“พี่สาว!/ลี่จู!”
สตรีสองนางแต่ต่างวัยต่างเร่งพุ่งสวนทางกับจ้าวจวินหลาง โดยไม่มีใครสนใจเขาแต่รีบเข้ามายังด้านในแล้วนั่งขนาบข้างของหวังลี่จูคนละฟาก ข้างด้านซ้ายมือคือหลิวไทเฮา ส่วนด้านขวามือก็คือหวังลี่เจิน ที่พื้นด้านล่างมีเสี่ยวจื่อแล้วเสี่ยวจางนั่งจับจ้องคนบาดเจ็บอย่างใกล้ชิด เลยไปด้านหลังของพวกนางก็ยังมีนางกำนัลและขันทีอีกร่วมยี่สิบชีวิตติดตามหลิวไทเฮาเข้ามาไม่ยอมห่าง
“เจินเจิน” แต่ช่างหน้าแปลกยิ่งนักแม้นจะมีผู้คนมากมาก ทว่าหวังลี่จูนั้นกลับรู้สึกเดียวดายอย่างยากจะอธิบายได้ถูก มีเพียงหวังลี่เจินเท่านั้นที่นางมองเห็นเป็น ‘ครอบครัว' เพียงหนึ่งเดียวของตนเอง ส่วนผู้อื่นรอบกายนับร้อยนับพันล้วนเป็นผู้คนแปลกหน้าที่คาดหวังเอาแต่ผลประโยชน์จากพวกนางสองพี่น้องทั้งสิ้น!!!
...ช่างน่ากลัวอย่างยิ่ง!...
“ถวายพระพรไทเฮาเพคะ” ถึงจะขาดสติไปบ้างแต่ขนมธรรมเนียมประเพณีภายในวังหลวงอันเคร่งครัดนี้หวังลี่จูนั้นจะหลงลืมมิได้เด็ดขาด ถึงนางจะยังบาดเจ็บยากจะลุกขึ้นยืนทำความเคารพ แต่ก็ยังโค้งกายในขณะที่ยังนั่งอยู่ ทั้งที่ปวดเท้าไม่พอยังเจ็บหลังและก้นที่ถูกจับโยนลงมาเต็มแรงอีกด้วย
“มิต้องมากพิธีไป ต่อไปนับจากนี้ก็เรียกข้าว่า ‘เสด็จแม่บุญธรรม' เถิดลี่จู เจินเจิน เออจริงสิ เสี่ยวจางแล้วนี่มีผู้ใดไปตามหมอหลวงมาหรือยัง”
หลิวไทเฮาหันมากล่าวแก่สองพี่น้องเสร็จจึงเร่งสอบถามเอาความกับนางกำนัลของหวังลี่จูว่ามีผู้ใดไปตามหมอหลวงมาแล้วหรือไม่ อันที่จริงก็อยากจะสอบถามว่าเจ้าลูกชั่วมันจะรีบเร่งหายหน้าหายศีรษะไปที่ใดกันจึงปล่อยให้ว่าที่พระชายาเอกบาดเจ็บบอบช้ำได้ถึงเพียงนี้ แต่ก็ไม่กล้าเอาความจ้าวจวินหลางต่อหน้านางกำนัลและขันทีมากมาย เลยเก็บเอาความไม่พอใจเหล่านั้นเอาไว้เพียงเท่านั้นก่อน แล้วจึงหันไปสนใจว่าที่สะใภ้คนเล็กพอเห็นสภาพก็ถึงกับปวดร้าวหัวใจไปหมดเมื่อข้อเท้าเล็กบวมจนกลายเป็นสีม่วงไปหมด ทั้งหัวเข่าสองข้างนั้นก็แตกมีโลหิตไหลซึมสิ้นสภาพยับเยินจนน่าตกใจยิ่งนัก
