และแล้วขบวนสินค้าที่คุ้มกันภัยด้วยสำนักคุ้มภัย ‘อวิ๋นฉี' ก็เดินทางมาถึงเมืองเว่ยจนได้ หวังหลี่จูจึงพบว่าสถานที่แห่งนี้ของโยวโจวนั้นช่างมีสภาพไม่แตกต่างกับ ‘สามเหลี่ยมทองคำ' ในยุคสมัยเมื่อครั้งภพชาติเก่าที่นางได้มีโอกาสไปท่องเที่ยวเลย ขบวนสินค้าพอเข้าเมืองเว่ยก็หยุดพัก ก่อนที่พวกเขานั้นจะผ่านแดนไปส่งสินค้าตามเผ่าต่าง ๆ ไปจนถึงซีหยวน ส่วนสองพี่น้องสกุลหวังที่ปลอมตัวเป็นหนุ่มน้อยสองพี่น้องสกุลเจียงแทนก็เตรียมตัวแยกจากขบวนสินค้าตามที่ได้ตกลงกับท่านลุงเจียงคนดูแลขบวนรถม้าทันที
“พวกเราสองคนมาขอบคุณท่านหัวหน้าโอวหยางที่เมตตาให้พวกเราติดขบวนสินค้าจนถึงแคว้นเว่ยได้อย่างปลอดภัย หากวันหน้าพบกันขอให้ข้าเจียงหรงเลี้ยงสุราอาหารท่านตอบแทนสักครั้งนะขอรับ”
หวังลี่จูที่อยู่ในคราบของเด็กหนุ่มวัยเพียงสิบห้าปีตรงเข้าไปโค้งกายขอบคุณ ‘ท่านหัวหน้าโอวหยาง' ด้วยกิริยานอบน้อมจริงใจ แต่ระหว่างนางกับเขาย่อมทราบดีต่อความหมายที่สื่อสารถึงกัน หัวหน้าโอวหยางผู้นี้ไม่ธรรมดาเช่นที่นางประเมินเขาตั้งแต่แรกพบหน้า แต่ความลับเหล่านี้มีเพียงกลืนลงท้องไปจึงปลอดภัย รู้มากนั้นได้แต่ปากมากอาจถึงแก่ชีวิต นี่คือสถานะของหวังลี่จูในวันนี้ ทว่าทุกสิ่งเป็นนางที่เลือกแล้วจะถอยเท้ากลับไปเบื้องหลังเกรงว่ายากแล้ว
“ข้าก็ขอให้พวกเจ้าของพี่น้องพบกับบิดาดังที่หวังก็แล้วกัน หรือหากหาไม่พบจริง ๆ อีกราวหนึ่งเดือนขบวนของข้าจะกลับมาอีก ขอเพียงมารอขบวนสินค้าที่ข้าคุ้มกันที่ตรงนี้ สำนักคุ้มภัยของข้ายังพอจะมีงานให้พวกเจ้าทั้งสองพี่น้องได้ทำมีข้าวมีเนื้อให้กิน”
โอวหยางเผยเหิง บุรุษหนุ่มวัยเพียงยี่สิบแปดปีที่ซุกซ่อนความลับและตัวตนแท้จริงเอาไว้มากมาย แต่กลับดูโหดเหี้ยมด้วยรูปร่างหน้าตา ทว่าหนึ่งเดือนกว่าที่ผ่านมานางกับน้องสาวต่างลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่าบุรุษหุ่นหมีดำผู้นี้ถึงใบหน้าจะโหดเหี้ยม แต่ภายในใจของเขานับว่าใจกว้างมากผู้หนึ่งเลยทีเดียว คบค้ากับเขาเอาไว้ภายภาคหน้านางอาจได้อาศัยเขาอีกก็เป็นไปได้ยิ่งคนผู้นั้นเขาวางใจโอวหยางเผยเหิงให้ ‘คุ้มกัน' พวกนางทั้งสองพี่น้องมาจนถึงชายแดนอย่างปลอดภัยจากคมเขี้ยวสุนัขป่าหน้าโลหิตเช่นจ้าวจวินหลางได้ นางยิ่งต้องพยายามผูกมิตรกับอีกฝ่ายเอาไว้ ‘ใช้ประโยชน์' ในโอกาสต่อไป
“ขอบคุณท่านหัวหน้าโอวหยางที่เมตตาพวกเราสองพี่น้องนะขอรับ” หวังลี่จูโค้งกายคำนับให้กับบุรุษ ‘หุ่นพี่หมียักษ์' แต่กลับมีใจอ่อนโยน คำพูดก็นุ่มนวล ไม่กรรโชกโฮกฮากเช่นผู้เป็นถึงชินอ๋องแห่งโยวโจวเลยสักนิด แล้วนางจะมาคิดถึงไอ้สุนัขขี้เรื้อนจวินหลางด้วยเหตุอันใดกันเล่า หนีเขามาจนครึ่งปฐพีได้แล้วคิดถึงให้อัปมงคลไปไยไม่เข้าใจตนเองจริง ๆ
