“ตามข้าออกมาสิ”
เทพโอสถบอกกล่าวด้วยรอยยิ้มพร้อมเดินนำทางออกจากกระท่อม วชิระก็เดินตามออกมาอย่างว่าง่าย ทว่าสิ่งที่เห็นกลับทำให้อ้าปากค้างมองอย่างตื่นตะลึง ภาพขุนเขาลอยล่องอยู่บนฟากฟ้านับสิบลูก แต่ละลูกมีปราสาทสวยงามและมีเหล่าเซียนเหาะเหินไปมา รอบกายมีดอกไม้นานาชนิดและยังมีผีเสื้อหลายตัวบินว่อนอวดความงามของตนจนไม่อาจละสายตาหนีไปได้
“ที่นี่คือหุบเขาแห่งเซียน และเจ้าเป็นมนุษย์คนแรกและคนเดียวที่อยู่ที่แห่งนี้” เสียงอธิบายนั้นแลดูอ่อนโยน ใบหน้ายิ้มแย้มมองภาพเบื้องหน้าบ่งบอกความสงบสุขภายในใจ
“ทำไมผมมาอยู่ที่นี่ได้ครับ หากว่าผมยังเป็นมนุษย์” วชิระหันกลับมาถามชายชราตรงหน้าอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก
“เพราะเจ้าคือคนพิเศษ สิ่งที่เจ้าต้องปฏิบัติขณะอยู่ที่นี่คือศึกษาทุกอย่างที่ข้าจะสอนให้เจ้า เมื่อถึงเวลาสมควรเจ้าจะได้กลับไปยังโลกมนุษย์อีกครั้ง แต่ครานี้มิใช่โลกใบเดิมที่เจ้าจากมา”
แม้จะชาญฉลาดมากแค่ไหน แต่วชิระอยากเอาหัวโขกดินให้หายมึนงงจากสิ่งที่ได้ยินและได้เห็นสักครั้ง เพราะไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่เข้าใจอยู่ดี หรืออีกนัยน์หนี่งคือเขาอาจไม่อยากจะยอมรับในสิ่งที่ได้ยินก็เป็นได้
‘หรือว่านี่เป็นความฝันกัน แต่หากเป็นความฝันทำไมมันถึงเจ็บปวดได้’
“ต่อไปนี้เจ้ามีชื่อว่าชงหยวน แซ่ จิว ความหมายของมันคือโชคชะตาแห่งความฉลาด และเรียกข้าว่าอาจารย์” วชิระเงยหน้ามองคนที่ตั้งชื่อให้แล้วนิ่วหน้า จิวชงหยวน อย่างนั้นหรือ สองขาคุกเข่าลงก่อนจะคำนับเหมือนซีรีย์หนังจีนที่เคยดูมา
“จิวชงหยวนคารวะท่านอาจารย์” เทพโอสถมองภาพตรงหน้าแล้วยิ้มบางๆ ก่อนจะเสกจอกน้ำชาให้ลูกศิษย์คนแรกและคนเดียวยื่นให้ตนตามพิธี
“ต่อไปนี้เจ้าคือลูกศิษย์คนแรกและคนเดียวของเทพโอสถ แต่หากใครเอ่ยถามว่าอาจารย์เจ้าคือผู้ใดจงตอบเพียงแค่ว่า อาจารย์เจ้าเป็นเซียนผู้หนึ่งก็พอ” จิวชงหยวนมองหน้าอาจารย์อย่างครุ่นคิด ก่อนจะตอบกลับอย่างหนักแน่น
“ครับอาจารย์”
“ดีมาก ข้ารู้ว่าเจ้ายังสับสนและร่างกายเจ้ายังไม่ฟื้นดี พรุ่งนี้ข้าจะเริ่มสอนเจ้า วันนี้เจ้าทำตัวให้คุ้นเคยกับที่นี่ไปก่อนแล้วกัน” เทพโอสถบอกกล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆ ก่อนจะเลือนหายไปปล่อยให้จิวชงหยวนอ้าปากค้างมองตามอย่างตกใจอีกครั้ง
หากมันเป็นความฝันนับว่าเป็นฝันที่แปลกประหลาดยิ่งนัก วชิระหรือจิวชงหยวนถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้า เขาอยากจะตื่นขึ้นมาแล้วบอกตัวเองว่านี่เป็นเพียงความฝันที่ไร้สาระเท่านั้น แต่ความรู้สึกที่ขัดแย้งภายในใจกลับบอกว่านี่คือความจริงอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้
ผัวะ!
เจ็บ!
