หนึ่งราตรีผ่านพ้นสติของจ้าวจวินหลางก็กลับมาคงมั่นอีกครั้ง ชุดอาภรณ์เจ้าสาวที่เปื้อนคราบควันไฟถูกส่งให้เสี่ยวจื่อและเสี่ยวจางนำไปซักโดยส่งจิ่วเซินไปควบคุมและเฝ้าสังเกตการณ์เอาไว้ให้ดี อย่าให้มีผู้ใดมารังแกได้แม้แต่ชุดเจ้าสาวของเขาไปได้
“ซ่งจินเร่งส่งคนไปตรวจสอบมาให้จงได้ก่อนค่ำวันนี้ ข้าจะต้องได้ทราบว่าเป็นผู้ใดที่บังอาจวางเพลิงใต้จมูกของข้า”
“รับทราบพ่ะย่ะค่ะ” ซ่งจินรับบัญชาจากชินอ๋องก็ตรงไปสืบความคืบหน้าไม่สนใจคนของกรมอาญาแม้แต่น้อย มีเพียงกั๋วเจาเท่านั้นที่อยู่เคียงข้างจ้าวจวินหลางในยามนี้
“จิ้งอวี่ถวายพระพรชินอ๋องเพคะ” เป็นพระชายารองหลวนที่เดินตรงเข้ามาในตำหนักส่วนพระองค์ของจ้าวจวินหลาง พร้อมกับนางกำนัลและขันทีซึ่งประคองถาดอาหารมื้อเช้ากลิ่นหอมเข้ามาโดยไร้การมาแจ้งล่วงหน้าตามกฎเกณฑ์ของตำหนักของชินอ๋อง ซึ่งเกลียดที่สุดก็สตรีที่ไม่รู้การใดสมควรและการใดไม่เหมาะสม ‘กฎเกณฑ์’ สำหรับทหารกล้าเช่นเจ้าจวินหลางเขาเคร่งครัดเป็นที่สุด
“เช้านี้เปิ่นหวางต้องไปเข้าเฝ้าและร่วมเสวยมื้อเข้ากับฮ่องเต้และองค์ไทเฮา แต่ไหน ๆ เจ้าก็ยกมาแล้วก็เชิญกินเองให้อร่อยเถิดนะจิ้งอวี่” กล่าวจบกายสูงใหญ่ของจ้าวจวินหลางก็ลุกขึ้นเดินจากไปโดยมีกั๋วเจาติดตามไปเป็นเงาข้างกายทันที ทำเอาหยวนจิ้งอวี่ถึงกับยืนเป็นบื้อเป็นใบ้พูดอันใดไม่ออกไปเป็นเค่อ ก่อนที่นางจะกรีดเสียงร้องออกมาดังลั่นไม่พอ หลวนจิ้งอวี่นั้นยังหันไปกวาดถาดบรรจุอาหารทั้งคาวและหวานจากนางกำนัลกับขันที จนทุกสิ่งกระจัดกระจายตกลงไปยังบนพื้น เสียงแตกกระจาย เสียงดังโครมครามเปรี้ยงปร้างสนั่นหวั่นไหวจนเหล่านางกำนัลกับขันทีทรุดลงไปนั่งคุกเข่าตัวสั่นงันงกไปกันถ้วนหน้า ทว่าจะกล้าปริปากแม้เพียงครึ่งคำพวกเขาและนางต่างไม่มีผู้ใดบังอาจหลุดออกมาจากเรียวปากไปแม้เพียงสักคนเดียว
“กรี๊ด!!!...” หลวนจิ้งอวี่ทำลายข้าวของจนแตกหักเสียหายไม่รักษากิริยางดงามเช่นก่อนจะแต่งงานเข้ามาร่วมราชวงศ์ราวกับหน้ามือเป็นหลังเท้า ทว่าหญิงสาวกลับไม่เคยโทษว่าเป็นความผิดของตนเอง นางกลับโยนความผิดไปให้หวังลี่จูกับจ้าวจวินหลางที่กระทำให้นางต้องเป็นเช่นนี้
ก็แต่งงานมานับได้เดือนกว่าแล้ว แต่จ้าวจวินหลางนั้นกลับไม่เคยไปเยือนตำหนักพระชายารองของนางแม้เพียงสักหนึ่งครั้ง นี่มันมิใช่การหยามเกียรติไปถึงสกุลหลวนของนางเลยหรือ ซึ่งหากไม่นับผู้เป็นพี่ชาย นางคือบุตรีคนโตของบิดากับมารดา ชินอ๋องแต่งงานกับนางทว่าเข้าหอไม่เคยไปร่วมเช่นนี้ แม้แต่สาวใช้ของนางก็ยังแอบมองนางด้วยสายตาแปลกประหลาดเลย แล้วนางกำนัลกับขันทีในวังหลวงจะมองนางเป็นคนเช่นไรกันเล่า!?
