“หนูเอวา...ทำไมมานั่ง...อยู่นี่ล่ะ...”
พอเสร็จจากเพลิงตะวัน คุณหมอกรเกียรติที่กำลังจะเดินกลับห้องตรวจกลับเจอเข้ากับเอวาที่นั่งร้องไห้อยู่เลยถามขึ้นอย่างเป็นห่วง
“คุณอา ฮึก เอ่อ เอวา...”
“หรือว่าไปเจอพี่เขามา หืม?”
“.................”
และความเงียบก็เป็นคำตอบของเอวา คุณกรเกียรติมองเอวาอย่างเข้าใจ เพราะเขาเองก็รับรู้ถึงปัญหาของครอบครัวนี้
“เอวาไม่เข้าใจเลย ทำไมเขาถึงทำแบบนั้นกับคุณแม่คะ ฮึก คุณแม่ท่านทั้งรักทั้งเป็นห่วงเขาขนาดนั้น ทำไมคะคุณอา?”
เอวาพูดขึ้นด้วยความไม่เข้าใจ เธอไม่กล้าแม้แต่จะพูดถึงเพลิงตะวันเวลาอยู่กับคุณตราดาเพราะกลัวท่านจะโศกเศร้าเสียใจ แต่ตอนนี้อยากรู้แค่ไหนเธอก็คงถามท่านไม่ได้อีกแล้ว
“ทิฐิน่ะ บางทีคนเราก็มีทิฐิเกินไป พอคิดได้ก็อาจสายเกินไปแล้ว...”
คุณหมอกรเกียรติบอกขึ้น เพราะต่างก็ไม่ยอมลดทิฐิของกันและกันลงเลยทำให้เกิดปัญหากับคนที่อยู่ระหว่างกลางแบบเพลิงตะวัน
“คุณอารู้เหรอคะ...ช่วยเล่าให้เอวาฟังได้ไหม ตอนนี้เอวาไม่รู้เลยจริงๆว่าควรทำยังไง...”
คุณหมอมองร่างบางที่ดูก็รู้ว่าเธอพักผ่อนน้อยขนาดไหนอย่างเข้าใจ
“งั้น...ไปนอนให้น้ำเกลือสักขวดสองขวดสิ แล้วอาจะไปนั่งเล่าให้ฟัง”
“คะ? เอ่อ แต่เอวากลัวเข็ม”
“งั้นก็ไม่เล่า”
เอวาถึงกับอ้าปากค้างเมื่อความหวังเดียวของเธอกำลังจะหลุดลอยไปต่อหน้าต่อตา
“โอเคค่ะๆๆ เอวายอมก็ได้...”
เพราะความอยากรู้ เอวาเลยเอาชนะความกลัวของตัวเอง ก่อนจะลุกเดินตามคุณหมอสูงวัยไป ซึ่งคุณหมอเองก็แอบยิ้มอย่างนึกขำกับท่าทีของเธอ
“อะไรนะคะ? เลิกทั้งที่ยังรัก...หมายความว่ายังไงคะคุณอา”
พอใส่สายน้ำเกลือเรียบร้อยแล้ว คุณหมอก็ทำตามที่พูดเอาไว้ทันที
“ก็พ่อกับแม่ของตาเพลิงน่ะเขารักกัน รักมากด้วย แต่ที่ต้องหย่ากันเพราะต้องรับผิดชอบธุรกิจที่บ้าน พ่อเขาน่ะต้องกลับไปดูแลเหมือง ส่วนแม่ก็ต้องรับช่วงธุรกิจที่นี่ ตกลงกันไม่ได้เลยทะเลาะกันใหญ่โต เอาแต่อารมณ์เป็นใหญ่ สุดท้ายก็เลิกกันไป”
“แล้วทำไมลูกถึงได้อยู่กับพ่อล่ะคะ?”
“อืม...ทีแรกตาเพลิงก็เลือกที่จะอยู่กับแม่นะ แต่ไม่รู้ทำไมเปลี่ยนใจไปอยู่กับพ่อแทน อันนี้อาก็ไม่รู้ แต่ที่รู้คือต้องมีปัญหาบางอย่าง เพราะตาเพลิงน่ะเกลียดแม่ ไม่สิ โกรธมากกว่าเลยไม่เคยคิดมาเยี่ยมเลยสักครั้งไงล่ะ”
พอได้ฟังเอวาก็เริ่มเข้าใจ แต่เธอก็ยังไม่รู้เหตุผลที่เพลิงตะวันเกลียดคุณตราดาอยู่ดี
“ถ้าอยากรู้ว่าทำไมตาเพลิงถึงโกรธคุณตราดาก็คงมีแต่ตาเพลิงเท่านั้นแหละที่รู้ งั้นอาขอตัวก่อนนะ มีนัดตรวจคนไข้น่ะ”
“ค่ะ ขอบคุณนะคะคุณอา”
และคุณหมอก็ลุกเดินจากไป ปล่อยให้เอวาได้แต่สงสัยจนลืมเข็มที่เสียบอยู่ที่แขนไปเสียสนิท
“มาทำไม?”
