บทนำ
ณ โรงพยาบาลเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ภายในห้องฉุกเฉินตอนนี้กำลังวุ่นวายกับการผ่าตัดเคสสำคัญซึ่งคนไข้เป็นถึงอาจารย์แพทย์คนสำคัญของนักศึกษาแพทย์ทุกคน ไม่ว่าอย่างไรการผ่าตัดในครั้งนี้ต้องผ่านพ้นไปให้ได้ ทุกคนภายในห้องต่างหันไปมองแพทย์หนุ่มที่เชี่ยวชาญการผ่าตัดด้วยความหวังว่าทุกอย่างจะผ่านไปได้ด้วยดี
“วางยาสลบเสร็จแล้วครับ”
ผู้ช่วยหนึ่งในนั้นรายงานแพทย์หนุ่มที่ทุกคนเชื่อใจในฝีมือ ‘วชิระ วาโยพิพัฒน์’ เงยหน้ามองคนรายงานแล้วตอบกลับด้วยน้ำเสียงหนักแน่นจริงจัง ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนฉายแววกังวลเล็กน้อย
“งั้นเราจะเปิดกะโหลกระบายเลือดจากเยื้อหุ้มในสมองก่อน เริ่มกันเลย” วชิระตอบกลับพร้อมรับมีดผ่าตัดมาดำเนินการต่อไปด้วยใจจดจ่อ พร้อมดึงสมาธิทุกอย่างมายังสิ่งที่สิ่งที่กำลังทำอยู่
“สว่านไฟฟ้า” วชิระร้องสั่ง ก่อนจะวางมีดลงพร้อมรับสว่านไฟฟ้ามาเจาะส่วนสำคัญ
วิ๊ดดดด
“ท่อเจอะกะโหลก”
“เอาเลือดที่คั่งออก” วชิระร้องสั่งอย่างชำนาญและลงมือกันอย่างรวดเร็วทุกวินาทีมีค่ามาก
“ต่อไปเราจะตัดเนื้องอกออกล่ะนะ” เสียงทุ้มร้องสั่งอีกครั้ง มือขาวเรียวจับทุกอย่างรวดเร็วและชำนาญ แม้อายุยังน้อยแต่กลับมีพรสวรรค์จนทุกคนต้องยอมรับ
“เตรียมกล้องผ่าตัด” ทุกอย่างที่ร้องสั่งถูกนำมายื่นให้และจัดวางได้อย่างรวดเร็ว ดวงตาเรียวคมมองส่องกล้องดูไปยังช่องกะโหลกที่ผ่าตัด
“สายดูดกับไบโพล่าร์เบอร์3”
“ครับ” ผู้ช่วยตอบรับพร้อมยื่นให้ทันควัน
“นั่นเห็นเนื้องอกแล้ว ขอกรรไกรไบโครด้วย” ร้องสั่งก่อนรีบจัดการอย่างคล่องแคล่ว
ทุกคนเฝ้ามองและคอยช่วยเหลือด้วยใบหน้าเคร่งเครียด...
วชิระเปิดประตูเข้าไปยังห้องพักตัวเองอย่างอ่อนล้า ก่อนจะล้มตัวนั่งลงบนเก้าอี้ประจำตำแหน่ง ในมือมีคาปูชิโน่เย็นหนึ่งแก้วที่พยาบาลสาวนำมาให้ แม้จะดื่มกาแฟในแก้วหมดก็ไม่อาจทำให้หายเหนื่อยหายง่วงได้ การผ่าตัดวันนี้ถือว่าประสบความสำเร็จดั่งที่ผ่านมา
ผัวะ!