“เสี่ยวลู่!” แต่พอรู้สึกตัวอีกครั้ง น้องสาวตัวดีกลับไม่ยอมเดินตาม เอาแต่ยืนบิดมือบิดไม้จนตัวจะม้วนเป็นเกลียวเหมือนม้วนผ้าที่บิดเป็นเกลียวซักเตรียมพร้อมนำไปตากแดดเต็มที หวังลี่จูก็พลันมือไม้สั่นอยากได้ไม้เรียวมาหวดก้นของหวังลี่เจินเหลือเกิน
“อะ...เอ่อ...เสี่ยวลู่ขอลาท่านหัวหน้าโอวหยางที่ตรงนี้นะขอรับ” หวังลี่เจินกล่าวลาบุรุษคนแรกที่ทำให้นางดวงใจเต้นแรงด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก ใบหน้าหวานนั้นก็ร้อนวูบวาบไปหมด หัวใจดวงน้อยจะกี่ครั้งที่ได้ประสานดวงคมกริบของ ‘ท่านโอวหยาง' คราใดมันยากจะควบคุมความรู้สึกไม่ให้ดวงใจสั่นและหวั่นไหวมันเสียทุกครั้งไปแย่จริง ๆ
“หน้าแดงหูแดง เก็บกิริยาหน่อย บัดนี้พวกเราเป็นบุรุษอยู่นะ” หวังลี่จูเติบโตกว่าย่อมมองกิริยาของเด็กสาวออกอยู่แล้ว แต่อาการเช่นนี้ไม่แปลกอันใดสำหรับเด็กสาว ความอ่อนไหวย่อมมี โดยเฉพาะบุรุษนิสัยอ่อนโยนยิ่งเขย่าดวงใจของเด็กสาวได้เป็นอย่างดี
ก็ในอดีตสมัยที่ยังเป็นสาวไทยใจกล้าหาญ นางเองก็เป็นพวก ‘คลั่ง' หนุ่มหล่อสายละมุนมาก่อนพอพบเห็นกิริยาของน้องสาวตลอดหนึ่งเดือนกว่าที่ผ่านมา ด้วยคนสกุลโอวหยางผู้นั้นอ่อนโยนมีหรือเด็กสาวจะไม่เคลิ้มฝันไปได้ แต่เขาอันตรายเกินไป นางมองแล้วยากจะตามใจให้หวังลี่เจินตกหลุมรักไปได้ ความลับของเบื้องหลังการหลบหนีนี้มีข้อตกลงข้อแลกเปลี่ยนมากมาย แต่นางจะแบกรับมันเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว หวังลี่เจินจะต้องไม่ทราบอันใดทั้งสิ้น
“คืนนี้เราไปค้างกันที่โรงเตี๊ยมด้านนั้นกันก่อนเถอะ พรุ่งนี้จึงค่อยหาทางกันว่าจะข้ามไปซีหยวนหรือเป่ยฮั่นจึงจะได้ง่ายกว่ากัน”
หวังลี่จูเดินตรงไปยังโรงเตี๊ยมขนาดกลางเข้าไปจับจองห้องพักกับหลงจู้ที่ดูแล้วคงไม่ใช่ชาวโยวโจวแท้ แต่อาจมีส่วนผสมของชนเผ่านอกด่านอยู่เกินครึ่งเสียเป็นแน่ ซึ่งทุกการเคลื่อนไหวของพวกนางหญิงสาวทราบดีว่ามีสายตาหลายคู่คอยจับจ้องมองอยู่ไม่คลาดแคล้วไปจนสิ้น
“เฮ้อ! ในที่สุดพวกเราก็มาถึงชายแดนกันแล้ว พี่ใหญ่ข้าดีใจอย่างยิ่ง” เด็กสาวกระโดดขึ้นไปบนเตียงแล้วนอนกางแขนกางขาอย่างมีความสุข 'อิสรเสรี' มันช่างดีเหลือเกิน หวังลี่จูมองภาพนั้นด้วยดวงใจเปี่ยมสุขขึ้นอย่างยิ่ง ความเสียดายกับลาภยศและสิ่งที่ต้อง ‘แลก' กับคนผู้นั้นช่างคุ้มค่ามากจริง ๆ ไม่เคยบังเกิดมีขึ้นภายในใจของนางเลยแม้แต่น้อย มีแต่ความโล่งอกโล่งใจที่ตนเองเลือกจะหนีความวุ่นวายพาน้องสาวหลุดพ้นออกมาสู่โลกกว้างเช่นนี้ได้
“เราต้องไปให้พ้นโยวโจวให้สำเร็จเสียก่อน คนเช่นจ้าวจวินหลางฆ่าได้แต่หยามไม่ได้ ข้อนี้เจ้าก็คงทราบดี”