“โธ่เอ๊ย...เจ็บปวดมากเลยใช่หรือไม่ลี่จูของข้า” ถึงนางจะยอมรับอย่างแอบละอายใจว่าเด็กสาวตรงหน้านั้นตนเองได้ ‘ดึง' เอาอีกฝ่ายมาเพื่อใช้งานเป็น ‘หมาก' บนกระดานก็จริง แต่ความรักและพึงใจต่อสองพี่น้องสกุลหวังกลับเป็นจริง เช่นนี้พอเห็นเด็กสาวบาดเจ็บ ใจของหญิงสูงวัยก็ปวดร้าวไปหมดที่มิอาจดูแลให้เด็กสาวทั้งสองสุขสบายกับปลอดภัยไปได้
“ใช่เพคะ เอ่อ...เสด็จแม่บุญธรรม พี่สาวคงเจ็บปวดไม่น้อย” หวังลี่เจินทรุดกายลงไปนั่งบนพื้นลูบคลำข้อเท้าอันบวมเป่งนั้นไปมาด้วยความห่วงใยหนักหนา สาวน้อยถึงขนาดก้มลงไปเป่าลมใส่ข้อเท้าบวมจนน่ากลัวของพี่สาวพลางน้ำตาก็ไหลพรากเจ็บปวดแทนหวังลี่จูด้วยใจจริง
“กราบทูลไทเฮาชินอ๋องได้ให้องครักษ์ซ่งจินเร่งไปตามท่านหมอหลวงแล้วเพคะ” เสี่ยวจางหาโอกาสรายงานได้ในท้ายที่สุด พอได้ฟังว่าบุตรชายคนเล็กยังพอจะมีน้ำใจสั่งให้คนสนิทไปตามหมอหลวงมาดูแลหวังลี่จูอยู่บ้างไม่ได้เดินหนีจากไปเพียงอย่างเดียวจึงค่อยรู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย
“ท่านหมอหลวงซูมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะไทเฮา”
เสียงของซ่งจินนั้นดังเข้ามากราบทูล หลิวไทเฮาไม่รอช้าได้เร่งเชิญท่านหมอหนุ่มนั้นให้เข้ามาตรวจอาการของหมิงเยว่กงจู่โดยด่วน ส่วนงานเลี้ยงค่ำคืนนี้จบสิ้นลงตั้งแต่นางกำนัลตัวน้อยไปกราบทูลหลิวไทเฮาว่าหมิงเยว่กงจู่นั้นหกล้มจนข้อเท้าพลิก งานเปิดตัวหมิงเยว่และหมิงหวังกงจู่ก็ล่มสลายลงเพียงเท่านั้นไปโดยปริยายไม่ต้องบอกกล่าวหรือประกาศอันใดออกไปทั้งสิ้น
ฝ่ายของจ้าวจวินหลางนั้นกำลังจะเดินตรงกลับไปหาผู้เป็นพี่ชายเช่นจ้าวจวินข่าย เมื่อออกมาพ้นจากตำหนักซุ่นอวินของหมิงเยว่และหมิงหวังกงจู่เพราะโกรธเล็กน้อยที่หวังลี่จูนั้นไม่แม้แต่ขอบคุณหรือเห็นความจริงใจที่เขานั้นอุตส่าห์มีน้ำใจต่อนางถึงขั้นต้อง ‘แบก’ อีกฝ่ายไปส่งจนถึงตำหนักของพวกนาง ไม่ขอบใจเขาแม้เพียงครึ่งคำไม่พอยังทำกิริยาหยิ่งผยองมาตะโกนใส่หน้ากันเสียได้ว่าไม่เคยอยากได้เขาเป็นสามีอย่างหน้าตาเฉย กิริยาออดอ้อนวิงวอนเช่นในคราวแรกพลันมลายหายไปจนสิ้น ซึ่งหากนางแสดงกิริยาออดอ้อนวิงวอนตนอีกหน่อยเขาก็จะอยู่เป็นเพื่อนนางจนกว่าหมอหลวงจะตรวจรักษาจนเรียบร้อยค่อยไปส่งนางยังห้องนอน ไม่คิดให้นาง ‘คลาน’ กลับเตียงนอนไปเองเป็นแน่ แต่นี่...
