บทที่ 2
ดวงตางดงามราวกับดวงจันทร์พร่างพราวบนท้องนภา ในยามนี้กลับพร่ามัวปรือมองพื้นที่รอบ ๆ ขณะที่มือก็พยายามไต่ลากตัวเองให้เคลื่อนผ่านบันไดไปอีกขั้น ความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปทั่วร่างจนเกินที่ร่างกายบอบบางของหญิงสาวจะทานทนไหว นางรู้สึกราวกับร่างของตนจะถูกกลืนหายไปในความมืดมนรอบ ๆ ตัว คงมิใช่ท้องฟ้าที่มืด แต่หากคงเป็นดวงตาของนางที่ใกล้จะดับ ประกายจากดวงตาใกล้หมดแสง
ทุกครั้งที่พยายามขยับตัว ความรู้สึกเจ็บแปลบจากข้อเท้าที่ถูกตัดเอ็นอย่างเลือดเย็นก็ยิ่งลุกลามรุนแรงขึ้น ถึงกระนั้นเลี่ยงหรงก็ไม่อาจจะปล่อยตัวให้อยู่กับที่ได้นาน นางพยายามตะเกียกตะกายด้วยแรงเฮือกสุดท้ายเพื่อเอาตัวรอดจากน้องสาวและชายผู้เป็นคู่หมาย
แม้ร่างกายใกล้จะหยุดนิ่ง แต่หัวใจของหญิงสาวยังพยายามดิ้นรนเพื่อหนี แต่น่าเสียดายยิ่งนักที่นางคงมาได้ถึงแค่ตรงนี้เลี่ยงหรงทิ้งตัวลงนอนกับพื้นพลางคิดถึงเรื่องก่อนหน้า หากนางไม่โง่ก็คงจะไม่ต้องจบชีวิตลงเช่นนี้
สวรรค์ช่างไม่เมตตานางกับท่านแม่เลย หรือเพราะเกิดเป็นคนตระกูลเมิ่งที่ต้องโทษของแผ่นดินถึงได้มีจุดจบที่น่าเศร้าเช่นนี้
แม้ดวงตาจะมองเห็นท้องฟ้าสีหม่นและยอดเขาเทียนจื่ออยู่ลิบ ๆ แต่เลี่ยงหรงคงมาได้แค่นี้แล้ว ตาที่เคยกลมโตปรือลงด้วยความเหนื่อยล้า ตอนนี้ดวงตาของนางไม่อาจจะเห็นสิ่งใดชัดเจน คงเป็นเพราะเลือดที่ยังคงไหลไม่หยุดจนลากเป็นแนวยาวมาตามทางที่นางลากตัวเองหนีภัยร้ายมาเรื่อย ๆ
หมอกขาวค่อย ๆ กลืนกินทุกอย่างที่เคยเห็น แม้แต่เสียงหัวใจของตนเองเลี่ยงหรงก็แทบจะสัมผัสไม่ได้ หญิงสาวที่กำลังจะทิ้งชีวิตและก้าวข้ามสะพานไน่เหอกลับเห็นหมอกขาวเมื่อครู่กลายเป็นร่างของคน
“จะคนก็ดี จะผะผี อึก ก็ช่าง ข้าขอร้องแก้แค้นให้ข้าที”
เมียวชิงมองผู้มาใหม่ด้วยสายตาเวทนา ในยามแรกนางหลงคิดว่าเป็นคนผู้นั้นกลับมาตามสัญญา แต่เห็นเพียงร่างกายที่ใกล้ดับแสงของหญิงสาวผู้หนึ่ง หากมองเห็นนาง นั่นยอมหมายถึงหญิงสาวผู้นี้คงใกล้จะหมดลมหายใจแล้ว จึงได้มองเห็นคนตายเยี่ยงนาง
“ข้ารอคนผู้หนึ่งอยู่…มิใช่เจ้าเด็กน้อย”
เลี่ยงหรงนัยตาไหวระริกเต็มไปด้วยความหวัง เมื่อหมอกเงาสีขาวตรงหน้าโต้ตอบกลับมา
“หากท่านแก้แค้นให้ข้า ข้ายินดียกร่างนี้ให้แก่ท่าน”
“ร่างของเจ้าที่ใกล้ตาย ข้าจะเอาไปทำอะไรได้กันเล่า” เมียวชิงทำเสียงเย้ยหยัน
“ต้าอวี่ ฮ่อ..ฮ่องเต้”
เมื่อนามที่หลงลืมไปนานแล้วถูกเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง เสียงนั้นเบาและแผ่วคล้ายกับลมพัดผ่าน แต่กลับก้องกังวานไปทั่วบริเวณทันใดนั้น บรรยากาศโดยรอบที่เคยเคลื่อนไหวพลันหยุดนิ่งขึ้นมาในทันที ราวกับกาลเวลาเองยังชะงักงันตามคำเรียกนั้น