หญิงสาวทรุดกายลงนั่งบนเก้าอี้กลางห้องแล้วเอ่ยกับน้องสาวอย่างไม่เคยวางใจกับเจ้าสุนัขขี้เรื้อนจ้าวจวินหลางแม้แต่ลมหายใจเดียว เขาหยิ่งผยอง เขาเจ้ายศเจ้าอย่างเพียงใด ตลอดเวลาร่วมห้าเดือนที่ผ่านมานางทราบดีเป็นที่สุด นางหลบหนีมาแถมไม่ใช่หนีแบบธรรมดา แต่หนีพิธีแต่งงานมาด้วยเช่นนี้ คนเช่นนี้คงจะสาปแช่งไปจนถึงอาฆาตหากพบหน้าอาจถึงขั้นแล่เนื้อของนางแล้วเอาน้ำเกลือราดก็อาจจะเป็นไปได้ เพียงคิดถึงภาพเหล่านั้นนางก็สยดสยองจนขนหัวลุกซู่เลยทีเดียว
“เช่นนั้นพรุ่งนี้พวกเราเร่งเดินทางย่อมดีที่สุด” หวังลี่เจินลุกขึ้นมานั่งกลางเตียงด้วยกิริยากระตือรือร้นพร้อมจะข้ามแดนไปยังต่างอาณาจักรด้วยพลังเหลือเฟือ เพราะอิสระสำหรับเด็กสาวนั้นแสนจะหอมหวานยิ่งกว่าน้ำผึ้งป่าที่เคยดื่มเสียอีก หวังลี่เจินไม่เคยทราบเลยว่าอิสรภาพของนางนั้นพี่สาวของตนเองต้องเอาสิ่งใดแลกเปลี่ยนมา ซึ่งหากเด็กสาวทราบ หวังลี่จูทราบดีว่าคนเช่นน้องสาวผู้นี้คงยากจะยินยอมเสียเป็นแน่
“ก่อนจะไปที่ใดวันนี้เรามาอาบน้ำกันให้สบายตัวอย่างเต็มที่กันเถิด” เพราะตลอดการเดินทางพวกนางสองพี่ต้องอาบน้ำอย่างระมัดระวังและเร่งรีบ เนื่องจากการเป็นสตรีแล้วต้องปลอมตัวเป็นบุรุษมิใช่จะง่ายดายเลย ยิ่งช่วงมีระดูนั้นยากเย็นอย่าได้กล่าวถึง โชคดีที่พวกนางมีกันสองคนจึงคอยสลับสับเปลี่ยนกันได้ไม่เป็นที่น่าสงสัยเท่าใดนัก กับยังมีโอวหยางเผยเหิงคอยระวังด้านหลังให้พวกนางจึงอยู่รอดปลอดภัยมาถึงจนบัดนี้นั่นเอง
วันนี้ได้มีโอกาสเข้าพักโรงเตี๊ยมถึงจะขนาดกลางแต่ก็มีบริการน้ำอุ่นให้อาบ จึงทำให้สองสาวผลัดเปลี่ยนกันอาบน้ำขัดถูร่างกายไปจนถึงสระผมทำความสะอาดกันจนชุ่มฉ่ำหัวใจแล้วจึงลงไปหาอาหารกินกันอย่างมีความสุขล้น ถึงแม้กับข้าวบนโต๊ะตรงหน้าของเด็กสาวนั้นจะธรรมดา ไม่ได้หรูหราเช่นอาหารในวังหลวงที่มาจากห้องเครื่องซึ่งมีเพียงพ่อครัวและแม่ครัวอันดับหนึ่งทั้งสิ้นก็ตาม หากกลับไม่อร่อยเท่าอาหารชาวพื้นเมืองเรียบง่ายของแคว้นเว่ยในวันนี้เลย อาหารจะอร่อยมันต้องอยู่ที่ผู้กินกับสถานที่กินด้วยจริง ๆ ในวันนี้ถึงอาหารจะเรียบง่ายแต่อร่อยลิ้นก็เพราะได้กินอาหารในสถานที่ซึ่งมีอิสรภาพ ปลอดโปร่ง ไร้คนควบคุมนั่นเอง เด็กสาวเช่นหวังลี่เจินเลยรู้สึกมากไปด้วยความสุขอย่างยิ่ง
และเพียงเจ้าอาหารเรียบง่ายก็อร่อยจนหวังลี่เจินกินข้าวไปถึงสามถ้วย ภาพดังกล่าวช่างดีต่อหัวใจของผู้เป็นพี่สาวเช่นหวังลี่จูอย่างยิ่ง นางคิดไม่ผิดที่ท้าทายอำนาจทมิฬของจ้าวจวินหลางแล้วจริง ๆ ชินอ๋องหรือจะต่อกรกับฮ่องเต้ไปได้สุนัขป่ามุทะลุหรือจะเท่าทันจิ้งจอกเก้าหางเช่นจ้าวจวินข่าย ก็ขนาดพระมารดาบุรุษผู้นั้นยัง ‘ทรยศ' ได้ลง เพียงน้องชายมีหรือเขาจะ ‘ตุ๋น' อีกฝ่ายจนเปื่อยเป็นสุนัขน้ำแดงก็มิปานเช่นนี้ไม่ได้
“อยากกินอันใดอีกหรือไม่ เอาถั่วเขียวต้มน้ำขิงดีหรือไม่ ของชอบของเจ้ามิใช่หรือเสี่ยวลู่?”