...ผยองพองขนยิ่งกว่าเม่นใส่กันเสียได้ยายตัวแสบ!!!...
โดยที่ชินอ๋องหนุ่มไม่ได้ทบทวนของตนเองเลยว่าเขานั้นได้ทำสิ่งใดกับหวังลี่จูไปบ้าง ทั้งดุด่านาง เอ่ยวาจาไม่ไพเราะ ไม่ปลอบโยน แถมยังไปต่อว่าอีกฝ่ายนั้น ‘โง่เขลา' แล้วยังจะซุ่มซ่าม หากในอดีตนางยังเป็นเพียงเด็กสาวชาวป่าชาวเขาก็ช่างมันเถิด แต่บัดนี้ราตรีนี้หวังลี่จูเป็นหมิงเยว่กงจู่ มีนางกำนัลและขันทีกับองครักษ์ติดตามมากมาย การที่เขาทำเช่นนั้นก็คือการไม่รักษาหน้าและให้เกียรติความเป็นหมิงเยว่กงจู่และว่าที่ชินหวางเฟยไปโดยสิ้นเชิง แล้วยังจะไปคาดหวังให้สตรีนางใดเขาไปออดอ้อนอยู่ได้อีก นี่ยังดีว่าเป็นหวังลี่จูหากเป็นสตรีสูงศักดิ์เสมอกันคงได้ตีกันแหลกลาญไปแล้วเป็นแน่
ความอ่อนโยนสักนิดก็ไม่เคยมีให้อีกฝ่าย แต่จะเรียกหาให้เขามาอ่อนหวานกับตนเองช่างเป็นบุรุษผู้เห็นแก่ตัวโดยแท้ ไม่มีความสำนึกหรือความคิดที่มารดาเพียรสั่งสอนว่าให้รู้จัก ‘เอาใจเจามาใส่ใจของเรา’ สักเพียงนิดเดียว
“ชินอ๋องเพคะ” เสียงหวานดังแผ่วพลิ้วลอยมาตามลมจากศาลาริมบึงบัวด้านทิศใต้ ทำให้กายแกร่งต้องหยุดปลายเท้าลงทันทีเพราะเสียงหวานนั้นเขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี
“อวี่เอ๋อร์หรอกหรือ นี่ก็ดึกแล้วยังไม่กลับจวนไปกับใต้เท้าหลวนอีกหรือไร?” จ้าวจวินหลางเดินเข้าไปยืนแค่เพียงด้านหน้าศาลาเท่านั้น แต่ก็พบว่าหญิงสาวภายในนั้นที่ยืนอยู่กับสาวใช้เพียงลำพังนั้นคือหลวนจิ้งอวี่มิผิดไปเป็นแน่ เช่นนี้นับว่าไม่ค่อยสมควรเท่าใด ชายหนุ่มถึงจะพึงใจหลวนจิ้งอวี่อย่างยิ่ง แต่ไม่รักษากิริยาเช่นนี้เขาเองก็ชักเริ่มไม่ค่อยจะพึงใจนางเท่าใดเสียแล้ว การที่สตรีซึ่งยังมิได้หมั้นหมายต่อกันมายืนหลบมุมมืดเพื่อดักพบเขาช่างไม่ให้เกียรติทั้งตนเองและครอบครัว รวมมาถึงเขาด้วย ถึงจะชื่นชมความงาม แต่งดงามก็อีกส่วน นิสัยย่ำแย่ก็อีกส่วนหนึ่ง
“กั๋วเจา!” เพราะทราบดีว่าองครักษ์เงาอีกคนนอกจากซ่งจินก็มีกั๋วเจาที่คอยตามติดเขาไม่ห่างกาย สตรีหากง่ายดายและไม่รักษากิริยา จ้าวจวินหลางชื่นชมความงาม แต่เริ่มจะไม่พึงใจหลวนจิ้งอวี่ตรงความไม่รู้จักอันใดควรและอันใดไม่สมควรเช่นนี้เสียแล้ว จึงคิดไล่อีกฝ่ายกลับจวนไปเสีย หากมีผู้ใดมาพบเข้ามิใช่เพียงนางที่เสื่อมเสีย แต่เขาผู้เป็นถึงชินอ๋องก็จะพลอยเสื่อมเสียไปด้วยเป็นแน่
“ชินอ๋องเพคะ คือ…”
“งานเลี้ยงเลิกแล้ว เจ้าคงมาพร้อมกับบิดาและมารดา นี่ก็ดึกดื่นค่อนคืนเข้าไปแล้วเป็นสตรีมายืนหลบมุมในศาลาลึกลับเช่นนี้สมควรหรือไม่ลองใช้สมองแสนชาญฉลาดของเจ้าตรองดูให้ดีเถิดจิ้งอวี่ กั๋วเจาส่งคุณหนูหลวน!”
