“คุณหนูมีงานเช้าเหรอคะ ให้ป้าเตรียมอาหารให้เลยไหมคะ?”
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวเอวาไปหาทานข้างนอก ว่าแต่คุณแม่ยังไม่ลงมาอีกเหรอคะ?”
“ค่ะ เมื่อวานท่านคงเหนื่อย”
“งั้นเดี๋ยวป้าละเมียดช่วยทำข้าวต้มปลาไว้ให้คุณแม่ทีนะคะ เอวาจะขึ้นไปดูสักหน่อย”
พูดจบเอวาก็เดินกลับขึ้นไปบนบ้าน เมื่อปกติแล้วคุณตราดานั้นตื่นเช้าเสมอ แต่ดูท่าวันนี้จะเหนื่อย เธออยากที่จะแน่ใจว่ามารดาไม่ได้ป่วยก่อนจะออกไปทำงาน เพราะเธอนัดคุณหมอให้เข้ามาดูอาการของคุณตราดาในช่วงบ่ายเรียบร้อยแล้ว
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“คุณแม่คะ ตื่นรึยังคะคุณแม่”
เธอเดินขึ้นมาเคาะประตูห้องนอนของคุณตราดา แต่กลับไม่มีเสียงตอบรับ ทำเอาเอวาเริ่มกังวลรีบเปิดประตูเข้าไป
“คุณแม่คะ คุณแม่...”
เธอเข้าไปนั่งลงข้างเตียงแล้วจับแขนของคุณตราดาเพื่อปลุก แต่พอสัมผัสแขนของคนที่นอนหลับอยู่ เอวาถึงกับขนลุกซู่ไปทั้งตัว ร่างบางแข็งทื่อเมื่อความเย็นยะเยือกไหลผ่านมือของเธอขึ้นมา
“คุณแม่...ฮึก...คุณแม่คะ ตื่นได้แล้วค่ะคุณแม่ ฮึก...”
เสียงเรียกที่เริ่มสั่นพยายามกลั้นก้อนสะอื้นที่มันจุกอกขึ้นมาเอาไว้แล้วเขย่าเรียก แต่กลับไร้การตอบกลับเมื่อตอนนี้เหลือเพียงร่างไร้ลมหายใจที่นอนอยู่
“คุณแม่ ฮื่อๆๆๆๆๆ คุณแม่คะ ตื่นขึ้นมาสิคะคุณแม่ ฮื่อๆๆๆ คุณแม่ ฮื่อๆๆๆๆ คุณแม่ ฮื่อๆๆ”
เอวาถึงกับสั่นเทาพยายามร้องเรียกคุณตราดา จนคนรับใช้และแม่บ้านต่างวิ่งกรูกันขึ้นมาตามเสียงที่ได้ยิน
“คุณหนูคะ เกิดอะไรขึ้น...”
ป้าละเมียดที่ยังถือตะหลิวอยู่ในมือถามขึ้นพร้อมกับหันไปมองเอวาที่กอดร่างไร้วิญญาณของคุณตราดาร้องไห้เหมือนจะขาดใจตาย ก่อนที่ทุกคนจะเริ่มเข้าใจสถานการณ์ จากนั้นทั้งห้องก็ดังไปด้วยเสียงร้องไห้ เมื่อเจ้านายได้ลาจากโลกใบนี้ไปแล้ว
จากนั้นงานชาปนกิจศพของคุณตราดาก็ถูกจัดขึ้นที่วัดโดยจอมทัพเป็นคนจัดการให้ทั้งหมดเมื่อเอวาแทบไม่มีสติอยู่กับเนื้อกับตัวเอาแต่นั่งร้องไห้จนสองตาบวมเป่งดูน่าสงสาร
“ได้ยินว่ามีลูกชาย แล้วทำไมยังไม่มาอีกล่ะหรือที่เคยได้ยินมาจะเป็นเรื่องจริง”
คนในงานที่มาไว้อาลัยต่างถามหาลูกชายคนเดียวของคุณตราดา
“เห็นว่าแทบจะตัดขาดกันไปแล้ว...แต่ก็นะ แม่ตายทั้งคนจะไม่มาเลยก็ใจดำเกินไป”
“นั่นสิ สงสารคุณตราดาจริงๆ”
เสียงซุบซิบนินทาดังขึ้นไม่หยุด ยิ่งทำให้เอวาเสียใจกับสิ่งที่เธอทำไม่สำเร็จ แค่เพียงอย่างเดียวที่มารดาต้องการเธอกลับทำให้ไม่ได้ เธอเริ่มร้องไห้ตัวโยนอีกครั้งจนจอมทัพต้องรีบเข้ามากอดปลอบ
“เอวา...พอเถอะนะเดี๋ยวคุณป้าจะไปไม่สงบ หยุดร้องไห้เถอะ”
จอมทัพที่ไม่อยากให้เอวาเป็นอะไรตามคุณตราดาไปอีกคนพยายามพูดให้เอวาทำใจกับการจากไปของคุณตราดา ถึงแม้จะรู้ว่ามันยากแต่คนตายไปแล้วจะให้ปลุกให้ฟื้นคืนชีพคงเป็นไปไม่ได้
“แกว่ายังไงนะ??...นี่มัน...เรื่องบ้าอะไรกัน...”