“นั่นเจ้าตบหน้าตัวเองทำไม” เสียงที่เอ่ยถามทำให้จิวชงหยวนหันไปมองชายหนุ่มร่างสูงโปร่งที่ใบหน้าดูงดงามคล้ายผู้หญิงไปหลายส่วน แต่การแต่งกายบ่งบอกว่าเป็นชาย
“เจ้าเป็นเซียนคนใหม่หรือ แต่ว่าทำไมเจ้าถึงยังมีกลิ่นไอของมนุษย์อยู่”
ชายผู้นั้นเดินเข้ามาใกล้พร้อมมองสำรวจร่างเขาด้วยสีหน้าครุ่นคิด ทำให้จิวชงหยวนถอยหลังหนีพร้อมมองคนตรงหน้าอย่างไม่พอใจ คนอะไรเสียมารยาทนัก ไม่รู้จักกันยังมามองด้วยสายตาแบบนั้นอีก
“อ่า โทษที ข้ามิเคยเห็นเซียนที่มีกลิ่นไอมนุษย์มาก่อน”
“นายเป็นใคร” จิวชงหยวนเอ่ยถามเสียงแข็ง ทว่ากลับทำให้คนฟังเลิกคิ้วมองอย่างแปลกใจ เพราะการพูดที่ค่อนข้างแปลกประหลาด
“ข้าลู่เฟย ว่าแต่เจ้าพูดจาแปลกๆ แต่ช่างเถอะเทพโอสถอยู่หรือไม่”
ลู่เฟยเอ่ยถามแล้วทะยานเข้าไปในกระท่อมอย่างไม่ใส่ใจรอคำตอบ ทำให้จิวชงหยวนถึงกลับคิ้วกระตุก ปกติเขาเป็นคนใจเย็นแต่เซียนหนุ่มตรงหน้านี่มันกวนโมโหชะมัด
“จิวชงหยวนมานี่สิ ข้าจะแนะนำคนที่จะมาสอนวิชาให้เจ้าอีกคน”
เสียงของอาจารย์ที่ตะโกนเรียกทำให้จิวชงหยวนเดินกลับมาที่กระท่อมอีกครั้ง และเห็นเซียนผู้นั้นมีสีหน้ายิ้มแย้มจนน่าหมั่นไส้
“นี่ลู่เฟยเขาเป็นแม่ทัพสวรรค์ ข้าวานให้มาสอนวิชาการต่อสู้ให้เจ้า”
คำตอบของอาจารย์ทำให้จิวชงหยวนติดสตั้นไปสามวิ หันขวับสำรวจร่างของว่าที่อาจารย์อย่างเสียมารยาท มองตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าก็ยังไม่เห็นว่าจะมีส่วนไหนสมกับที่จะเป็นอาจารย์ แต่ว่าเมื่อครู่อาจารย์บอกว่าคนตรงหน้านี่นะเป็นแม่ทัพสวรรค์ ว่าแต่องค์เง็กเซียนฮ่องเต้ใช้อะไรตัดสินกัน
“ฮ่าๆๆ ชงหยวน เจ้าอย่าได้ดูถูกฝีมือลู่เฟยเชียว หากเจ้าได้ฝึกกับเขาอย่ามาร้องโอดโอยขอยาข้าล่ะ” เทพโอสถกล่าวหยอกล้อลูกศิษย์ที่แสดงสีหน้าจนน่าขบขัน ทว่าคนที่โดนดูถูกกลับยิ้มร่าเหมือนไม่ใช่เรื่องของตัวเอง
จิวชงหยวนยิ้มเหยกับคำกล่าวของอาจารย์ ครั้นเมื่อเห็นใบหน้าร่าเริงของแม่ทัพสวรรค์ก็อดหมั่นไส้ไม่ได้
“อ้อ นี่ป้ายหยกตัวตนของเจ้า” จิวชงหยวนรับป้ายหยกสีขาวออกเขียว ลวดลายหงส์มังกรมาดูและยังมีชื่อของเขาติดอยู่ที่ป้ายด้วย ‘จิวชงหยวน’
“ขอบคุณครับอาจารย์” จิวชงหยวนตอบรับพร้อมนำป้ายหยกมาห้อยไปไว้ข้างเอว และนั่นทำให้เขาเพิ่งสังเกตตัวเองว่าชุดที่ใส่ไม่ใช่เสื้อเชิ้ตแต่กลับเป็นชุดสีขาวขลิบเงินดูสง่างามไม่น้อย แต่แล้วก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อแม่ทัพสวรรค์เสกกระจกบานใหญ่ขึ้นมาตรงหน้าอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
นั่นใคร!