เช้าวันต่อมา เอวาก็กลับมาที่โรงพยาบาลอีกครั้ง ทำเอาเพลิงตะวันถึงกับแปลกใจที่เธอกล้ามาหาเขาอีกแบบนี้
“ฉันจะลอยอังคารคุณแม่พรุ่งนี้ ถ้าไม่รำบากคุณจนเกินไป...ฉันคิดว่าคุณแม่อาจจะอยากให้คุณเป็นคนส่งท่านครั้งสุดท้าย”
“กลับไป”
และเพลิงตะวันก็ปฏิเสธอย่างไม่ใยดี
“นี่คุณ! ยังไงคุณก็เป็นลูกท่าน ถึงจะไม่ได้อยู่ด้วยกันแต่ท่านก็คลอดคุณออกมาเลี้ยงดูจน...จนคุณเริ่มโตมาด้วยความรัก อย่างน้อยก็น่าจะทำอะไรเพื่อท่านบ้าง คุณยังมีความเป็น...”
“ฉันไม่ได้บอกว่าจะไม่ไป แค่บอกให้เธอกลับไปฉันจะพัก”
“ห๊ะ? เอ่อ แสดงว่าคุณจะไปใช่ไหม?”
เอวาถึงกับเปลี่ยนอารมณ์แทบไม่ทัน มองเขาอย่างสับสน
“อืม ถ้ายังไม่ออกไปฉันอาจเปลี่ยนใจ”
“ก็ได้ๆๆ นี่เป็นสถานที่และเวลา อย่าลืมนะ ต้องมาให้ได้”
เอวารีบวางกระดาษที่เขียนที่อยู่วันและเวลาเอาไว้ไปให้เขา ก่อนจะรีบออกไปเพราะคำขู่ของเพลิงตะวัน
“หึหึ เด็กน้อยจริงๆ”
อยู่ดีๆเพลิงตะวันก็เผลอยิ้มออกมากับท่าทางเงอะงะของเอวา ก่อนจะหยิบกระดาษที่เธอวางเอาไว้ขึ้นมาดู เขาคิดมาตลอดทั้งคืนว่าควรทำยังไงกับความรู้สึกค้างคาที่มีต่อมารดาดี และตอนนี้เขาคงต้องปล่อยให้มันจบลงเพราะคงไม่มีใครที่จะมารองรับความโกรธที่เขามีต่อมารดาของเขาแล้ว
“นายหัวครับ ทนายของเรามาแล้วครับ”
“อืม ให้ไปคุยกับทนายที่มาหาฉันแล้วจัดการเรื่องให้เสร็จ”
“ครับ”
อดัมเดินเข้ามาบอก เมื่อทนายทางฝ่ายของเพลิงตะวันพึ่งมาถึงกรุงเทพฯเมื่อเช้านี้
“อ้อ เอานี่ไป พรุ่งนี้แจ้งออกจากโรงพยาบาลด้วย”
“ครับ? เอ่อ ครับ...”
ถึงจะอยากให้เจ้านายหนุ่มอยู่พักต่อ แต่ตอนนี้เพลิงตะวันก็ดูอาการดีขึ้นมากแล้ว คงต้องยอมตามใจให้ออกจากโรงพยาบาล และพอเปิดดูกระดาษแผ่นเล็กอดัมก็เข้าใจในทันที
“ได้ครับ ผมจะเตรียมทุกอย่างเอาไว้ให้ครับ”
“อืม แล้วพวกนั้นล่ะ ยังวุ่นวายอยู่อีกรึเปล่า?”
“คนของเรารายงานว่ายังเงียบอยู่ คงเจ็บหนักกันน่าดูครับ”
“อย่าประมาท ให้คอยระวังตลอด ถ้ามันโผล่มาอีกรายงานมาด่วนเลย”
“ครับ”
ถึงจะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่สามารถสู้พวกของตนเองได้ แต่เพลิงตะวันก็กลัวว่าพวกนั้นจะเล่นไม่ซื่อ ทำเรื่องเลวๆโดยที่เขาไม่รู้ตัวและป้องกันไม่ได้อีก
“คุณหนูรอใครอยู่เหรอคะ?”
ป้าละเมียดถามขึ้น เมื่อเอวาไม่ยอมลงเรือเอาแต่ชะเง้อมองไปที่ถนนจนทุกคนที่รออยู่พากันสงสัย
“รอคนสำคัญของคุณแม่ค่ะ...หรือว่าเขาจะไม่มา...”