ทางด้านอดัมที่พึ่งได้รับรายงานจากลูกน้องถึงการจากไปของคุณตราดาถึงกับแทบหมดแรง ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องในวันเดียวกันแบบนี้
“แล้วจะเอายังไงกับนายหัวดีครับ...เราต้องบอก...”
“เดี๋ยวฉันจัดการเอง ตอนนี้นายหัวเจ็บหนัก...อาจไม่ดีถ้าต้อง...”
“บอกมา...อ๊าก! มีเรื่องอะไร”
ยังพูดไม่ทันจบ ร่างใหญ่ที่เต็มไปด้วยผ้าพันแผลก็เดินเปลือยท่อนบนออกมาจากห้องพักฟื้น เมื่อเขาไม่ชอบเลยจริงๆที่ต้องมาอยู่ที่โรงพยาบาลแบบนี้
“นายหัว! จะลุกมาทำไมครับ เดี๋ยวแผลก็ฉีกอีก”
อดัมถึงกับตกใจ เพราะก่อนหน้านั้นแผลก็เปิดไปแล้วรอบนึงกับความดื้อรั้นของเพลิงตะวันที่เอาแต่จะกลับเหมือง
“หุบปากแล้วบอกมาว่าเกิดอะไรขึ้น”
แต่เพลิงตะวันไม่สนใจ ถามเรื่องที่ลูกน้องพยายามปกปิดเขาอยู่
“เอ่อ นายหัว เอ่อ คุณท่าน...”
อดัมที่ไม่รู้จะบอกยังไงได้แต่อ้ำอึ้ง
“ถ้าเรื่องนั้นก็ไม่ต้องพูด ไปบอกให้คนเอารถออก ฉันจะกลับเหมือง”
เพลิงตะวันสั่งขึ้นพร้อมเดินกุมแผลที่เต็มไปด้วยอาการเจ็บ เพราะต้องผ่าตัดเอากระสุนออกและให้เลือดเขาถึงพ้นขีดอันตรายมาได้
“คุณท่านเสียแล้วครับ...”
“................”
คนที่กำลังจะกาวเดินถึงกับหยุดนิ่งไปทันที เมื่อประโยคที่พึ่งได้ยินเหมือนกับฟ้าฟาดลงมากลางตัวของเขาอย่างจัง เขาค่อยๆหันไปมองอดัม พร้อมสายตาแข็งกร้าว
“แกพูดว่ายังไงนะ”
“คุณท่านครับ...คุณท่าเสียชีวิตเมื่อเช้านี้ครับ”
อดัมบอกขึ้นพร้อมกับก้มหน้าหลบ เพราะถึงแม้เขาจะรู้ว่าเพลิงตะวันเฉยเมยต่อผู้เป็นแม่มาโดยตลอดแต่ความจริงแล้วมันเกิดจากความเสียใจไม่ใช่ความเกลียดชัง
ส่วนเพลิงตะวัน จากแผลถูกยิงที่ว่าเจ็บมากแล้วกลับเทียบไม่ได้เลยกับความเป็นจริงที่ว่ามารดาของเขาได้จากเขาไปแล้ว ซึ่งการลาจากครั้งนี้ไม่ใช่แค่ไปที่ไหนสักที่แต่กลับเป็นการลาจากตลอดกาล พลันสองตาคมก็แดงก่ำ เขาเริ่มก้าวเดินต่อไปโดยไร้ซึ่งอาการเจ็บปวดที่แผล เมื่อในหัวใจตอนนี้มันเจ็บปวดยิ่งกว่า
“นั่นใครน่ะ...ทำไมถึง...”