ถึงศาลาดังกล่าวจะมืด ทว่าแสงโคมไฟตามต้นเสานั้นสลัวเลือนรางกลับส่องให้เห็นใบหน้างดงามที่พลันขึ้นสีเข้มจนยากจะปกปิด เพราะหญิงสาววัยสิบเก้าปีนั้นตั้งใจมาดักพบตัวชินอ๋องด้วยคาดหวังว่าอีกฝ่ายจะพาไปยังตำหนักส่วนพระองค์ เพราะนางคิดจะใช้ยาปลุกกำหนัดกับอีกฝ่ายหากนางได้ร่วมเตียงกับชินอ๋องก่อนฝ่ายของหมิงเยว่กงจู่ที่จ้าวจวินหลางพึงอกพึงใจนางมาก่อนย่อมมีโอกาสจะได้เป็นชินหวางเฟย ตำแหน่งพระชายาเอกย่อมสมควรเป็นคุณหนูชั้นสูงเช่นนางที่ถูกฝึกฝนมาเพื่อตำแหน่งพระชายาเอกในชินอ๋องตั้งแต่แรก พอสุดท้ายเจ้าโจรกระจอกที่บิดาของนางเรียกใช้ช่วงที่หลิวไทเฮาหนีออกจากวังหลวงไปยังเขาไห่เหมี่ยวครั้งล่าสุดกลับผิดพลาดไม่พอ ดันพลิกผันไปหมดทุกสิ่งถึงขนาดตำแหน่งของนางที่ว่าแน่นนอนพลันปลิวหายไปต่อหน้าต่อตาเช่นนี้ ดังนั้นเล่ห์กลมีเท่าใดนางจึงคิดดึงออกมาใช้ หากแต่ผู้ใดจะคาดคิดนางกลับถูกชินอ๋อง ‘ไล่กลับจวน' ไปอย่างสิ้นเยื่อขาดใยเช่นนี้ไปได้ แผนหุงข้าวสารให้กลายเป็นข้าวสุกจึงพังทลายไม่เหลือชิ้นดี
“แต่ว่าชินอ๋องเพคะ…”
“กั๋วเจาส่งแขก!” กล่าวเด็ดขาดแล้วเสร็จจ้าวจวินหลางนั้นก็รีบก้าวเท้าเดินหลบไปอีกทางไม่สนใจหลวนจิ้งอวี่อีก เพราะมีข้อราชการจะต้องปรึกษากับองค์ฮ่องเต้โดยไม่เหลียวหลังกลับไปมองว่าสตรีโฉมงามสะท้านปฐพีเช่นหลวนจิ้งอวี่นั้นบัดนี้นางโกรธจนกายสั่นเทิ้มไปหมดแล้ว
“ซ่งจินหมอหลวงไปถึงตำหนักกงจู่แล้วหรือเจ้าจึงกลับมาหาข้าเช่นนี้?” พอเดินมาถึงหน้าตำหนักจินหลงแล้วพบว่าองครักษ์ส่วนตัวเช่นซ่งจินนั้นมายืนโค้งกายรออยู่ก่อนแล้วเลยอดจะสอบถามไปถึงคนยังตำหนักซุ่นอวินของหมิงเยว่และหมิงหวังกงจู่เสียมิได้
“กราบทูลชินอ๋อง กระหม่อมส่งท่านหมอหลวงซูเจี้ยนหย่งไปยังตำหนักของหมิงเยว่กงจู่เรียบร้อยแล้วจึงกลับมารอชินอ๋องอยู่ที่ตรงนี้พ่ะย่ะค่ะ”
…ซูเจี้ยนหย่ง? ...