เอวาถึงกับทำหน้าสลดเมื่อผิดหวังที่สุดท้ายเพลิงตะวันก็ไม่มาส่งคุณตราดาจริงๆ เธอหันหลังแล้วเดินขึ้นเรือด้วยท่าทางโศกเศร้าเพราะอุตส่าคิดว่าอย่างน้อยเธอก็ทำเพื่อคุณตราดาครั้งสุดท้ายได้แล้วแท้ๆ
“คุณหนูคะ ใครมาคะนั่น”
ป้าละเมียดรีบบอกเมื่อเห็นรถยนต์ 3 คันขับตรงมาที่ท่าเรือทำเอาเอวารีบหันกลับไปมอง ก่อนจะเห็นร่างสูงของเพลิงตะวันเดินลงมาจากรถ
“เขามาจริงๆด้วย...”
เอวาพูดขึ้นก่อนจะเดินตรงไปหาเพลิงตะวัน
“ขอบคุณที่มา...”
เธอเอ่ยขอบคุณจากใจจริง
“นี่แม่ฉัน ฉันต่างหากที่ควรพูดคำนั้น”
เสียงอันเย็นชาบอกขึ้น ก่อนจะเดินนำขึ้นไปบนเรือโดยมีอดัมเดินตามไม่ห่าง ส่วนเอวาถึงจะรู้สึกเสียใจแต่ที่เขาพูดมันก็คือความจริงที่เธอเลี่ยงไม่ได้ จากนั้นทุกคนก็เดินตามกันขึ้นเรือเพื่อไปส่งคุณตราดาเป็นครั้งสุดท้าย
‘เอวาขอให้คุณแม่ไปอยู่บนสรวงสวรรค์นะคะ ขอให้คุณแม่มีแต่ความสุข จะไม่เจ็บไม่ป่วยอีกแล้วนะคะ ไม่ต้องเป็นห่วงเอวาด้วย ตอนนี้เอวาโตพอที่จะดูแลตัวเองได้แล้ว...และเอวาอยากขอบคุณที่คุณแม่รับเอวามาเลี้ยงในวันที่ไม่มีใครต้องการเอวา...เอวารักคุณแม่นะคะ...’
เอวาที่โปรยอัฐิของคุณตราดาคิดขึ้นในใจ เผื่อว่ามันจะส่งไปถึงมารดาของเธอ ตอนนี้เธออยากร้องไห้เหลือเกินแต่ต้องอดทนเอาไว้เพราะมีเพลิงตะวันอยู่ด้วย
ส่วนเพลิงตะวัน เขาเอาแต่มองออกไปไกลแสนไกลอย่างไม่มีจุดหมาย เขาเคยรู้สึกโดดเดี่ยวตอนที่บิดาจากไป และความรู้สึกนั้นก็กลับมาอีกแล้วในตอนนี้
“นายหัวครับ เรียบร้อยแล้วครับ”
อดัมเดินมากระซิบบอก เมื่อเห็นว่าเจ้านายเอาแต่ยืนนิ่งไม่ไหวติงเลยสักนิด ก่อนที่เรือจะวกกลับมาที่ฝั่ง
“ตอนนี้ก็เสร็จหมดแล้ว ส่วนเรื่องทำบุญให้คุณแม่ ฉันจะจัดการเอง”
“อืม...”
“งั้นก็ลากันตรงนี้เลย ขอให้โชคดี”
พูดจบ เอวาก็หันหลังเดินจากไปทันที เพลิงตะวันที่มองตามกำลังคิดถึงข้อความในจดหมายที่คุณตราดาทิ้งเอาไว้ให้
“จะไปไหน”
เพลิงตะวันถามขึ้น พร้อมขมวดคิ้วยุ่งจนคนรอบข้างพากันรู้สึกกลัว
“หือ? ก็...กลับบ้าน...”
เอวาหันมาบอกอย่างนึกแปลกใจ
“ขึ้นรถสิ เดี๋ยวฉันไปส่ง”
พอได้ยินแบบนั้น ทุกคนต่างมองหน้ากันอย่างรู้สึกกังวล ไม่เว้นแม้แต่เอวา เธอเลยรีบบอกปฏิเสธออกไป
“ไม่เป็นไร ฉันมีรถ...”
“ขึ้นไป ฉันมีเรื่องต้องคุย”
และพอได้ยินแบบนั้น เอวาก็ไม่รู้จะปฏิเสธเขายังไง เมื่อยังไงซะเขาก็เป็นลูกชายของคุณตราดา คนที่มีพระคุณที่สุดในชีวิตของเธอ เธอหันไปบอกให้ทุกคนกลับก่อนได้เลย ก่อนจะเดินขึ้นรถของเพลิงตะวันไป
“นั่นลูกคุณท่านจริงๆเหรอจ๊ะป้าละเมียด ทำไมไม่เหมือนคุณท่านเลย ดูน่ากลัวด้วย”
“ฉันก็ไม่เคยเห็นตัวจริงหรอก เห็นแต่ในรูป...”