หญิงสาวสอบถามคนที่เคี้ยวอาหารจนแก้มตุ่ย แก้มกลมนั้นแสนจะน่ารักน่าเอ็นดูอย่างยิ่ง ชีวิตธรรมดาเช่นนี้กลับมีความสุขล้นหัวอก ไม่ใช่สุขกายแต่ลำบากใจเช่นเมื่อครั้งอยู่ภายในวังหลวงเลยสักน้อย
“เอา ๆ ขอสองถ้วยเลยนะขอรับ” ดวงตากลมโตของหวังลี่เจินแวววาวสดใสขึ้นมาพอพี่สาวถามถึงขนมที่นางชื่นชอบเช่นถั่วเขียวต้มน้ำขิง
ความสุขนี้จะยืนยาวหรือไม่ การหลบหนีจะไปได้ไกลเพียงใด มีเพียงในใจของหวังลี่จูเท่านั้นที่กังวล แต่บัดนี้ก็เลยกำหนดแต่งงานมาได้ร่วมเดือนแล้ว เจ้าสุนัขป่าขี้เรื้อนก็คงสาสมใจได้แต่งกับสตรีที่เขารักไปเป็นชายาเอกแล้วเป็นแน่
'ข้าก็หวังเพียงฝ่าบาทจะรักษาคำพูดให้สมกับเป็นฮ่องเต้นะ' หญิงสาวมองน้องสาวซดขนมที่ชื่นชอบไปด้วยภายในใจก็นึกถึงข้อตกลงระหว่างนางกับฮ่องเต้
...หึ!!!...
หากไร้คนมากอำนาจช่วยเหลือ คิดหรือว่าพวกนางทั้งสองพี่น้องจะหลบหนีออกมาได้โดยง่ายรอดหูรอดตาของ ‘กองทัพทหารม้าเกราะดำ' มาจนถึงชายแดนเช่นนี้ได้ อย่างไรกับอิสรภาพนี้ถึงจะมีเวลาให้แก่นางเพียงสามปี แต่สามปีนี้มันก็ยังดีกว่าไม่มีโอกาสได้ออกมาใช้ชีวิตภายนอก ได้เรียนรู้โลกกว้างเอาเสียเลย และอย่างน้อยหวังลี่เจินก็ไม่ต้องถูกบังคับข่มขืนดวงใจให้แต่งงานกับฝ่าบาทอีกด้วย น้องสาวของนางมีสิทธิ์จะ ‘เลือก' สามีและอนาคตด้วยตนเอง เพียงเท่านี้ต่อให้หลังจากสามปีผ่านไปนางจะต้องไปติดคุกเช่นวังหลวงแทนหวังลี่เจินก็จะไม่เกี่ยงเลยสักนิดเดียว
...เพียงสามปีก็นับว่าดีที่สุดแล้ว...
ภายในสามปีนี้นางจะใช้อิสรภาพที่ได้มาให้คุ้ม กับที่หลังจากนั้นตลอดชีวิตต้องไปติดอยู่หลังกำแพงสูงใหญ่ไร้อิสรภาพหวังลี่จูก็ไม่หวาดกลัวเลย ระหว่างฮ่องเต้กับชินอ๋องนางย่อมเลือกผู้มากอำนาจที่จะช่วยให้น้องสาวนางหลุดพ้นได้อยู่แล้ว ชะตาชีวิตนี้นางจะขีดเขียนมันด้วยมือและเท้าของตนเอง รอเพียงสวรรค์เมตตานั่นหาใช่สตรีนามหวังลี่จูผู้นี้เป็นแน่!