“พระชายารองได้โปรดระงับโทสะด้วยเพคะ”
…เผียะ!!!...
พอสาวใช้ที่ติดตามมาจากจวนสกุลหลวนมันบังอาจมาห้ามปราม หญิงสาวก็หันไปฟาดฝ่ามือตบลงไปบนหน้าของ ‘ชุนสี่’ จนสะบัดไปตามแรงตบ พอหญิงสาวซึ่งมีฐานะต่ำต้อยหันกลับมามุมปากเรียวกลับปรากฏโลหิตไหลซึมออกมากับแก้มขาวกลมราวกับซาลาเปาขึ้นรอยห้านิ้วเด่นชัดจนน่าตกใจ แต่คนที่เคยรองมือของเท้า ‘คุณหนูหลวน’ มาเนิ่นนานย่อมมีความอดทนที่สูงไม่ธรรมดาอยู่แล้ว…
“กลับตำหนัก!!!” พอได้ระบายอารมณ์ออกไปเสียบ้าง หลวนจิ้งอวี่จึงค่อยใจเย็นลงเล็กน้อย นางจึงหันหลังตรงกลับตำหนักพระชายารองแห่งชินอ๋องที่อยู่คนละด้านกันเลยกับตำหนักของชินอ๋อง
“อันใดก็ไม่ได้ดังใจของข้าสักอย่าง!” เดินออกไปพลางนางก็บ่นพึมพำไปพลาง ส่วนนางกำนัลและขันทีต่างเร่งไม้เร่งมือเก็บเศษอาหารรวมไปถึงถ้วยโถโอชามที่แตกกระจายเต็มห้องโถงกลางอย่างรวดเร็ว เพราะหากชินอ๋องกลับมาเห็นสภาพเละเทะเช่นนี้คงได้ทรงกริ้วจนพวกเขาเดือดร้อนกันถ้วนหน้าอย่างไม่ต้องสงสัยเลย
“ก็ไหนผู้ใดกล่าวกันว่าพระชายารองสกุลสูงส่ง แต่เหตุใดจึงแสดงกิริยาต่ำช้ากว่า…เอ่อ…” เหล่านางกำนัลและขันทีหลุดปากออกมาได้เพียงเท่านั้นแล้วต่างก็หันมองหน้ากันก่อนจะกลืนคำพูดต่าง ๆ ลงท้องไป แล้วก็ต่างช่วยกันทำงานในหน้าที่ของตนเองกันไปอย่างสงบเงียบเชียบไม่พูดไม่จากันอีกเลย ผู้ใดมีงานใดก็ทำหน้าที่ของตนเองไปไม่ปริปากพูดหรือบ่นว่าอันใดอีกเลย…
…ที่ตำหนักจินหลง…
หลังจากไปร่วมมื้อเช้ากลับมาจากตำหนักหลิวไทเฮาแล้ว ทั้งจ้าวจวินข่ายและจ้าวจวินหลางต่างก็ตรงกลับมาปรึกษาข้อราชการต่าง ๆ กันตามปกติเช่นทุกวัน หากจะผิดจากทุกวันก็คงเป็นสีหน้าของทั้งฮ่องเต้และชินอ๋องหนุ่มเท่านั้นที่ดูเคร่งขรึมและตึงเครียดมากกว่าทุกวันที่ผ่านมา
เนื่องจากเหตุการณ์เพลิงไหม้ตำหนักซุ่นอวินที่เพิ่งผ่านพ้นไปมันหาใช่เป็นเพียงการเกิดเพลิงไหม้จากธรรมชาติ แต่คาดเดาได้เกินเก้าส่วนว่ามันจะต้องถูกวางเพลิงอย่างแน่นอน ดังนั้นขุนนางระดับอัครมหาเสนาบดีหนุ่มแซ่กู้ กับระดับหัวหน้าองครักษ์ไปจนถึงเจ้ากรมอาญา และหัวหน้าทหารม้าเกราะดำต่างก็มาร่วมประชุมกันอย่างเคร่งเครียด
ก็มันถึงขั้นหยามหมิ่นศักดิ์ศรีของราชวงศ์เลยทีเดียวที่มาวางเพลิงเผาตำหนักภายในวังหลังเช่นนี้ คนที่ลงมือย่อมไม่ธรรมดา และไม่หวาดกลัวอำนาจบารมีของฮ่องเต้เลยแม้สักน้อย จ้าวจวินหลางกับจ้าวจวินข่ายจึงโกรธเคืองเป็นอย่างยิ่ง แต่การแสดงออกมาด้วยเพลิงโทสะย่อมมิใช่ทางออกที่ดี มีเพียงต้องสุขุมเยือกเย็นเอาไว้ แม้จะเผชิญเรื่องยิ่งใหญ่และร้ายแรงเพียงใดก็มีเพียงมีสติและควบคุมอารมณ์เอาไว้ให้นิ่งสงบจึงจะแก้ปัญหาได้…
…เผียะ!...
