“นายหัวครับ เอ่อ พอดีมีสายเข้าจากคุณ...”
“ฉันไม่ว่าง ให้คนไปส่งเธอด้วย”
พอเดินออกมานอกห้อง อดัมที่ยืนทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกก็เดินถือโทรศัพท์เข้ามาหาเจ้านายหนุ่ม แต่ยังไม่ทันที่จะได้รายงานอะไรเพลิงตะวันกลับปฏิเสธอย่างไม่คิดถามทันที ทำเอาคนที่ถือสายรอนานเกือบครึ่งชั่วโมงต้องกดวางสายอย่างนึกโมโห
“ทำไมไร้มารยาทอย่างนี้!...เฮ้ออออ ทำยังไงดี”
เอวาอดต่อว่าออกมาไม่ได้ เพราะกว่าเธอจะตัดสินใจโทรไปได้ก็ใช้เวลาเกือบชั่วโมง ไม่รวมตั้งแต่ที่ได้เบอร์นี้มาก็รวมๆแล้วหลายปีเลยทีเดียว
“แล้วจะบอกคุณแม่ว่ายังไง ท่านคงผิดหวังอีก...”
เอวาได้แต่ทำหน้าเศร้าเมื่อนี่เป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่คุณตราดาขอร้องเรื่องเพลิงตะวัน แล้วเธอกลับถูกปฏิเสธทั้งๆที่ยังไม่ได้คุยกับเขาแบบนี้หรือควรพยายามอีกนิด...
และพอคิดได้แบบนั้นเอวาก็กดโทรออกไปยังเบอร์เดิมอีกครั้ง แต่กลับไม่มีคนรับสาย เธอพยายามกดโทรออกอยู่หลายครั้งจนยอมแพ้ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นส่งข้อความไปแทน
‘สวัสดีค่ะ นี่ฉันเอวา เป็นลูกบุญธรรมของคุณตราดา แม่แท้ๆของคุณ ฉันมีเรื่องอยากขอร้อง พรุ่งนี้เป็นวันเกิดท่าน คุณมาหาท่านได้ไหม ตอนนี้ท่านไม่ค่อยสบายและอยากเจอหน้าคุณ เห็นแก่ความเป็นแม่ลูกเถอะนะคะ ช่วยมาเยี่ยมท่านสักครั้ง ถือว่าฉันขอร้อง’
และเอวาก็กดส่งไปโดยไม่รู้เลยว่าเขาจะเปิดอ่านหรือลบทิ้ง แต่นี่คงเป็นวิธีสุดท้ายแล้วที่เธอจะสามารถทำตามคำขอร้องของคุณตราดาได้
“นายหัวครับ มีข้อความส่งมา น่าจะมาจากคุณท่าน...”
“ปล่อยไป เตรียมคนให้พร้อม”
และเพลิงตะวันก็ไม่สนใจในสิ่งที่อาจเกี่ยวข้องกับมารดาของเขาอีก เมื่อเป็นมารดาที่ทอดทิ้งเขาและบิดาของเขาไป
เช้าวันต่อมา งานวันเกิดอายุครบ 65 ของคุณตราดาก็ถูกจัดขึ้นอย่างแสนอบอุ่น เมื่อมีทั้งญาติพี่น้องและเพื่อนสนิทมาร่วมทานอาหารกันอย่างครึกครื้น ทุกคนเลี่ยงที่จะถามหาเพลิงตะวันเมื่อต่างก็รู้ถึงเหตุการณ์รุนแรงที่เคยเกิดขึ้น แต่ถึงแม้จะทำตัวให้มีความสุขขนาดไหนแต่คุณตราดากลับซ่อนความเศร้าสร้อยเอาไว้ไม่มิด
“เหนื่อยไหมคะคุณแม่ ไปพักก่อนไหม”
เอวาเดินเข้ามาถามเมื่อเห็นท่าทางโรยแรงของมารดา
“อือ แม่ทนได้...แล้วเรื่องนั้น...”