“เจ้าซูเจี้ยนหย่งนี้ใช่เจ้าหน้าขาวปากแดงที่ถูกข้ารังแกสมัยยังเด็กอยู่บ่อยครั้งหรือไม่ซ่งจิน?”
พอไม่แน่ใจจ้าวจวินหลางจึงต้องสอบถามออกไปให้แน่ชัด เพราะหมอหลวงซูคนเป็นบิดาเหมือนที่เขาจดจำได้คล้ายกับว่าอีกฝ่ายจะปลดเกษียณตนเองกลับบ้านนอกไปได้ราวหนึ่งปีเห็นจะได้ ส่วนไอ้เจ้าหน้าขาวปากแดงซูเจี้ยนหย่งที่ถูกเขารังแกคราวใดก็ต้องร้องห่มร้องไห้ฟูมฟายไปฟ้องท่านราชครูในสมัยยังเยาว์เสียทุกครั้งไปจนเขาถูกลงโทษเสียก็บ่อยครั้งนั้นยังอยู่รับตำแหน่งรองหัวหน้าหมอหลวงอยู่ในพระราชวังมิใช่หรอกหรือ?
“กราบทูลชินอ๋อง เป็นซูเจี้ยนหย่งผู้นั้นนั่นแหละพ่ะย่ะค่ะ”
…มารดามันเถอะ!!!....
จ้าวจวินหลางถึงกับอุทานสบถในใจลั่น เนื่องจากว่าหมอหลวงมีร่วมร้อยชีวิตแต่เหตุไฉนไยในราตรีนี้จึงเป็นเวรของไอ้ท่านหมอหน้าขาวปากแดงคู่อาฆาตตลอดกาลของตนเองด้วยเล่าที่มาตรวจรักษาหวังลี่จูไปได้!?
“อ้าว ชินอ๋องจะกลับไปที่ใดพ่ะย่ะค่ะ?” ซ่งจินร้องถามผู้เป็นนายเอ็ดอึงแต่เท้าแกร่งก้าวพรวดพราดไม่ยอมหยุดโดยง่าย ชินอ๋องหนุ่มพุ่งตรงไปยังตำหนักซุ่นอวินราวกับลูกธนูพุ่งออกจากสายคันธนูก็มิปาน แล้วพอมาถึงกลับยิ่งพบเห็นภาพบาดตานั่นก็คือซูเจี้ยนหย่งกำลังจะโอบอุ้มเอาหวังลี่จูเข้าไปส่งในห้องพักผ่อนตามพระบัญชาจากหลิวไทเฮา
“วางนางลงเดี๋ยวนี้นะ!” เสียงตวาดกึกก้องราวกับเสียงฟ้าผ่าทำเอาหลิวไทเฮายังสะดุ้งโหยง แล้วซูเจี้ยนหย่งที่หวาดกลัวชินอ๋องฝังใจมาตั้งแต่วัยเยาว์มีหรือจะไม่ตกใจ เรือนกายบอบบางเลยถูกทิ้งโครมลงบนเตียงอีกครั้ง คราวนี้เจ็บและจุกจนพูดไม่ออก แล้วยังไม่ทันที่ทุกคนจะทันได้ตั้งตัวจ้าวจวินหลางนั้นกลับตรงเข้าไปจับคนที่ยังนั่งจุกจนหน้าเขียวคล้ำขึ้นพาดบ่าแบกก้าวเดินตรงดิ่งไปยังห้องชั้นในทันที
“จ้าวจวินหลางเจ้าคนชั่ว!” หลิวไทเฮาโมโหก็โมโห แต่จะด่าทอออกไปย่อมไม่สมควรสุดท้ายจึงเร่งลุกติดตามชินอ๋องหนุ่มเข้าไปด้วยโดยมีหวังลี่เจินยกชายกระโปรงกรุยกรายวิ่งติดตามไปอีกคน นางห่วงใยพี่สาวมาก ก็หายมากับชินอ๋องไม่ถึงครึ่งชั่วยามสภาพยังยับเยินราวกับไปตบตีกับเหล่าแม่ค้าในตลาดก็มิปาน นางจึงไม่วางใจจ้าวจวินหวางอีกแล้ว