“ท่านพ่อ!...” มิคาดในขณะที่ฝ่ายฮ่องเต้กับชินอ๋องและเหล่าขุนนางต่างกำลังประชุมปรึกษาหรือกันอย่างตึงเครียด ทางตำหนักพระชายารองหลวน บัดนี้กลับมีบุรุษวัยราวห้าสิบปีกำลังยืนกำมือแน่นหลังจากตบใบหน้าของบุตรสาวที่เขา ‘ปั้นแต่ง’ เอาไว้ล่อลวงจ้าวจวินหลางด้วยใบหน้าแดงก่ำ คาดว่าเขาคงโกรธเคืองอีกฝ่ายไม่น้อย หาไม่เขาคงไม่ขาดสติลงมือกับ ‘หมาก’ ที่เขาส่งมาแทรกซึมวางเอาไว้ข้างกายของจ้าวจวินหลางเช่นนี้เป็นแน่
“เจ้าเสียสติหรือจิ้งเอ๋อร์ หรือลืมไปแล้วว่าข้าเพียรพยายามส่งเจ้าเขาวังมาเพื่อการใดกันแน่!?”
ฝ่ามือแกร่งเอื้อมไปบีบแก้มของหลวนจิ้งอวี่ให้นางหันหน้ากลับมามองเขาให้เต็มตา ดวงตาของตาเฒ่าหลวนผู้นี้คล้ายกับอสรพิษจนหญิงสาวถึงกับสะท้านเยือกหนาวไปถึงขั้วหัวใจ พลันนั้นเรือนกายอรชรของหลวนจิ้งอวี่ก็หนาวสะท้านสั่นไหวไปหมด!
“ข้าให้เจ้ามีหน้าที่เข้ามาแทรกซึมอยู่ข้างกายของเจ้าเด็กหยิ่งผยองเช่นจ้าวจวินหลางมิใช่ให้เจ้ามาก่อเรื่อง เจ้าคิดว่าตนเองมีความสามารถ และอำนาจมากเพียงใดจึงบังอาจลงมือเผาตำหนักภายใต้จมูกของสุนัขป่ากับจิ้งจอกแดงเก้าหางสองพี่น้องคู่นั้น!?”
หลวนฟานเย่เอ่ยกับสตรีซึ่งเขา ‘ปั้นแต่ง’ ให้นางเป็นบุตรีของเขา ทดแทนหลวนจิ้งอวี่ตัวจริงที่ตายจากไปตั้งแต่นางยังเพิ่งมีวัยเพียงเจ็ดขวบปีเท่านั้น ด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นและอำมหิตผิดจากที่บิดากับบุตรีทั่วไปจะใช้น้ำเสียงเหล่านี้พูดจากันไปได้
“จิ้งอวี่ผิดไปแล้ว ท่านพ่อได้โปรดเมตตาจิ้งอวี่สักครั้งเถิดเจ้าค่ะ จิ้งอวี่รู้ผิดแล้วเจ้าค่ะ”
หญิงสาวละล่ำละลักวิงวอนบุรุษผู้ที่จะ ‘ชี้เป็นและชี้ตาย’ ให้แก่นางได้ตลอดเวลา
“หึ!...เกรงว่าตัวของข้านี้คงไม่ต้องลงมือกับเจ้าแล้ว เพราะหากว่าเจ้าสองพี่น้องคู่นั้นทราบว่าเป็นฝีมือของเจ้าและ ‘คนของเจ้า’ ที่ลงมือหยามหมิ่นศักดิ์ศรีของสกุลจ้าว ต่อให้มีกี่ร้อยชีวิตเกรงว่าจะไม่พอชดใช้ให้กับพวกมันสองคนเป็นแน่!!!”