“ไอ้คนบ้าอำนาจนั่นยังมีชีวิตอยู่งั้นหรือ”
เมียวชิงเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงกระด้าง ไม่นึกเลยว่าห้วงเวลาที่นางวนเวียนรอคอยคนที่นางรัก ศัตรูของนางยังมีชีวิตอยู่ ไยสวรรค์ถึงได้ลำเอียงให้คนชั่วช้าเช่นนั้นมีชีวิตเสวยสุขมายาวนาน แต่คนดี ๆ เช่นคนรักของนางกลับอายุสั้นนัก
“คนที่ทำร้ายข้าคือโอรสของฮ่องเต้ต้าอวี่ ท่านกับข้ามีความแค้นกับคนตระกูลเดียวกัน แต่เวลาของข้าคงใกล้หมดแล้ว ข้าขอร้องท่าน เมียวชิง แก้แค้นให้ข้าที” ในยามนี้เลี่ยงหรงมั่นใจแล้วว่าคนตรงหน้าคือผี ไม่ใช่สิ คือนางมารเมียวชิงที่ผู้คนหวาดกลัว หากเป็นนางต้องแก้แค้นให้ตนเองได้สำเร็จอย่างแน่นอน
“หากข้าแก้แค้นให้เจ้าได้ ข้าก็จักทำ” เมิ่งเมียวชิงที่ใช้ชีวิตวนเวียนรอคนคนผู้หนึ่งกลับมาดั่งคำที่เคยสัญญากันเอาไว้ ยามนี้เหลือเพียงนางอยู่เพียงลำพังบนเขาเทียนจื่อ เมื่อได้มองเห็นร่างที่อันน่าเวทนาที่โชกไปด้วยเลือดก็เอ่ยวาจาออกไปส่ง ๆ อย่างไม่ได้ตั้งใจ
แม้จะมีศัตรูคนเดียวกัน แต่นางนั้นเป็นเพียงวิญญาณ
ฉับพลันปรากฏลมวูบใหญ่และเพียงแค่กระพริบตาเมิ่งเมียวชิงก็พบว่าตนเองกำลังถูกชายฉกรรจ์ดึงทึ้งเสื้อผ้าของตน มิหนำซ้ำมันยังคร่อมอยู่บนตัวนางอย่างน่ารังเกียจ
ไม่รอช้าเมิ่งเมียวชิงเอื้อมมือไปหยิบมีดสั้นที่อีกฝ่ายพกเอาไว้ที่เอวก่อนจะหมุนมีดและปักมีดเล่มนั้นลงไปมิดที่อกซ้ายของชายชะตาขาดผู้นั้นตามสัญชาตญาณ
เมื่อหลุดจากการกักขัง หญิงสาวก็เพิ่งรับรู้ว่าตอนนี้ตัวของนางนั้นได้เข้ามาอยู่ในร่างของใครบางคนเพราะรับรู้ได้ถึงร่างกายที่อ่อนแอ อีกทั้งเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายก็ล้วนไม่คุ้นเคย
หญิงสาวชะโงกมองใบหน้าของตนในแอ่งน้ำขังก็พบว่าตนคือหญิงสาวที่นอนร่างอาบเลือดอยู่ก่อนหน้า คำพูดที่เอ่ยออกไปโดยไม่ได้ตั้งใจดังสะท้อนก้องไปทั้งหัว
ในเมื่อได้ลั่นวาจาเมิ่งเมียวชิงก็คิดว่าตนควรจะต้องทำ เมื่อลองไล่ปราณในตัวก็พบว่าถึงร่างนี้จะไร้ซึ่งพลังยุทธ์แต่ก็ยังสัมผัสได้ว่ามีพลังของนางที่ติดมากับวิญญาณ
เมิ่งเมียวชิงไม่รอช้า นางใช้พลังยุทธ์ของตนชะลอการไหลของเลือดและลากร่างที่กำลังจะสิ้นลมไปยังเส้นทางหลักที่คนมักใช้เดินทาง และดูเหมือนโชคจะเข้าข้าง เมื่อพอถึงจุดที่คนมักใช้สัญจรก็ได้ยินเสียงรถม้าวิ่งมาพอดี
เพราะเป็นคนที่ไม่ยอมรับเงื่อนไขที่ต่างออกไปจากที่คิด แทนที่หญิงสาวจะใช้วิธีร้องขอให้อีกฝ่ายหยุดรถแล้วรับนางไปด้วยเมิ่งเมียวชิงกลับเลือกที่จะรวบรวมพลังที่ยังคงมีเหลือไว้ที่ฝ่ามือก่อนจะซัดไปที่เฟืองของล้อรถม้า