บทที่ 8 Orange Tulips

2634 คำ
บทที่ 8 Orange Tulips ดอกทิวลิปสีส้ม แทนความอบอุ่นเหมือนแสงแดดยามเช้า                   อคิราห์รีบตื่นนอนแต่เช้าดังที่เคยทำเป็นปกตินับตั้งแต่ที่ได้เจอกับคนที่ทำให้เขาตกหลุมรัก แต่ความจริงแล้วอคิราห์ก็ไม่กล้าเรียกสิ่งที่เขาทำอยู่ว่าการตื่นแต่เช้าได้เต็มปากหรอกนะ เรียกว่ายังไม่ได้นอนคงจะสนิทใจเสียยิ่งกว่า                 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ทำเอาเขานอนไม่หลับทั้งที่ร่างกายฟ้องว่าอยากพักผ่อนเต็มทน แต่ก็ดูเหมือนว่าดวงตาจะไม่เห็นด้วย เมื่อมันไม่ยอมหลับลงเลยแม้แต่น้อย                 ภาพในหัวที่ปรากฏทั้งคืนคือภาพรอยยิ้มหวานบาดจิตของคนที่อคิราห์เพิ่งจะสารภาพรักไปเมื่อคืน                 เรียกว่าสารภาพรักได้หรือเปล่าเขาเองก็ไม่มั่นใจเหมือนกัน การแสดงออกแบบนั้นเรียกว่าการขอความรักและความเห็นใจจะดีกว่า                 แม้จะไม่เคยทำมาก่อนและเคยคิดว่าการขอความรักจากคนอื่นเป็นเรื่องที่น่าอายมากที่สุดแต่อคิราห์กลับชอบตัวเองตอนตกหลุมรักลูกสาวเจ้าของร้านดอกไม้เป็นอย่างมาก                 เพราะทุกครั้งที่เขาหลับตา ภาพรอยยิ้มแสนหวานและใบหน้าที่งดงามบาดจิตนั้นก็เด่นชัดขึ้นมายังไงล่ะ นั่นทำให้อคิราห์เผลอเผยรอยยิ้มได้ทั้งวันเชียวล่ะ                 'อรุณสวัสดิ์ค่ะน้องเหมย'                 หลังจากที่อาบน้ำแต่งตัวเสร็จอคิราห์ก็กดส่งข้อความเป็นครั้งแรกของวัน และเป็นข้อความที่สองนับตั้งแต่ที่คนตัวเล็กอนุญาตให้เขาได้ติดต่อกับเธอ                 วันนี้เธอผู้นั้นอ่านข้อความของเขาเร็วเป็นพิเศษ นี่เพิ่งจะเจ็ดโมงเช้าเองนะ หรือว่าน้องเหมยจะไม่ได้เขียนนิยายแล้วถึงตื่นเช้าแบบนี้ได้                 'ตื่นเช้าจังเลยค่ะ'                 อ่านอีกแล้วแต่ไม่ตอบ โทรศัพท์พังหรือเปล่านะถึงตอบไม่ได้ แบบนี้ต้องถามเพื่อความแน่ใจ เผื่อว่าพังจริงเขาจะได้ซื้อเครื่องใหม่ให้วันนี้เลย                  'โทรศัพท์พังหรือเปล่าคะ'                 'อ่านแต่ไม่ตอบทุกข้อความเลย'                 'ถ้าพังพี่จะได้ซื้อให้ใหม่'                                 บริมาสลอบยิ้มให้กับข้อความบนหน้าจอ ที่แท้ก็สายเปย์หรอกหรือนี่                 มือเรียววางเครื่องมือสื่อสารไว้ที่เดิม ร่างเล็กลุกขึ้นจากเตียงนอนแล้วพาตัวเองเดินออกมาจากห้อง ตอนนี้ยังเช้าอยู่ อีกสักครู่ผู้เป็นแม่คงเปิดร้านดอกไม้แล้ว บริมาสตั้งใจจะลงไปทำอาหารหรือไม่ก็เตรียมเปิดร้านช่วยมารดา                 ช่วงนี้เธอยังคิดไม่ออกว่าจะแต่งนิยายแนวไหนดี เพราะแต่ละวันมีเรื่องให้ทำเต็มไปหมด