ทุกคำที่หลวนฟานเย่เอ่ยออกมานั้นทำเอาหลวนจิ้งอวี่สวมรอยพลันหนาวเหน็บไปจนถึงกระดูกสันหลัง หากแต่ตาเฒ่าเจ้าเล่ห์มันกลับไม่ใส่ใจนางอีกต่อไป กล่าวจบแล้วจึงเดินออกจากตำหนักพระชายารองในจ้าวจวินหลางไปอย่างหัวเสียไม่น้อยที่ ‘หมาก’ ซึ่งเขาพยายามให้แทรกซึมเข้ามาหา เข้ามีตีสนิทกับจ้าวจวินหลางตั้งหลายปีที่ผ่านมาคาดว่าจะจบสิ้นลงภายในเร็ววันนี้เสียเป็นแน่
…มันช่างน่าเจ็บใจยิ่งนัก!...
พอตกถึงยามเว่ยซ่งจินก็กลับมาพร้อมกับ ‘ข่าว’ ที่ทำให้จ้าวจวินหลางโกรธจนแทบจะตรงไป ‘จัดการ’ หลวนจิ้งอวี่แล้วเผานางให้ตายอยู่กลางกองเพลิง เช่นที่นางคิดจะแผดเผาทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งเป็นสิ่งของที่เขาเพียรพยายามเก็บรักษาเอาไว้อย่างดีเพื่อจะได้ไปดูต่างหน้าได้เห็นแทนกายคน
หากแต่คำเตือนสติของจากพี่ชายเมื่อช่วงสายที่ผ่านมาที่กล่าวว่าให้ใจนิ่งและมีใจสงบเยือกเย็น หาไม่แล้วการใหญ่คงยากจะทำได้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดีไปได้นั่นเองจึงช่วยดึงรั้งสติของเขาให้กลับมาเยือกเย็นได้อีกครั้ง หากเขาใจร้อนลงโทษหลวนจิ้งอวี่ก็เหมือนกับเป็นการแหวกหญ้าให้อสรพิษร้ายมันตื่นตัวก่อนเวลาสมควรก็เท่านั้น
ดังนั้นมีเพียงต้องเสแสร้งเป็นคนโง่ให้สตรีใจต่ำทรามผู้นั้นได้ชักเชิดและจูงจมูกต่อไป มือแกร่งนั้นกำแน่นจนเห็นข้อนิ้วขาวปูดโปน เขากำหมัดแน่นพลางกัดฟัดจนเรือนกายสูงใหญ่นั้นสั่นสะท้านไปหมด ดวงตาเรียวสวยนั้นแดงก่ำราวกับจะกลายเป็นโลหิต
จ้าวจวินหลางสูดลมหายใจเข้าท้องลึกสุดแล้วปล่อยออกมาอย่างเนิบช้า เขาไม่ใช่คนใจเย็น ไม่ใช่คนมีเมตตา ทว่าเขามันเป็นสุนัขป่ากระหายโลหิต!
เพื่อจะลากลำคอเอาเจ้าคนชั่วที่ลอบสังหารอดีตฮ่องเต้ออกมาให้หมดจนถึงต้นตอถึงรากถึงโคน เขาจะต้องอดทนให้จงได้ ต้องใจเย็นให้ลงต้องปลงให้ได้แล้วแผนการยิ่งใหญ่จึงจะสำเร็จลุล่วงไปด้วยดีเสียที พระบิดาของเขาจะต้องไม่จากไปโดยมิอาจดึงเจ้าคนชั่วออกมาชดใช้!!!
“ให้คนของเราเข้มงวดเรื่องจับตาพระชายารองเพิ่มขึ้นอีกสามส่วน ผู้ใดมาพบนางหรือนางไปพบผู้ใดรวมถึงแม้แต่นาง ‘เรียก' ผู้ใดมาพบข้าจะต้องได้รู้ให้หมด” หลังจากสงบจิตสงบใจข่มโทสะลงไปได้เรียบร้อยแล้วจึงออกคำสั่งออกไปด้วยกิริยามั่นคงเช่นเดิมถึงจะเสียหลักเสียกิริยาไปบ้าง แต่หากจะปกป้องคนที่เขาพึงใจและคน ‘ของตนเอง' ได้จะต้องใจนิ่งกว่านี้ หาไม่แม้แต่อาภรณ์หรือพัดเพียงหนึ่งด้ามเขาก็คงยากจะปกป้องได้