณ์เสียอยู่ตลอดเวลา
“เฮ้อ จะเรียกอะไรกันนักหนาเล่า”
“ก็หวางเฟยดูอารมณ์ไม่ดีนี่เพคะ” ฉางเอ๋อร์
“หวางเฟยปล่อยวางโทสะเถิดเพคะ”
“อึก เจ้าก็ดูสิอ๋องนั่นทำกับข้าเช่นนี้”โจวผินซีเลือกใช้คำพูดเป็นกันเองกับบ่าวสาว
“น่าเพคะ วันนี้เราไปหาอะไรสนุกๆ เล่นกันดีไหมเพคะ” เหมยลี่ยิ้มแก้มปริ ก่อนจะลากแขนโจวผินซีแล้วพากันวิ่งออกจากตำหนักสามคนนายบ่าว ความสัมพันธ์ของโจวผินซีและบ่าวตัวน้อยทั้งสองดีขึ้นเข้าขั้นสนิทใจตั้งแต่ที่โดนลงโทษเมื่อวานซีน เวลานี้ภาพของคนทั้งสามจึงดูราวกับเด็กเล่นกันสนุกสนาน เหมือนว่ากำลังหาเรื่องซนเล่นกันอยู่
หมิงซ่งเหยียนยืนพิงต้นไม้มองดูชายาบุรุษที่ตอนนี้เริ่มยิ้มออกแล้ว หึหึ น่ารักเสียจริงนะ
ไหนมาดูสิว่าสายสืบของแคว้นจ้าวจะเก่งกาจแค่ไหนกันเชียว