บริมาสจึงขอพักการแต่งนิยายเอาไว้ก่อน หากวันใดที่ว่างและคิดพล็อตออก วันนั้นค่อยเริ่มแต่งอีกครั้งก็แล้วกัน                 บริมาสเดินออกมาพลิกป้ายหน้าร้านให้ด้านที่มีคำว่า 'open' แสดงแก่สายตาคนภายนอก จากนั้นก็ปลดล็อกกลอนประตูกระจก การเปิดร้านเป็นอันเสร็จสิ้นแล้ว                 "สวัสดีครับ ผมมาส่งดอกไม้ครับ"                 ร่างเล็กหันไปตามเสียงเรียกแล้วยิ้มให้พนักงานส่งดอกไม้ ตะกร้าดอกไม้ถูกลำเลียงลงจากรถจำนวนสองตะกร้า บริมาสก็ไม่สามารถเดาได้ว่าเป็นดอกอะไรเพราะมีกระดาษหนังสือพิมพ์ห่อหุ้มอยู่                 "คุณแม่เป็นคนสั่งเหรอคะ"                 "ใช่ครับ ดอกทิวลิป 80 ดอก"                 บริมาสพยักหน้าเข้าใจแล้วเชิญชวนพนักงานให้ขนดอกไม้เข้ามาภายในร้าน                  "คุณแม่คะ ดอกไม้มาส่งแล้วค่ะ"                 "ขอโทษที่มาสายนะครับคุณป้า พอดีว่าวันนี้ฝนตก รถเลยติดมาก"                 "ไม่เป็นไรจ้ะพ่อหนุ่ม ทันเปิดร้านพอดี"                 เจ้าของร้านยื่นธนบัตรในมือให้กับพนักงานแล้วส่งยิ้มให้อย่างที่เคยทำเป็นประจำ                  "เดินทางปลอดภัยนะจ๊ะ"                 "ขอบคุณที่อุดหนุนครับ"                 พนักงานโค้งให้แล้วเดินออกจากร้านไป สวนทางกับลูกค้าที่เพิ่งเปิดประตูเข้ามาพอดี                  "สวัสดีค่ะคุณแม่"                 บริมาสหันไปมองคนมาใหม่หน้าตาตื่น เพราะน้ำเสียงที่คุ้นหูทำให้เธอค่อนข้างที่จะมั่นใจว่าลูกค้าคนนี้จะเป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจาก...                 "สวัสดีตอนเช้าจ้ะหนูอคิณ"                 "วันนี้ขอฝากท้องที่บ้านของคุณแม่หน่อยนะคะ ติดใจฝีมือตั้งแต่เมื่อวานแล้วค่ะ"                 ทำไมถึงได้มีความใจกล้าหน้าด้านมากมายขนาดนี้กันนะ บริมาสแอบคิดในใจ                 "แม่กำลังนึกถึงอยู่พอดีเลย กลัวว่าเช้านี้หนูอคิณจะไม่ทานข้าวอีก"                 อคิราห์ได้รับรอยยิ้มจริงใจจากผู้สูงวัยกว่าตรงหน้า แต่พอมองเลยไปด้านหลังเขากลับเจอกับใบหน้าบึ้งตึงของลูกสาวท่านเสียได้                 แต่เดี๋ยวก่อนนะ วันนี้น้องเหมยไม่ได้แต่งหน้างั้นหรือ ปกติคนตรงหน้าจะแต่งเพียงอ่อน ๆ เท่านั้น แต่งก็เหมือนไม่แต่ง แต่ถึงกระนั้นก็ยังดูสวยหมดจดอยู่ดี ยิ่งวันนี้ไม่มีเครื่องสำอางสักชิ้นแต่งแต้มบนใบหน้า ยิ่งดูเหมือนว่าบริมาสเป็นเพียงเด็ก ม.