“เจ้าคือคู่หมายของข้า บังอาจให้บุรุษอื่นแตะต้องร่างกายได้เช่นไร หรือข้อตกลงที่จะให้ข้าเจรจาพาน้องสาวของเจ้าออกจากวังหลังนั้นจะยกเลิกไปดีหรือไม่?” พอได้ทีก็ขี่แพะไล่นางไม่ยอมอ่อนข้อเลยจริง ๆ เจ้าสุนัขป้าเสียสติผู้นี้นี่ ก็ข้อเท้าของนางพลิกจนบวม จะเดินนั้นไม่ไหว จะให้นางคลานสี่ขาเช่นสุนัขกลับห้องนอนหรือไรกันเจ้าคนเสียสติ เจ้าสุนัขไม่กินแต่ชอบหวงกระดูก!!!
“ชินอ๋องทรงเสียสติหรือไร ข้อเท้าหม่อมฉันบวมจนแทบแตกจะให้คลานสี่ขาเป็นสุนัขกลับห้องนอนหรือไรเพคะ?” หวังลี่จูถึงจะถูกแบกขึ้นบนหัวไหล่ศีรษะห้อยต่องแต่งจนตาลาย แต่ยังมีแก่ใจกัดฟันเถียงออกไปอย่างสิ้นสุดความอดทน ทำเอาจ้าวจวินหลางส่งเสียง ‘หึ!’ แต่สายตานั้นก็อดจะเหลือบไปมองข้อเท้าที่เคยเรียวสวยข้างขวาซึ่งบัดนี้บวมราวอึ่งอ่างก็มิปาน จากที่โกรธจึงรู้สึกละอายใจเล็กน้อย ย้ำว่าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ที่ตั้งแต่แรกตนเองไม่ดูแลอีกฝ่ายให้ดี
“ขอบคุณสักครึ่งคำน่ะรู้จักพูดเป็นบ้างหรือไม่” นางขอร้องให้เขา ‘แบก’ นางเข้ามาที่ใดกัน มีแต่เขาที่จู่ ๆ ก็โผล่พรวดพราดเข้ามาช่วงชิงนางจากท่านหมอหลวงผู้ใจดี มือก็แสนจะเบา พูดจาแสนไพเราะ ไม่พูดจากรรโชกโฮกฮากดังว่าที่พระสวามีของนางผู้นี้เลยสักนิด
“ขอบพระทัยชินอ๋องที่ทรงเมตตาลี่จูอย่างยิ่งนะเพคะ” นางกัดฟันทุกคำที่พูด แม้นภายในหัวสมองด่าทออีกฝ่ายไปหลายเล่มเกวียนแล้ว แต่ภายนอกนางต้องปั้นแต่งหน้ายิ้มแย้มเอาไว้เพียงเท่านั้น
“เอาละ นี่ก็ดึกมากแล้วแยกย้ายกันไปพักผ่อนกันเถิด จวินหลาง ลี่จูบาดเจ็บ ให้นางพักผ่อนประเดี๋ยวจะหายไม่ทันงานแต่งงานในอีกหนึ่งเดือน”
…แต่งงานเช่นนั้นหรือ? …
จะให้นางต้องแต่งงานกับบุรุษนิสัยอำมหิตอีกทั้งหยาบกระด้างเช่นจ้าวจวินหลางผู้นี้จริงนะหรือ? คำถามนี้ดังก้องสะท้อนไปมาจนดึกดื่น หวังลี่จูก็ทำใจยอมรับอีกฝ่ายไม่ไหวจริง ๆ ยิ่งวันนี้เขาทำกับนางราวกับไม่ใช่คน มิหนำซ้ำเหมือนดังแลเห็นกันเป็นเพียงสัตว์เลี้ยงหรือไม่ก็ของประดับจวนอ๋องของเขาเพียงหนึ่งชิ้นเท่านั้น หวังลี่จูก็ยิ่งคิดหนัก