พอเจอคำถามที่ไม่อยากได้ยินเอวาถึงกับทำสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก เพราะเธอเองก็กำลังรอการตอบกลับจากเพลิงตะวันอยู่
“ค่ะ เขาน่าจะยุ่ง เอาไว้เอวาจะโทรหาเขาอีกครั้งนะคะ”
“.............”
พอได้ยินแบบนั้นคุณตราดาถึงกับเงียบไปทันที เธอรู้สึกเหมือนกับว่าเวลาชีวิตของเธอเหลือน้อยจนกลัวว่ามันอาจหมดไปอย่างไม่ทันให้เธอได้เอ่ยลา จนกระทั่งงานเลี้ยงจบลงก็ยังไม่มีการติดต่อกลับมาจากเพลิงตะวัน
“ฝันดีนะคะคุณแม่ วันนี้คุณแม่คงเหนื่อยมาก เอาไว้พรุ่งนี้เอวาจะทำขนมหวานที่คุณแม่ชอบให้ทานนะคะ”
เอวาเอ่ยขึ้นเมื่อพามารดาขึ้นมาส่งยังห้องนอนโดยมีจอมทัพยืนอยู่ข้างกายและเป็นคนพยุงคุณตราดาขึ้นมาบนห้อง
“เอวา...แม่เหนื่อยจังเลยลูก...”
“ค่ะ คุณแม่พักผ่อนนะคะ”
“แม่รักเอวานะลูก...แม่ฝากดูแลเอวาด้วยนะ...”
คุณตราดาที่โรยแรงเอ่ยขึ้นพร้อมหันไปมองจอมทัพด้วยรอยยิ้มน้อยๆ เมื่อทั้งสองคบกันนั้นอยู่ในสายตาเธอมาตลอด และเธอคิดว่าเธอสามารถฝากฝังเอวาไว้กับจอมทัพได้
“พูดอะไรแบบนั้นคะเอวาจะอยู่กับคุณแม่ คุณแม่ต้องคอยดูแลเอวาตลอดไปเลยนะคะ”
“.................”
คุณตราดาไม่ได้พูดอะไร เธอเอาแต่มองเอวาด้วยสายตารักใคร่เอ็นดู เด็กน้อยแสนน่ารักในวันนั้นโตขึ้นมาเป็นสาวสวยสะพรั่งและทำให้เธอมีความสุขทั้งๆที่ความสุขของเธอเคยหายไปตั้งแต่ต้องแยกจากลูกชายคนเดียวอย่างเพลิงตะวันแล้ว
“ไปเถอะ แม่คงต้องพักจริงๆแล้ว...”
เอวายกผ้าห่มขึ้นมาห่มให้ก่อนจะก้มลงหอมแก้มอันเหี่ยวย่นของคุณตราแล้วเดินออกมาเพื่อให้คุณตราดาได้พักผ่อน เมื่อช่วงหลังๆมานี้คุณตราดาดูอ่อนแรงจนเธอรู้สึกกลัว
“มีอะไรรึเปล่า?”
จอมทัพที่เห็นเอวาเงียบกว่าปกติและสีหน้าซีดเผือดนั่นอีกเลยเอ่ยถามออกมา
“เอวาเป็นห่วงคุณแม่จังเลยค่ะ...เอวาไปอยู่กับท่านดีกว่าไหมคะ”
เอวาบอกขึ้นพร้อมหันหลังกลับเพื่อจะเดินเข้าไปในห้องของคุณตราดาอีกครั้ง
“ให้คุณป้าได้พักผ่อนเถอะ เผื่อเอวาอยู่ด้วยแล้วท่านไม่หลับจะยิ่งแย่เอานะ”
“งั้นเหรอคะ...งั้นเดี๋ยวเอวาต้องโทรไปหาคุณอาหมอให้มาดูอาการคุณแม่พรุ่งนี้ เอวาไม่สบายใจเลยค่ะพี่จอมทัพ”
จอมทัพมองความกังวลในใบหน้าของเอวาอย่างเข้าใจ ก่อนจะดึงร่างบางเข้ามากอดเอาไว้
“คุณป้าต้องอายุยืนนานรอดูเราแต่งงานรวมถึงรอเลี้ยงลูกๆของเราด้วย อย่าเป็นห่วงเลยนะ”
“................”