ปลายเท่านั้น                   หน้าใสแต่ใจเสือ อคิราห์แอบคิดในใจแล้วแย้มยิ้มออกมา                 "โจ๊กเสร็จแล้วนะ"                 ประมุขของบ้านเดินออกมาจากในครัวแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่ม                  "สวัสดีค่ะคุณลุง"                 ผู้ที่สูงอายุกว่ายกมือรับไหว้แล้วกล่าวเชิญชวนให้ทุกคนเดินไปยังโต๊ะรับประทานอาหารที่อยู่ในครัว มีหม้อโจ๊กและเครื่องปรุงวางอยู่ตรงกลางเรียบร้อยแล้ว เนื่องจากเช้านี้ฝนตก จึงทำให้ตั้งโต๊ะที่หลังบ้านไม่ได้                 อคิราห์ยิ่งรู้สึกหลงรักครอบครัวนี้มากขึ้นไปอีกเท่าตัวเมื่อเห็นว่าเช้านี้คนที่ทำอาหารคือผู้เป็นพ่อ ไม่ใช่คุณแม่ที่เขาเห็นจนชินตาในครอบครัวส่วนใหญ่                 "หนูอคิณตักได้ตามใจชอบเลยนะจ๊ะ"                 "เอ่อ...น้องเหมยไม่ทานด้วยกันเหรอคะ"                 "รายนั้นคงจะไปอาบน้ำล้างหน้าแปรงฟันก่อนแล้วค่อยลงมาทาน"                 สงสัยเช้านี้คงจะแห้วสินะ นึกว่าจะได้ร่วมโต๊ะกับน้องเหมยเสียแล้ว                 อคิราห์ละเลียดชิมโจ๊กฝีมือของพ่อบ้านช้า ๆ แต่ก็ช่างเอร็ดอร่อยยิ่งนัก ตลอดเวลาที่นั่งอยู่ด้วยกันท่านทั้งสองก็พยายามหาเรื่องมาเสวนากับเขาเพื่อให้บรรยากาศไม่อึดอัดจนเกินไป                 แต่อคิราห์คิดว่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้ไม่ได้อึดอัดเลยสักนิดเดียว คนที่เขาคิดว่าเป็นคนพูดน้อยอย่างคุณลุงกลับชวนเขาคุยด้วยอย่างสนุกสนาน ทั้งเรื่องดอกไม้ ต้นไม้ และดูเหมือนว่าท่านจะชอบเป็นพิเศษยามที่เขาบอกว่าตัวเองชอบถ่ายรูป                 "เรียกแม่ว่าแม่ แต่เรียกพ่อว่าลุง มันไม่ค่อยเข้ากันเลยนะลูก"                 "นั่นน่ะสิ เรียกว่าพ่อดีกว่านะหนูอคิณ"                 "โอเคค่ะ งั้นหนูขออนุญาตเรียกคุณพ่อกับคุณแม่ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไปเลยนะคะ"                 "ด้วยความยินดีครับ"                 อคิราห์ยิ้มแป้น นี่สินะที่สุภาษิตโบราณกล่าวไว้ว่า เข้าทางผู้ใหญ่หมาไม่กัด                 "น้องเหมยมาพอดีเลย มาทานข้าวก่อนลูก"                 บริมาสเดินมานั่งลงฝั่งตรงข้ามกับแขก กลิ่นหอมอ่อน ๆ ที่ลอยออกมาจากร่างเล็กทำให้อคิราห์ลอบสูดดมกลิ่นนั้นเข้าสู่ปอดอยู่เงียบ ๆ                  "ทานเยอะ ๆ เลยนะหนู ข้าวเช้ามีประโยชน์"                 อคิราห์ค้อมศีรษะลงน้อย ๆ เป็นการขอบคุณเมื่อประมุขของบ้านพ่วงด้วยตำแหน่งพ่อครัวของเช้านี้ตักโจ๊กในหม้อเพิ่มให้เขาจนเกือบจะเต็มถ้วย                 แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน เขาจะได้หาข้ออ้างในการนั่งมองน้องเหมยอยู่ตรงนี้นาน ๆ                  หลังจากที่ลูกสาวนั่งลงท่านทั้งสองก็ลุกขึ้น