“แล้วคุณหนูไปกับเขาแบบนั้น...จะไม่เป็นอะไรเหรอจ๊ะป้า”
“................”
และทุกคนต่างก็เงียบ เพราะเป็นกังวลและเป็นห่วงเอวาที่ยอมตามเพลิงตะวันไป
ส่วนทางด้านเอวาเองก็กำลังกังวล กลัวว่าเขาจะทำตัวไม่ดีกับเธอ
“ไม่ต้องนั่งเกร็งขนาดนั้นหรอก ฉันไม่ฆ่าเธอทิ้งหรอก”
“เอ่อ...ไม่ได้เกร็งสักหน่อย แล้ว...เอ่อ แล้วคุณให้ฉันมาด้วยทำไม...”
เอวาถามตะกุกตะกัก เพราะรู้สึกประหม่าเหลือเกินตอนนี้
“ต่อไปนี้ฉันเป็นผู้ปกครองของเธอ ไปที่บ้านแล้วเก็บของที่จำเป็น ฉันให้เวลาหนึ่งชั่วโมง ถ้าไม่ลงมาฉันจะให้คนไปลากลงมา”
“ห๊ะ? นะ...นะนี่คุณบ้าเหรอ?? ฉันไม่ไปหรอก ฉันน่ะอายุ 23 แล้วนะไม่ใช่เด็กๆที่จะต้องมีผู้ปกครอง ตอนนี้ไม่มีคุณแม่แล้ว เราก็เหมือนคนไม่รู้จักกัน ต่างคนต่างอยู่ดีกว่า ปล่อยฉันลงได้แล้ว”
เอวาปฏิเสธเสียงแข็ง แต่ดูท่าเพลิงตะวันจะไม่สนใจ ในเมื่อเขาตัดสินใจแล้วว่าจะพาเธอกลับไปที่เหมืองด้วย
“นี่คุณ! บอกให้หยุดรถไง!!”
“ฉันก็ไม่ได้อยากพาเธอไปด้วยหรอก...ถ้าไม่ใช่แม่ของเธอขอร้องเอาไว้ หึ! ขนาดไม่อยู่แล้วยังเอาภาระทิ้งเอาไว้ให้อีก...”
“ก็ไม่ต้องทำตามสิ! คุณก็ดูท่าจะเกลียดฉัน ฉันก็ไม่ชอบคุณแล้วเราจะอยู่ด้วยกัน...ได้ยังไง”
“หรือเธออยากให้ฉันไม่ทำตามคำขอนั่นล่ะ คนตายคงตายตาหลับอยู่หรอกนะ”
เอวาถึงกับเงียบไปทันทีกับสิ่งที่ได้ยินเมื่อเขาเล่นเอาคุณตราดาขึ้นมาอ้างแบบนี้
‘...แม่อยากให้หนูช่วยดูแลพี่เพลิงแทนแม่...แม่ที่ไร้ความสามารถ ลูกช่วยอยู่ข้างๆพี่เขาแทนแม่คนนี้ได้ไหม...’
และประโยคนี้ก็วิ่งเข้ามาในหัวของเอวา คำสั่งเสียสุดท้ายของคุณตราดาที่เธอไม่เคยคิดว่ามันจะเป็นไปได้
“ยังไงเธอก็เป็นน้องสาวฉัน ถึงแม้จะไม่อยากให้เป็นก็ตามที...”
‘อีตาบ้านี่!! แล้วใครอยากเป็นน้องนายไม่ทราบ!! โอ๊ย! ทำไงดี!’
เอวาได้แต่คิดต่อว่าในใจ เมื่อตอนนี้เธอกำลังจนหนทาง เธอจะไปอยู่กับคนเถื่อนๆแบบเขาได้ยังไง ไม่มีทางเป็นไปได้อย่างแน่นอน
‘นี่นายหัวคิดอะไรอยู่ จะพาเธอไปจริงๆเหรอ ทำไมกัน...ไม่เข้าใจเลยจริงๆ...หรือแค่พูดเล่น...’
อดัมที่ทั้งแปลกใจระคนสงสัยได้แต่มองเจ้านายผ่านกระจกหน้ารถ เมื่อไม่คิดว่าเจ้านายหนุ่มจะต้องการพาน้องสาวต่างสายเลือดคนนี้ไปที่เหมืองด้วย ปกติแล้วที่เหมืองจะมีแค่คนงาน กับพวกเมียของคนงานเท่านั้น จะให้เอวาไปอยู่เห็นจะไม่เหมาะสมกับสถานที่เป็นอย่างยิ่ง