บทที่ 3
นางหันมองกลับไปที่ยอดเขา ตรงจุดที่เคยเป็นสถานที่แห่งความทรงจำอันเจ็บปวดในอดีต สายตาของนางเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น แต่ในความมุ่งมั่นนั้นกลับแฝงไว้ด้วยความโหยหาลึกซึ้ง
“ยอดรัก หากท่านมาตามสัญญาแล้วมิเจอข้าที่รอท่านอยู่ อย่าเพิ่งถอดใจ… รอข้าสักนิดเถิด” นางคิดในใจ พลางสบตากับความว่างเปล่าที่ทอดยาวเหนือยอดเขา “ข้าจะรีบแก้แค้นให้นังหนูนี่ และชำระหนี้แค้นที่มีต่อท่าน เมื่อภารกิจนี้เสร็จสิ้น ข้าจะรีบกลับมา…เล่นหมากรอข้าก่อนเถิด”
เสียงลมที่พัดโชยเบา ๆ ดูเหมือนจะเป็นคำตอบอันเงียบงันจากยอดเขา เมียวชิงถอนหายใจเบา ๆ ก่อนที่จะหันกลับมา จิตใจของนางยังคงเต็มไปด้วยความหวังที่จะได้พบเขาอีกครั้ง แม้ต้องใช้ชีวิตนี้เพื่อการแก้แค้นและการรอคอย แต่นางก็พร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อรักษาคำสัญญาที่มีต่อคนที่รัก
“อีกไม่นาน…” นางกระซิบกับตัวเอง ขณะที่ความมุ่งมั่นในดวงตานั้นกลับมาเปล่งประกาย
ทันทีที่รถม้าหยุดเมียวชิงก็รีบร้องขอคนที่ชะโงกมามอง เมิ่งเมียวชิงเข้าใจตอนนี้เอง คำของเจ้าของร่างที่เอ่ยขอร้องนาง ตอนนี้นางเองก็อยากจะขอร้องคนตรงหน้าเช่นเดียวกัน
“ช่วย ชะ ช่วยด้วย”
แม้คิดว่าตนยังไหวแต่ดูเหมือนร่างกายนี้จะทนได้อีกไม่นานนัก
หานเย่ที่ชะโงกออกไปดูว่าใครกันกล้าโจมตีรถม้าของเขา แต่เมื่อเห็นกองเศษผ้าที่เหมือนผ้าขี้ริ้วเปื้อนเลือดเน่า ๆ ตรงหน้ามากกว่ามนุษย์ก็ไม่อาจจะละสายตาไปได้
แม้จะมีภารกิจที่ต้องเร่งไปจัดการ แต่อย่างไรรถม้าก็จำเป็นต้องเปลี่ยนล้อ
เหล่าองครักษ์พากันเร่งมือช่วยกันเปลี่ยนล้อรถม้าที่หักกลางทางอย่างรีบร้อน ขณะที่ทุกคนต่างเฝ้ามองไปรอบ ๆ ด้วยความกังวลใจ ใจหนึ่งสงสัยว่าเหตุใดองค์ชายถึงได้เปลี่ยนเส้นทางอย่างกะทันหันเช่นนี้ ทั้งที่เส้นทางเดิมนั้นเคยใช้เดินทางไปกลับเมืองหลวงมานับร้อยครั้ง แต่กลับไม่เคยคิดจะผ่านทางนี้มาก่อน
ท่ามกลางความเงียบงันของป่าเขา เสียงลมพัดโชยมาอย่างแผ่วเบา พัดพากลิ่นหอมประหลาดที่ลอยมาตามลม กลิ่นนั้นหอมละมุนราวกับดอกไม้นับหมื่น แต่ในความงามกลับแฝงไว้ด้วยความเย็นยะเยือก จนทำให้เหล่าองครักษ์รู้สึกสะท้านเยือกไปถึงสันหลัง แม้เป็นผู้ถือคมดาบที่พร้อมเผชิญหน้าศัตรูใด ๆ ก็หาได้ทำให้พวกเขาหวาดหวั่น แต่เมื่อต้องเผชิญกับสิ่งที่มองไม่เห็นความรู้สึกประหวั่นพรั่นพรึงก็เข้ามาครอบงำ
“คมดาบข้าไม่เคยกลัว แต่เรื่องภูตผีวิญญาณนี่…หลีกเลี่ยงได้ย่อมดีกว่า” หนึ่งในองครักษ์พึมพำกับตนเอง ขณะที่เหล่าองครักษ์คนอื่น ๆ พยักหน้าเห็นด้วย พลางเร่งมือให้เสร็จสิ้นเร็วที่สุด ในใจพวกเขาไม่อาจปฏิเสธได้ว่ามีบางสิ่งที่ไม่ปกติในที่แห่งนี้…