ทุกคนในงานต่างมองมาที่แขกที่พึ่งมาถึงอย่างแปลกใจระคนตกใจ เมื่อร่างกายแขกที่พึ่งมาถึงงานดูทรุดโทรมอย่างเห็นได้ชัด
“ถอยไปฉันเดินเองได้...”
เสียงอันแหบแห้งสั่งขึ้น เมื่อพวกลูกน้องของเขาพยายามเข้ามาพยุงร่างสูงใหญ่ที่บาดเจ็บสาหัสทั้งทางกายและทางใจในตอนนี้ แต่เพลิงตะวันกลับไม่ยอมเมื่อเขาต้องการยืนหยัดเดินด้วยตัวเอง
“สวัสดีครับ คุณมาเคารพ...”
จอมทัพที่เดินออกมาต้อนรับแขกถึงพูดไม่ออกเมื่ออีกฝ่ายไม่สนใจคำพูดของเขาเลยสักนิด แถมเดินเลยเขาไปเหมือนเขานั้นไร้ตัวตน
เพลิงตะวันเดินตรงเข้ามาหยุดยืนต่อหน้าโลงศพของคุณตราดาที่ประดับตกแต่งไปด้วยดอกไม้สีชมพูที่เขาจำได้ว่าเป็นสีโปรดของมารดา
“คุณ...ฮึก ทำไมพึ่งมา ฮื่อๆๆๆๆ ทำไม ฮื่อๆๆๆๆ ทำไม! ทำไม! ทำไม!!!!”
เอวาที่พึ่งเดินกลับออกมาจากห้องน้ำเจอเข้ากับร่างสูงของเพลิงตะวัน เธอมองเขาแค่แว๊บแรกก็จำได้ในทันทีเมื่อเขานั้นหน้าตาไม่ต่างจากรูปที่คุณตราดาวางประดับเอาไว้ในห้องเลยสักนิด
และจากนั้นทุกคนในงานก็ต่างตกใจกับการปรากฏตัวของเพลิงตะวัน จอมทัพรีบเดินเข้ามาจับเอวาเอาไว้เพราะเห็นว่าเธอกำลังเดินตรงเข้าไปหาเพลิงตะวัน
“เอวา ใจเย็นๆก่อนนะ คนอื่นกำลังมองอยู่”
“เอวาไม่สน!! ฮื่อๆๆๆ ทำไมเขาถึงมาเอาป่านนี้ ฮื่อๆๆๆ ทำไมไม่มาให้เร็วกว่านี้ รู้ไหมคุณแม่เฝ้ารอคุณมานานแค่ไหน ฮื่อๆๆๆๆ”
เอวาเอาแต่ต่อว่าด้วยน้ำตา เธอเสียใจเหลือเกินจนจอมทัพต้องกอดเธอเอาไว้แน่น
ส่วนเพลิงตะวัน เขาไม่ได้พูดอะไรออกมาเลยสักคำ สองตาแดงก่ำแต่ไร้ซึ่งน้ำตาเมื่อมันหยดลงไปในหัวใจอันแข็งกระด้างของเขาจนหมดสิ้นแล้ว
‘ทำไม...ไหนบอกว่าจะอยู่รอจนกว่าผมจะให้อภัยไง...ทำไมถึงจากไปทั้งๆที่ผมยังไม่ให้อภัยแบบนี้ ทำไม!’
เพลิงตะวันต่อว่ามารดาในใจคนเดียวเงียบๆ สองมือกำเข้าหากันแน่นอย่างพยายามอดทน เขามองจ้องรูปภาพที่ยิ้มกว้างของคนที่จากไปด้วยหัวใจบอบช้ำ นานเท่าไหร่แล้วที่เขาไม่ได้เห็นมัน
“นี่เหรอลูกชายของคุณตราดา ดูสิ มางานศพแม่ทั้งที น้ำตาก็ไม่มีสักหยด หึ!”
“ใช่ นี่ถ้าไม่ตายคงไม่มา”
“นั่นสิ ลูกอะไรใจดำขนาดนี้”
“เป็นแบบนี้ไม่มายังดีกว่า”
“เสียใจแทนคนตาย”
เสียงคนรอบข้างพูดขึ้นอย่างไม่คิดปิดบังเมื่อใครๆต่างก็รู้ว่าคุณตราดาเป็นคนดีแค่ไหน แต่กลับต้องมาทนทุกข์เพียงเพราะลูกชายไม่เคยมาดูดำดูดีเลยสักครั้งตั้งแต่ไปอยู่กับบิดาที่หย่าขาดกันไป