ถึงจะได้ยินแบบนั้นแต่เอวากลับไม่ได้รู้สึกสบายใจขึ้นเลยสักนิด เธอกังวลเหลือเกิน
“นายหัวออกไปก่อนเถอะครับ! เดี๋ยวทางนี้เราจัดการเอง”
ทางด้านเพลิงตะวันที่ตอนนี้กำลังอยู่ในสงครามระหว่างผู้มีอิทธิพลสองถิ่นที่กำลังแย่งพื้นที่กันเป็นใหญ่ และตอนนี้เขาก็ถูกยิงที่ท้องจนเจ็บหนักแต่เขากลับไม่ยอมถอยจนอดัมเริ่มเป็นกังวลกับเลือดที่ไหลออกมาไม่หยุดของเจ้านายหนุ่ม
“ไม่เป็นไร ฉันทนได้ บอกคนให้อ้อมไปด้านหลังแล้วจัดการมันให้หมด!”
เพลิงตะวันสั่งออกมาก่อนลูกน้องของเขาจะทำตามคำสั่งด้วยการโอบล้อมไปด้านหลังของอีกฝ่าย ซึ่งตอนนี้เจ็บหนักไม่ต่างกัน แถมยังเหลือคนน้อยกว่าคนของเพลิงตะวันอีก
“เวรเอ้ย!! บอกให้คนของเราถอยออกมา!!”
เสียงสั่งของ ภูมินทร์ ดังขึ้น ซึ่งเขาเป็นหัวหน้ามาเฟียที่พึ่งพาพวกลงมาหาฐานที่ตั้งทางภาคใต้ แต่ไม่คิดเลยว่าจะมาเจอเจ้าถิ่นที่ล้มยากแบบเพลิงตะวัน เมื่อตอนนี้เขาเสียคนของเขาไปเกือบครึ่งหนึ่ง แถมอาจจะเสียไปทั้งหมดเมื่ออีกฝั่งคนเยอะจนต้านไม่ไหว
“กูไม่ปล่อยมึงไปแน่!!”
ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!
ภูมินทร์คิดแค้นก่อนจะรีบวิ่งตรงไปหาเพลิงตะวันที่เจ็บสาหัสเมื่อเห็นอีกฝ่ายโผล่ออกมาจากที่ซ่อนแล้วกระหน่ำปืนยิงอย่างมาดหมายว่าเขาจะจัดการอีกฝ่ายได้
ปัง!!
แต่อดัมที่ไวกว่ายกปืนขึ้นมายิงตรงไปที่ภูมินทร์แค่เพียงนัดเดียวทำเอาภูมินทร์ถึงกับนิ่งค้างแล้วล้มลงไปพร้อมลมหายใจสุดท้ายดับลง
“พานายหัวไปขึ้นรถเร็ว!!!”
อดัมรีบสั่งพร้อมกับวิ่งไปดูอาการของเพลิงตะวัน ที่ตอนนี้เลือดไหลออกมาไม่หยุด ก่อนจะรีบพยุงร่างใหญ่ไปขึ้นรถ
“อย่าโอเว่อร์น่า แผลแค่นี้ไกลหัวใจ หึหึ”
เพลิงตะวันที่เห็นสีหน้าเป็นกังวลของอดัมเอ่ยขึ้น ถึงจะบอกไปอย่างนั้นแต่เขากลับรู้สึกเจ็บเจียนตายอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน
“ขับเร็วๆหน่อยสิวะ!!!! อยากตายกันนักใช่ไหม!!”
อดัมหันไปตะโกนบอกคนขับรถ เมื่อเพลิงตะวันค่อยๆปรือตาเหมือนจะหลับ
“เวรเอ้ย!! นายหัว! อย่าหลับนะ!! โธ่เว้ย!!! เร็วสิวะ!!!”
และเพลิงตะวันก็หมดสติไป ทำเอาอดัมแทบเป็นบ้า พยายามเขย่าให้เพลิงตะวันฟื้น แต่ดูท่าจะไม่เป็นผลเมื่อเพลิงตะวันนั้นเสียเลือดไปมาก