“ขอแค่ติด อึก ติดไปลงที่โรงเตี๊ยมเท่านั้น ไม่ต้องช่วย...ชีวิต” แม้วิญญาณจะไม่บาดเจ็บแต่ร่างที่เจ็บไปทั่วก็ทำให้การพูดแต่ละคำนั้นยากเย็น
คำขอนั้นทำให้หานเย่แปลกใจ หากอีกฝ่ายบอกให้เขาพาไปโรงหมอยังน่าเชื่อมากกว่า เพราะสภาพของคนตรงหน้า ควรจะขอให้ช่วยชีวิตมากกว่าจะทำเพียงแค่ติดรถม้า แต่ไม่ว่าจะโรงหมอหรือโรงเตี๊ยมก็ล้วนอยู่เมืองด้านหลัง หานเย่จึงยอมให้คนที่บาดเจ็บขึ้นรถมาด้วย
และแม้ว่าร่างกายจะดูย่ำแย่เต็มที แต่กลับไร้ซึ่งน้ำตาหรือเสียงสะอื้น สิ่งมีชีวิตตรงหน้าทำให้ชีวิตที่กำลังน่าเบื่อหน่ายเพราะต้องตามแก้ปัญหาให้น้องชายดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาบ้าง
“ไหน ๆ ก็ต้องไปทางนี้แล้ว ถ้าเจ้าไม่ได้อยากแวะโรงหมอก็บอกทางไปบ้านของเจ้ามาแล้วข้าจะไปส่ง”
เมิ่งเมียวชิงชั่งใจอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยออกไป
“ส่งข้าที่จวนของราชครูหลี่ก็ได้เจ้าค่ะ” หานเย่ขมวดคิ้วเพราะนั่นก็คือจุดหมายที่เขาจะต้องไปเช่นเดียวกัน
สิ้นเสียงร่างของหญิงสาวก็หมดสติลง โดยไม่ได้รู้เลยว่าความหวังของเจ้าตัวนั้นยังคงมีอยู่หรือเปล่า
“เจ้ามีนามว่าอะไรกัน” ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะถามออกไป นั่นก็เพราะการเดินทางกลับมาเมืองหลวงครั้งนี้ เขากลับมาตามคำสั่งของเสด็จพ่อซึ่งพระองค์ทรงส่งคนไปตามให้เขามารับผิดชอบปัญหาของน้องชาย
แน่นอนว่าคนอย่างเขาย่อมสืบจนรู้ทั้งหมดว่าปัญหาที่ว่านั่นคือน้องของเขาลอบได้เสียกับบุตรีคนรองของราชครูหลี่จนตั้งครรภ์ทั้ง ๆ ที่ตนเองก็มีสัญญาหมั้นหมายกับพี่สาวของหญิงสาวคนนั้น และด้วยเหตุนั้นจึงทำให้เขาต้องมานั่งไม่พอใจที่จะต้องมาแต่งงานแทนอีกฝ่ายเพื่อทดแทนคุณที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขา
และก้อนเนื้อสกปรกตรงหน้านี้เขาก็แค่รับมาเพราะกำลังเบื่อจากเรื่องราวเหล่านั้นอยู่พอดีก็เท่านั้น หวังว่าเรื่องราวที่คงจะน่าตื่นเต้นของอีกฝ่าย น่าจะพอทำให้เขาคลายความหงุดหงิดลงได้บ้าง แต่เมื่อได้ยินชื่อของราชครูหลี่ก็เหมือนทุกอย่างจะเปลี่ยนไป
“ข้าน้อยชื่อหลี่เลี่ยงหรงเจ้าคะ” เมิงเมียวชิงที่ใช้พลังปราณรักษาอาการไปบ้างตอบอย่างชัดเจน ซึ่งคำนั้นทำให้คิ้วของคนฟังกระตุก
เพราะคนตรงหน้านี้ คือคนที่ทำให้เขาต้องดั้นด้นกลับมาที่เมืองหลวงเพื่อแต่งงาน ความสนใจของหานเย่เปลี่ยนไปทันที ชายหนุ่มไม่ได้คิดอะไรมากในเมื่ออีกฝ่ายดูเป็นคนตรง ๆ เช่นนั้นแล้วเขาก็จะพูดตรง ๆ