“ไงเพื่อน ดังใหญ่แล้วนะเรา” ประตูถูกเปิดเข้ามาอย่างไร้มารยาท วชิระปลายตามองอย่างไม่ใส่ใจเท่าไร อีกฝ่ายเดินเข้ามานั่งบนโต๊ะทำงานเขาอย่างถือวิสาสะจนเขาชินชาไปเสียแล้วและยังไม่จบแค่นั้นเมื่อ ‘นพดล’ คว้าหมับเข้าที่กาแฟเย็นที่เขาเพิ่งกินไปมาดูดต่อหน้าตาเฉย
“อื้ม หวานมัน น้องกิ๊บเก๋ซื้อมาให้แน่เลย” นพดลยิ้มล้อเลียน
“มีอะไร” เจ้าของห้องปลายตามองเอ่ยถามอย่างหงุดหงิด แค่ผ่าตัดก็เหนื่อยจะตายแล้วยังมีคนมาก่อกวนอีก
“พรุ่งนี้วันเกิดน้องฉัน เลยจะชวนไปด้วย อย่าบอกนะว่าปฏิเสธ ไม่งั้นยัยนัทบ่นฉันหูชาแน่” นพดลกล่าวดักคอด้วยท่าทีจริงจัง ดวงตาเล็กตี๋มองเพื่อนอย่างขอร้องว่าอย่าปฏิเสธเลย ไม่อย่างนั้นตัวเขาเองจะโดนน้องสาวสุดที่รักบ่นข้ามวันข้ามคืนแน่
“ไม่ว่าง” วชิระตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ แต่ริมฝีปากกลับยกยิ้มนิดๆ เมื่อเห็นเพื่อนทำท่าจะเป็นจะตาย
“โธ่ เพื่อนรักหากนายไม่ไปฉันคงได้ไปรักษาหูกับยัยปลายแน่เลย เห็นแก่เพื่อนที่น่ารักอย่างฉันสักครั้งเถอะนะ”
วชิระมองสบตาเพื่อนพร้อมมองสำรวจตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้าอย่างจงใจ แต่ไม่ว่าอย่างไรมันก็ไม่มีส่วนไหนที่ดูว่าน่ารักสักนิด ส่วนสูงร้อยแปดสิบห้าเซ็นที่สูงกว่าเขาตั้งสิบเซ็นต์ที่สูงกว่าเขาตั้งสิบเซ็นต์ เห็นแล้วอยากจะตัดขามันออกให้ดูเตี้ยกว่าเขาบ้างเหมือนกัน
“หากนายยังจำได้ พรุ่งนี้ฉันต้องไปไหว้พ่อกับแม่ที่สุสาน”
วชิระย้ำเตือนสมองน้อยๆ ของเพื่อนที่ไม่เคยจำได้ว่า วันเกิดน้องมันเป็นวันเดียวกับที่พ่อและแม่เขาประสบอุบัติเหตุจากไปทั้งคู่เมื่อสามปีก่อน กอปรกับเขามีเชื้อสายจีนจึงได้ฝังศพบิดามารดาไว้ในสุสานแห่งหนึ่งที่ชานเมืองกรุงเทพฯ
“เออ นั่นสิ ลืมไปได้ไงวะ” นพดลตอบกลับพร้อมยกมือขยี้หัวตัวเองเบา เพราะเขาลืมเสียสนิทจริงๆ
“เรื่องนั้นช่างมันเถอะ ว่าแต่อาจารย์หมอเป็นไงบ้าง” นพดลเปลี่ยนเรื่องและเอ่ยถามถึงคนไข้ล่าสุดของวชิระที่กำลังโด่งดังในโรงพยาบาลขณะนี้
“พ้นขีดอันตรายแล้ว หากไม่มีอะไรพรุ่งนี้ก็ฟื้นแล้วล่ะ” วชิระตอบกลับพลางเปิดเอกสารในมือดูรายชื่อคนไข้ที่เขานัดไว้ในวันมะรืน พร้อมเขียนบางอย่างลงไปโดยไม่สนใจเพื่อนที่ยังนั่งโต๊ะค้ำหัวตัวเองอยู่
“พรุ่งนี้นายคงหยุดอีกวัน”
“อืม”
“ผ่านมาสามปีแล้ว นายน่าจะใช้ชีวิตแบบวัยรุ่นบ้างนะวชิระ ฉันเห็นนายอยู่แต่ตำรามาตลอด เรียนจบแพทย์ตั้งแต่อายุยี่สิบ แถมยังศึกษาการแพทย์ที่อเมริกาโดยใช้เวลาแค่สองปี ฉันถามจริงๆ ตลอดยี่สิบสามปีของนายนี่ไม่คิดจะไปจีบหญิงบ้างหรือไง” คำถามของเพื่อนสนิททำให้วชิระมองตามอย่างเบื่อหน่าย ก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเล็กน้อย
“นั่นมันเรื่องของฉัน ว่าแต่นาย ถ้าไม่มีอะไรก็ออกไปได้แล้ว ฉันจะรีบเคลียร์งานเพราะพรุ่งนี้ฉันไม่ว่าง”
“เฮ้อ นายก็เป็นแบบนี้ทุกที จะไม่ให้เพื่อนๆเป็นห่วงได้ไง” นพดลบ่นงึมงำก่อนจะยอมออกจากห้องไป เมื่อรู้ว่าอารมณ์ของเพื่อนอยู่ในระดับไหน เหนื่อยมามากขนาดนี้ทำไมไม่หยุดพักบ้างนะ
เมื่อเพื่อนออกไปพ้นประตู วชิระจึงวางเอกสารลงแล้วเอนกายพิงพนักเก้าอี้อย่างเหนื่อยล้า มือเรียวยกขึ้นนวดศีรษะคลายอาการปวดหัวของตนพร้อมเฝ้าถามตัวเองว่า ในเมื่อเขาไม่เหลือใครแล้วเขาจะทนเหนื่อยแบบนี้ไปเพื่อใครกัน แต่คำตอบที่ได้กลับเป็นเช่นเดิม
‘เพื่อช่วยเหลือผู้คนให้มีชีวิตอยู่กับคนที่รักต่อไป’