อคิราห์ได้ยินท่านชักชวนกันไปแยกดอกไม้ออกจากตะกร้าเพื่อนำส่วนหนึ่งออกมาขาย และเก็บไว้อีกส่วนหนึ่ง                 "โจ๊กอร่อยดีนะคะ"                 เพราะไม่ค่อยได้เจอผู้คน และเป็นคนที่คุยไม่เก่งอยู่แล้วบริมาสจึงนั่งเงียบตลอดเวลาที่รับประทานอาหาร เธอไม่รู้ว่าจะชวนแขกของคุณแม่คุยเรื่องอะไรจึงได้แต่เงียบอยู่อย่างนั้น                 "ค่ะ เชื่อแล้วว่าอร่อยจริง ๆ"                 น้องเหมยเป็นคนอารมณ์ดีในระดับหนึ่งเลยนะ มีการแซวที่เขาเพิ่มโจ๊กเป็นถ้วยที่สองด้วย                 "อร่อยแบบนี้คงต้องมาฝากท้องที่นี่บ่อย ๆ แล้วสินะคะ"                 บริมาสถอนหายใจออกมาตรง ๆ เธอยังสับสนกับตัวเองอยู่ หนำซ้ำยังสับสนกับตัวเขาด้วย เจอกันเพียงไม่กี่ครั้ง คนเราจะสามารถตกหลุมรักได้ง่ายขนาดนั้นเลยหรือ                 "น้องเหมยคะ"                 "คะ"                 อคิราห์เรียกชื่อคนตรงหน้าด้วยน้ำเสียงจริงจัง                  "พี่รู้ว่าน้องเหมยกำลังสับสน พี่เองก็ไม่ต่างกันสักเท่าไหร่ในตอนที่เราเจอกันครั้งแรก"                 "..."                 "แต่หลังจากนั้นพี่ก็เอาแต่มองหาน้องเหมย มันมีความรู้สึกว่าอยากเจอ และพี่ก็เจอจริง ๆ"                 "..."                 "น้องเหมยเชื่อเรื่องพรหมลิขิตไหมคะ"                 "เราเป็นนักเขียน เขียนนิยายแนวนี้บ่อยค่ะ"                 แสดงว่าเชื่อสินะ อคิราห์สรุปกับตัวเองในใจเสร็จสรรพ                 "พี่ก็เชื่อ พี่บอกตัวเองว่าถ้าเจอน้องเหมยเป็นครั้งที่สาม พี่จะไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดลอยไป"                 "..."                 "ให้โอกาสพี่ได้ไหมคะ ให้พี่ได้พิสูจน์ตัวเอง"                 "เราเป็นคนโลกส่วนตัวสูงนะคะ และรู้สึกโกรธมากที่วันนั้นคุณเข้าไปในพื้นที่ส่วนตัวของเรา"                 การรับประทานอาหารเช้าควรมีแต่เรื่องสดใสมากกว่าเรื่องจริงจังที่ชวนให้คิดหนักแบบนี้นะ                  "พี่ขอโทษ"                 "คุณขอโทษบ่อยแล้วค่ะ"                 "แล้วจะให้โอกาสพี่หรือเปล่าคะ"                 "เราเพิ่งเจอกันนะคะ"                 บริมาสเตือนสติเขาอีกครั้ง                 "สำหรับเราแล้วการที่คนสองคนจะพัฒนาความสัมพันธ์มันต้องมีอะไรมากกว่านี้"                 อคิราห์ยิ้มกว้าง อย่างน้อยเขาก็โล่งใจที่คนตรงหน้าไม่ได้ปิดกั้น                 "พี่จะทำให้ดีที่สุดค่ะ"                 "เรายังไม่ได้อนุญาตคุณเลยนะคะ"                 ทำไมต้องแสดงท่าทางดีใจขนาดนั้นด้วยเล่า                 "รอแป๊บนึงนะคะ"                 ร่างสูงลุกพรวดพราดขึ้น เขาก้าวเท้ายาว ๆ ตรงไปยังหน้าบ้านที่เป็นพื้นที่สำหรับขายดอกไม้แล้วกลับมาอีกครั้งในชั่วอึดใจ                 "นี่คือดอกทิวลิปค่ะ พี่ไม่รู้ว่าทิวลิปสีส้มหมายความว่าอย่างไร"                 "..."                 "แต่พี่จะมอบให้น้องเหมยเพื่อเป็นการขอโอกาส"                 บริมาสมองดอกไม้ในมือเขาแล้วเลิกคิ้ว อีกแล้วหรือ คนวุ่นวายผู้นี้เอาดอกไม้ของคุณแม่มามอบให้ลูกสาวของท่านอีกแล้วสินะ                 แต่เห็นแก่ความหมายที่อบอุ่นของมัน เธอจะรับไว้ก็แล้วกัน                 "ให้โอกาสพี่ได้ไหมคะ"                 "..."                 "เอ่อ...หรือว่าน้องเหมยจะไม่นิยมเพศเดียวกันคะ ถ้าเป็นแบบนั้นก็บอกพี่ได้ตามตรงเลยนะคะ"                 อคิราห์เอ่ยด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย จริงสินะ เขาลืมคิดเรื่องนี้ไปเสียสนิท                 "ไม่ใช่แบบนั้นหรอกค่ะ"                 บริมาสเอ่ยเพื่อให้เขาสบายใจ ถึงเธอจะไม่เคยชอบใครหรือไม่เคยมีแฟนมาก่อน แต่เธอก็ไม่ได้จำกัดเอาไว้ว่าคนที่เธออยากอยู่ด้วยไปตลอดชีวิตต้องเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย เธอเขียนนิยายแนวนี้อยู่แล้ว ทัศนคติถือเป็นเรื่องสำคัญของนักเขียน และบริมาสเองก็เข้าใจความเท่าเทียมและความหลากหลายทางเพศเป็นอย่างดี                 "เราแค่คิดว่ามันเร็วเกินไป"                 "พี่รอได้ค่ะ พี่ให้เวลาน้องเหมยได้ และที่สำคัญพี่ก็อยากให้เวลาเราทั้งสองคนได้เรียนรู้กันไปนาน ๆ ด้วย"                 "อย่างที่บอกว่าเราเพิ่งรู้จักกับคุณ เพราะฉะนั้นอย่าคาดหวังอะไรเลยจะดีกว่านะคะ"                 อคิราห์ส่งยิ้มอบอุ่นไปให้คนตรงหน้า เขาเข้าใจดี หากเป็นตัวเขาเองมีคนที่เพิ่งจะเจอกันได้ไม่กี่ครั้งมาสารภาพรักและขอโอกาสแบบนี้ก็คงจะวิ่งหนีไปให้ไกลเสียแล้วล่ะ ต้องนับถือน้องเหมยจริง ๆ ที่เป็นคนมีสติขนาดนี้                 "ขอบคุณนะคะ"                 บริมาสเงยหน้าขมวดคิ้วมองเขาด้วยความสงสัย                 "เรื่องอะไรเหรอคะ"                 "ที่ไม่วิ่งหนี และปฏิเสธพี่"                 อคิราห์ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ได้เวลาที่เขาต้องไปทำงานแล้ว น้องเหมยคงไม่ชอบเท่าไหร่หากมีคนมานั่งจ้องเวลารับประทานอาหาร อย่าว่าแต่น้องเหมยเลย หากเป็นตัวเขาเองก็คงจะไม่ชอบเช่นเดียวกัน                 "พี่ไปทำงานแล้วนะคะ ทานข้าวเช้าให้อร่อยนะ"                 ส่งยิ้มให้เป็นครั้งสุดท้ายแล้วอคิราห์ก็เดินออกไปจากห้องครัวทันที                 "จะไปทำงานแล้วเหรอหนูอคิณ"                           "ค่ะคุณแม่ ขอบคุณสำหรับอาหารเช้านะคะ"                 "ด้วยความยินดีจ้ะ"                 อคิราห์ค้อมหัวให้คนสูงอายุกว่าทั้งสองคนอย่างนอบน้อม                 "เดี๋ยวสิจ๊ะหนูอคิณ"                 เท้าที่กำลังเดินพ้นบานประตูออกไปหยุดชะงักทันทีเมื่อได้เสียงเรียกจากทางด้านหลัง                 "มีอะไรหรือเปล่าคะ"                 "เย็นนี้หนูอคิณว่างไหม"                 "ว่างค่ะ"                 ตอบโดยไม่ต้องคิดให้เสียเวลา เนื่องจากคำถามในลักษณะนี้มันทำให้      อคิราห์รู้ได้ในทันทีว่าเจ้าของร้านต้องมีอะไรอยากพูดคุยกับเขาสักอย่างเป็นแน่                 "ดีเลยจ้ะ เย็นนี้แม่วานให้หนูอคิณพาน้องเหมยไปซื้อแจกันให้แม่ได้ไหมจ๊ะ"                 เนื่องจากวันนี้ไม่มีใครว่างพาลูกสาวคนเล็กไปเดินเลือกแจกันที่ห้างที่น้องเหมยชอบไปเป็นประจำเลย หมอกต้องไปทำงาน ส่วนม่านก็ต้องไปซื้อของเข้าร้าน และรถยนต์ของผู้เป็นพ่อก็ยังซ่อมไม่เสร็จ ท่านไม่อยากให้ลูกสาวเดินทางด้วยรถประจำทางเพียงคนเดียว เนื่องจากเป็นห่วงอย่างมาก                 ม่านเสนอว่าพรุ่งนี้จะเป็นคนพาน้องสาวไปเอง แต่ท่านอยากได้แจกันในเร็ววัน เพราะในตอนนี้มีดอกไม้หลายชนิดที่ยังค้างอยู่ที่ร้าน และท่านอยากจะจัดดอกไม้เหล่านั้นเอาไว้โชว์ให้ลูกค้าได้ดู                 และที่สำคัญที่สุดก็คือท่านอยากได้แจกันดอกไม้ที่เข้ากับดอกยิปโซสักที ในเมื่อเดินหาซื้อที่ตลาดแถวบ้านไม่มี ท่านก็อยากให้ลูกสาวได้ไปเดินหาเลือกซื้อจากห้างที่ขายวัสดุอุปกรณ์พวกนี้โดยเฉพาะมาให้                 คนวัยหนุ่มคงมีรสนิยมดีกว่าวัยอย่างท่านหลายเท่า                 อคิราห์ยิ้มรับพร้อมกับตอบตกลง ผู้ใหญ่เปิดทางให้ขนาดนี้ เขาคงต้องงัดทุกวิธีมาพิชิตใจของน้องเหมยให้ได้ในเร็ววันเสียแล้วล่ะ                 "ได้ค่ะคุณแม่ บอกน้องเหมยเตรียมตัวไว้เลยนะคะ บ่ายสามอคิณจะมารับ"                 ร่างสูงก้าวเท้าออกจากร้านด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ทุกเวลาที่เขาอยู่ที่นี่มีตอนไหนที่เขาไม่ยิ้มบ้างนะ เขาชักจะชอบที่แห่งนี้ และคนในครอบครัวนี้เสียแล้วสิ                 ตอนนี้ฝนหยุดตกแล้ว ก้อนเมฆที่บดบังแสงของดวงอาทิตย์เมื่อเช้านี้หายไป แทนที่ด้วยแสงสีทองที่สาดส่องสว่าง ราวกับว่าแสงของดวงอาทิตย์กำลังชี้นำทางเขาว่า หากจะเอาชนะใจใครสักคน การเป็นตัวของตัวเองและเคารพความเป็นตัวเองของเขานั้นสำคัญที่สุดแล้ว
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม