ร่วมสองเดือนผ่านพ้นไปแล้ว งานแต่งงานของเขาและหลวนจิ้งอวี่จนถึงบัดนี้ก็ผ่านมาได้ร่วมหนึ่งเดือนได้แล้ว แต่จ้าวจวินหลางนั้นกลับไม่ดีใจหรือมีความสุขเลยสักเพียงนิดเดียว ผู้ซึ่งเพิ่งผ่านการเป็นเจ้าบ่าวมาได้เดือนเศษหากแต่กลับไม่เคยไปร่วมห้องหอกับ ‘พระชายารอง' หลวนจิ้งอวี่เลยสักเพียงหนึ่งราตรี ในยามดึกดื่นคืนนี้เขากลับไม่อาจหลับตาได้ลงจึงต้องลุกขึ้นมาเดินชมจันทรากับรับลมระบายความรู้สึกอึดอัดที่ยากจะอธิบายว่าอึดอัดด้วยเหตุอันใดกันแน่ ดวงใจที่เคยสงบนิ่งมันกลับร้อนรนจนยากจะอธิบาย
จนกว่าจะรู้สึกตัวอีกครั้งเท้าเจ้ากรรมกลับพาเขามาจนถึงตำหนักซุ่นอวินที่อดีตเคยมีใครบางคนอาศัยอยู่ แต่บัดนี้ถูกปิดทิ้งร้างไร้ผู้ใดมาอยู่อาศัยอีกเลยนับจากสองพี่น้องสกุลหวังจากไป ภายในใจบอกให้เขาเดินกลับตำหนักของตนเองไปเสีย แต่เท้าและมือไม่รักดีมันดันพาเขาตรงไปยังประตูแล้วผลักประตูพากายแกร่งเดินเนิบช้าเข้าไปยังตำหนักที่บัดนี้ยังมีกลิ่นอายของหวังลี่จูตลบอบอวลไม่จางหาย หรืออันที่จริงภาพของนางอาจไม่เคยจางหายไปจากความทรงจำของเขาเองก็เป็นไปได้
ร่วมสองเดือนที่นางจากไป ตำแหน่งชินหวางเฟยเขายังรักษามันเอาไว้ให้นางทั้งที่ก็บอกตนเองเสมอว่าที่กันตำแหน่งนี้ก็เพราะอยากช่วยพระมารดาตอบแทนบุญคุณ แต่ส่วนลึกนอกจากเขาจะมีผู้ใดทราบดีกว่าตัวของเขาไปได้ถึงความรู้สึกว่าแท้จริงนั้นใจมีความแค้นหรือมีความรักดังที่พี่ชายเคยกล่าวทักท้วงเอาไว้กันแน่ วันนั้นเขายังจดจำได้ดีว่าหลวนจิ้งอวี่ไม่พึงใจเพียงใดที่สุดท้ายถึงไม่มีตัวของหวังลี่จูอยู่ตำแหน่งพระชายาเอก นางก็ยังไม่ได้ครอบครองเช่นเดิน
แต่ผู้ใดจะใส่ใจ เขาพึงใจเช่นนี้ก็จะทำเช่นนี้ นางมีสิทธิ์อันใดมาเรียกร้อง ก็เพียง ‘หมาก' ที่เขาจำเป็นต้องการมีเอาไว้หากหมดคุณค่าเขาก็จะเฉดหัวทิ้งหรือขายออกไปเป็นนางคณิกาจวบจนถึงขนาดสังหารนางทิ้งก็ย่อมได้ทั้งหมด เขาชั่วก็ยอมรับ เขาสารเลวยิ่งไม่ปฏิเสธ ขอเพียงช่วยฮ่องเต้รักษาราชบัลลังก์เอาไว้ได้กับสืบหาตัวผู้อยู่เบื้องหลังของการสิ้นพระชนม์ของอดีตฮ่องเต้ ต่อให้เขาต้องชั่วช้าจะเลวร้ายกว่านี้อีกนับพันนับหมื่นเท่าจ้าวจวินหลางผู้นี้ยอมเป็นมันได้ทุกสิ่งนั้นแหละ
...แอด...
ประตูห้องพักส่วนตัวของหวังลี่จูถูกมือแกร่งผลักเปิดออกอย่างเนิบช้า กายแกร่งเดินไปกลางห้องแล้วจุดเทียนไขจนแสงสลัวพอให้มองเห็นทุกสิ่งภายในห้องแห่งนี้ เท้าแกร่งก้าวเดินตรงไปยังชุดเจ้าสาวที่ยังคงแขวนอยู่บนไม้แขวนอาภรณ์อย่างงดงามและประณีต ผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวกับพัดประตำแหน่งพระชายาเอกถูกจัดวางเอาไว้ราวกับจะรอให้ผู้เป็นเจ้าของได้กลับมาสวมใส่ นิ้วเรียวแต่หยาบกระด้างลูบไล้ไปตามเนื้อผ้านั้น จวบจนถึงบัดนี้จ้าวจวินหลางก็ยากจะแยกแยะได้ว่าที่แท้เขาเคียดแค้นที่หวังลี่จูนั้นหลบหนีการแต่งงานไป หรือว่าที่ไม่ยอมยกตำแหน่งพระชายาเอกให้กับหลวนจิ้งอวี่นั้นเพราะหัวใจของเขามันได้เรียนรู้จักความ ‘รัก’ ระหว่างชายหญิงแล้วกันแน่
แต่ที่จ้าวจวินหลางรู้มีเพียงจะเป็นความโกรธเคืองหรือเคียดแค้นไปจนถึงมีความรักลึกซึ้งกับสตรีนางนั้นก็แล้วไปเถิด ทว่าจะเป็นอันใดเขาก็ปล่อยวางสตรีนามหวังลี่จูไปจากหัวใจมิได้จริงแท้
ลวดลายของชุดเจ้าสาวถูกเขาสัมผัสราวกับว่าเนื้อผ้านุ่มมือนี้มันสวมอยู่บนเรือนร่างของหวังลี่จูก็มิปาน เขาเฝ้าคาดหวังอยู่ภายในใจลึก ๆ ว่าหากเป็นนางที่สวมแล้วเดินเคียงข้างกับเขาร่วมกราบไว้ฟ้าดินและบรรพชนจะงดงามเพียงใด สีแดงเจิดจรัสนี้คงส่งให้ผิวขาวราวน้ำนมแพะของนางกระจ่างสดใสมิใช่น้อย นิ้วเรียวยาวแตะต้องไปถึงพัดของเจ้าสาวด้ามงดงามที่ปักด้วยฝีมืออ่อนช้อย เขาจับด้ามของมันมาถือเอาไว้แล้วเผลอหลับตานึกไปถึงภาพที่นางใช้มือเรียวเล็กถือด้ามพัดนี้บดบังใบหน้าแต่พองามจะเป็นเช่นไร
…รักหรือแค้นล้วนยากจะแยกแยะจริงแท้…
ชินอ๋องหนุ่มจัดวางข้าวของเอาไว้เช่นเดิม แต่พลันนั้นสายตากลับเหลือบไปเห็นหวีหนึ่งอันวางอยู่บนโต๊ะข้างหัวเตียง เขาจึงเดินตรงไปหยิบมันขึ้นมาแล้วจึงยกขึ้นสูดกลิ่นที่ยังคงหลงเหลือความหอมจากเครื่องหอมที่นางใช้ ไม่รอช้าเขาเก็บมันเอาไว้ตรงอกเสื้อด้านซ้ายแล้วจึงค่อยเดินทอดน่องเนิบนาบกลับตำหนักของตนเองด้วยความรู้สึกที่ดีขึ้นเล็กน้อยหลังจากได้กลิ่นเครื่องหอมที่หวังลี่จูคงใช้บำรุงเส้นผมให้ชื่นใจ
ในขณะที่จ้าวจวินหลางนั้นหันหน้ามุ่งตรงกลับตำหนักของตน คนของพระชายารองหลวนก็เร่งรีบใช้กำลังภายในเหินขึ้นลัดเลาะไปรายงานให้กับผู้เป็น ‘นายหญิง' ของตนเองได้ทราบถึงทุกการกระทำและกิริยาของจ้าวจวินหลางที่มายังตำหนักซุ่นอวินอย่างไม่ขาดตกไปแม้เพียงครึ่งคำ!
“มารดามันเถอะ!”
ผู้ใดจะคาดสตรีรูปโฉมงดงาม กิริยาอ่อนช้อยเสมอมาจะสบถคำหยาบคายดังกล่าวออกมาได้ แต่สำหรับ ‘มัน' แล้วที่รับใช้นายหญิงมาหลายปีคุ้นชินดีอย่างยิ่ง
“เผามันทิ้งเสีย เผามันทั้งตำหนักนั่นแหละ!” นางออกคำสั่งโดยไร้การกลั่นกรองให้ดีว่าหากจ้าวจวินหลางทราบความจริงตนเองจะต้องพบเจอกับอันใดบ้าง แต่เพราะนางคิดว่าตนเอง ‘มาก่อน' แถมยังมีทั้งพี่ชายใหญ่กับบิดาคอยส่งเสริมจึงไม่หวาดกลัวต่อความอำมหิตของจ้าวจวินหลาง หรือไม่อีกสิ่งก็คือนางไม่เคยพบเห็นในยามที่ ‘สุนัขป่าคลั่ง' มาก่อนนั่นเองจึงกล้าลงมือใกล้เพียงจมูกของเขาเช่นนี้
…และแล้วอีกสองราตรีต่อมา…
“ชินอ๋องพ่ะย่ะค่ะตำหนักซุ่นอวินเกิดเพลิงไหม้!!!” เป็นซ่งจินที่พุ่งตรงมารายงานจ้าวจวินหลางภายในตำหนักจินหลงขององค์ฮ่องเต้ เพราะทราบดีว่าตลอดเวลาเกือบสองเดือนที่หมิงเยว่และหมิงหวังกงจู่หายตัวไปโดยไร้ร่องรอย จ้าวจวินหลางนั้นมักจะไปยังตำหนักดังกล่าวแทบจะทุกค่ำคืน เขาที่เป็นองครักษ์เงาใกล้ชิดมีหรือจะไม่ทราบว่าตำหนักของหมิงเยว่และหมิงหวังกงจู่นั้นมันสำคัญและมีค่าทางจิตใจของชินอ๋องมากเพียงใด
“อันใดนะ!?” กายสูงสง่าผุดลุกขึ้นจนม้วนไม้ไผ่สำคัญที่กำลังอ่านอยู่กระเด็นกระดอนตกลงพื้นกระจัดกระจายราวกับพวกมันไร้ค่าลงไปทันใดเมื่อได้ฟังว่าตำหนักซุ่นอวินถูกเพลิงไหม้
“กราบทูลฝ่าบาท กราบทูลชินอ๋อง ตำหนักซุ่นอวินถูกเพลิงไหม้ยากจะควบคุมได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ” ยังฟังไม่จบจ้าวจวินหลางก็วิ่งสุดฝีเท้าตรงไปยังตำหนักซุ่นอวินเสียแล้ว
“อาหลาง! ไปเร็วเข้าซ่งจิน จิ่วเซิน เร่งติดตามชินอ๋องไปโดยเร็ว!!!” ร้องสั่งไปพลางจ้าวจวินข่ายเองก็วางทุกสิ่งในมือตรงดิ่งติดตามน้องชายไปเช่นกัน ก็เขาเองหาใช่คนหูหนวกตาบอดจึงจะไม่ทราบว่าหากราตรีใดจ้าวจวินหลางว่างเว้นจากงานเขามักจะไปหลบอยู่แต่ที่ตำหนักซุ่นอวิน
ไม่ไปนั่งดื่มสุรา เขาก็มักจะไปนั่งชมจันทราเพียงลำพัง แล้วบัดนี้สถานที่ซึ่งเก็บทุกสิ่งทุกอย่างของหวังลี่จูถูกเผาผลาญเช่นนี้ เขาหวาดกลัวเหลือเกินว่าเจ้าสุนัขป่าจอมมุทะลุอาจจะพุ่งกายเข้าไปในกองเพลิงเสียก็เป็นไปได้
“หยุดนะอาหลาง!!!” แล้วผิดจากที่เขาคิดที่ใด เจ้าเด็กเสียสติผู้นี้มันกำลังจะพุ่งเข้าไปในกองเพลิงที่เพลิงกำลังลุกโชนแสงรุนแรงโหมกระหน่ำ หากเข้าไปก็ฆ่าตัวตายดี ๆ นี่เอง
“ไม่นะ!...ปล่อยข้า ชุดแต่งงานกับพัดที่เสี่ยวจูปักเองกับมืออยู่ในนั้น”
…เผียะ!!!...
ฝ่ามือแกร่งของจ้าวจวินข่ายฟาดเปรี้ยงลงไปยังใบหน้าของน้องชายหวังจะเรียกสติของอีกฝ่ายให้กลับมาก่อน หาไม่มันได้บุกเข้าไปสังหารตนเองจนตายเป็นแน่
“มีสติสักหน่อยได้หรือไม่อาหลาง ทุกสิ่งภายในนั้นก็เพียงข้าวของ เช่นไรลี่จูยังปลอดภัยมีชีวิตอยู่ จะตัดชุดแต่งงานให้อีกเท่าใดก็ได้ พัดนั้นจะให้นางปักอีกเป็นร้อยเป็นพันก็ย่อมได้”
จ้าวจวินข่ายจับหัวไหล่แกร่งของคนเป็นน้องชายยึดเอาไว้จนแนบแน่นเพราะกลัวว่าอีกฝ่าจะบ้าดีเดือดพุ่งเข้าไปภายในกองเพลิงจริง ๆ
“ฝ่าบาท…”
“ใช่เป็นข้าเอง มีสติหน่อยสิ คิดทำการใหญ่จิตใจอ่อนแอได้อย่างไร ที่มอดไหม้มีเพียงข้าวของนะอาหลาง ท่องเอาไว้คนยังอยู่!!!”
จ้าวจวินข่ายตะคอกใส่หน้าน้องชายอย่างไม่บ่อยนักที่คนซึ่งรักน้องชายมากจะกระทำ แต่วันนี้จ้าวจวินหลางเสียกิริยาไปมากจริง ๆ
เขารู้สึกเลยว่าตนเองคิดถูกแล้วที่จัดการส่งหวังลี่จูและหวังลี่เจินออกไปเสียจากคมหอกคมดาบอาบยาพิษภายในวังหลวงแห่งนี้ เพราะยิ่งนานไปคนเช่นจ้าวจวินหลางคงได้เปิดเผยจุดอ่อนของตนเองให้ฝ่ายศัตรูได้รู้แจ้งเสียเป็นแน่
“ฝ่าบาท…ชินอ๋องเพคะ” เป็นเสี่ยวจื่อกับเสี่ยวจางที่ตรงเข้ามาคุกเข่าลงตรงหน้าของบุรุษทั้งสองซึ่งสามารถกำหนดชะตาชี้เป็นหรือตายพวกนางทั้งสองพี่น้องได้ด้วยกิริยากายสั่นสะท้านไปหมด
“พะ…พวกเรา…พวกเรานำออกมาได้เพียงเท่านี้เพคะชินอ๋อง ฝ่าบาท”
เสี่ยวจื่อมีชุดเจ้าสาวอยู่ในอ้อมแขน ฝ่ายเสี่ยวจางมีผ้าคลุมศีรษะกับพัดลายหงส์ซึ่งเป็นหวังลี่จูปักเส้นด้ายเองกับมือ จ้าวจวินหลางพูดไม่ออกแม้เพียงครึ่งคำ เขาก้มลงไปรับเอาของในอ้อมแขนของนางกำนัลเด็กสาวทั้งสองมากอดเอาไว้กับหน้าอกแกร่งจนแนบแน่น
พลันนั้นก็เหมือนมีน้ำอุ่นกลิ้งลงมาจากดวงตาคมทั้งคู่นั้นช้า ๆ
“ขอบใจพวกเจ้ามาก” กล่าวจบแล้วจ้าวจวินหลางก็เร่งฝีเท้ากลับตำหนักของตนเองไปทันที ก็บุรุษชาตินักรบเช่นเขากลับหลั่งน้ำตาลงมาแค่เพียงดีใจที่ชุดเจ้าสาวกับพัดที่หวังลี่จูปักทิ้งเอาไว้รอดพ้นจากเพลิงไหม้ สมควรจะให้ผู้อื่นพบเห็นได้อย่างไรกันเล่า
…บัดนี้จะเป็นความแค้นหรือความรักเขายากจะแยกแยะก็จริง ทว่าสิ่งเดียวที่เขารู้แจ้งก็คือนางมาหลบหนีไปเสียก่อนเช่นนี้เขารู้สึกดีใจเหลือเกินแล้ว…
เพราะในวันนี้เขาได้ทราบแล้วว่าขนาดเพียงอาภรณ์กับตำหนักที่นางเคยอยู่อาศัยเขายังสิ้นความสามารถที่จะปกป้องมันเอาไว้รอคอยผู้เป็นเจ้าของกลับมาได้เลย เช่นนี้หากนางกับน้องสาวยังคงอยู่มีหรือที่เขาจะปกป้องชีวิตของพวกนางได้!