“พี่สาว…” หาใช่เพียงหวังลี่จูที่นอนไม่หลับ แต่หวังลี่เจินเองก็นอนไม่หลับเช่นกัน เนื่องจากภาพของพระสนมเหลียวเมื่อช่วงหัวค่ำที่ผ่านมานั้นยังติดตาไม่จางหาย สตรีที่ฮ่องเต้โปรดปรานที่สุดจนคนทั่วทั้งวังหลวงต่างทราบกันถ้วนหน้าผิดเพียงริษยาชั่วครู่ชั่วคราวก็โดนโทษ ‘เจ็ดประการยากจะปล่อยวาง’ โดยที่บุรุษผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินกลับนั่งมองเฉยไร้เยื่อใย ไม่มีวี่แววห่วงหาอาทรกันเลยสักเพียงน้อย
“หือ???” คนเป็นพี่สาวนั้นก็ยังไม่หลับ หนึ่งปวดข้อเท้า สองปวดหัวเข่าทั้งสองข้าง และสามก็คือกำลังคิดว่าบางทีพวกนางสมควรหนีไปดีหรือไม่?
…แต่จะหนีอย่างไรให้พ้นมือพ้นอำนาจของราชวงค์จ้าวกับหลิวไทเฮาได้นี่ต่างหากปัญหา? …
“เราหนีออกไปจากโยวโจวกันดีหรือไม่?” หวังลี่จูลุกขึ้นมานั่งท่ามกลางความมืดมิด เช่นเดียวกับหวังลี่เจินที่ก็ลุกขึ้นมานั่งกอดหัวเข่าหันหน้าชนกันกับพี่สาวอย่างเตรียมพร้อมจะพูดคุยกันอย่างจริงจังเป็นครั้งแรกนับจากเข้าวังหลวงมา
“เจ้าคิดว่าเงินที่พวกเรามีจะพอให้เราไปไกลจากเงื้อมมือของหลิวไทเฮาและฮ่องเต้ได้หรือไม่ เจ้าไปจุดเทียนแล้วนำตั๋วเงินกับแผ่นทองของพวกเราทั้งสองมานับรวมกันดูสักหน่อยเถิด”
คิดหนีก็ต้องไปให้พ้น และก่อนจะวางแผนสิ่งใดพวกนางต้องมี ‘เงิน’ และ ‘ทอง’ ให้มาก หาไม่หากไปไม่พ้นอาณาจักรโยวโจวแล้วนั้น พวกนางคงไม่รอดพ้นคมเขี้ยวของสุนัขป่านักล่าเหยื่อเช่นชินอ๋องจ้าวจวินหลางอย่างแน่นอน
“ได้เจ้าค่ะพี่สาว” หวังลี่เจินเร่งไปจุดเทียนแล้วตรงไปยังหีบเก็บของที่อยู่ใต้เตียง ไขกุญแจกุกกักครู่หนึ่งก็ค่อย ๆ ขนทรัพย์สมบัติที่มีทั้งตั๋วเงินและแผ่นทองคำกับเครื่องประดับที่หลิวไทเฮาประทานให้พวกนางทั้งสองพี่น้องมาตลอดสี่เดือน
“เครื่องประดับกับตั๋วเงินหากเราคิดจะไปให้พ้นเงื้อมมือของหลิวไทเฮาและฮ่องเต้มีเพียงนำทุกสิ่งไปแลกเป็นแผ่นทองคำให้ได้มากที่สุด ดินแดนที่ไปได้ง่ายและดูจะปลอดภัยได้ข้าพอมองเห็นมีเพียง ‘ซีหยวน’ เท่านั้น เพราะโยวโจวกับซีหยวนเปิดถึงกัน ชาวบ้านของสองดินแดนข้ามไปมาได้ไม่เข้มงวดตรวจตราละเอียดเช่นอีกสามดินแดน”
หวังลี่จูมองข้าวของกับตั๋วเงินแล้วก็อุ่นใจเพราะมันมากมายหลายหมื่นตำลึงหากแลกเป็นแผ่นทองได้ ไปปักหลักอยู่ซีหยวนก็ทำให้พวกนางสามารถซื้อบ้านและที่ดินได้ พร้อมทั้งเงินสำหรับเดินทางนั้นก็ยังคงมีมากพออีกด้วย พวกนางเป็นเพียงสตรีสองนางจะหนีมีแต่ต้องคิดให้รอบคอบ ตลอดมาสี่เดือนพวกนางมีแผนหนีบ่อยครั้งแต่ทรัพย์สินมีไม่มากพอ แต่เมื่อเข้ารับตำแหน่งองค์หญิง ทรัพย์สินส่วนพระองค์ย่อมไม่น้อย เช่นนี้ยังจะยอมทนอยู่ในกรงทองแห่งนี้ไปด้วยเหตุใดกันอีก
“ช่วงนี้พี่สาวขายังบาดเจ็บ เจินเจินจะอาศัยโอกาสนี้ทยอยนำตั๋วเงินไปแลกเป็นแผ่นทองให้ได้มากที่สุดส่วนเครื่องประดับเห็นทีจะยากสักหน่อย เพราะเป็นของชาววังชั้นสูง ร้านหรือโรงรับจำนำคงไม่กล้ารับเป็นแน่”
สองพี่น้องนั่งปรึกษาหารือกันอย่างจริงจัง ข้อเท้าที่พลิกหมอหลวงกล่าวว่าจะต้องใช้เวลาราวสิบห้าวันจึงจะค่อยหายดี หากจะให้เดินได้สะดวกเหมาะแก่การหลบหนีก็คงอีกราวสิบแปดวัน พวกนางไม่คิดจะหนีหากหลิวไทเฮาจะไม่บีบบังคับกันเช่นนี้ คิดหวังให้ชินอ๋องช่วยก็ดูเขาทำกับนางในวันนี้เสียก่อน ดูถูกเหยียดหยามราวกับนางไม่ใช่คน หากช่วยคงมีเพียงช่วยเหยียบย่ำกันเสียมากกว่า
“เจ้าต้องระวังตัวให้มากนะเจินเจิน ธุระนี้คงต้องลำบากเจ้าแล้ว”
“ลำบากอันใดกัน ในตลาดขายผักเจินเจินรู้จักแม่ค้ามากมาย ให้พวกพี่น้องในตลาดช่วยรับรองไม่มีวันถูกจับได้เป็นแน่ พี่สาววางใจเถิด พักผ่อนรักษาข้อเท้าให้ดี ยิ่งหายเร็วพวกเราก็ไปจากขุมนรกแห่งนี้ได้รวดเร็วเท่านั้น”
พอฟังน้องสาวกล่าวจบหวังลี่จูก็ดึงเรือนกายบอบบางกว่าเพราะยังอ่อนวัยกว่าถึงสี่ปีเข้ามากอดเอาไว้แนบแน่นในเมื่อพวกเขาบีบคั้น เด็กสาวเช่นพวกนางจนคล้ายสุนัขจนตรอกก็คงมีเพียงหนีไปให้ไกลสุดหล้าฟ้าเขียวให้ได้เพียงเท่านั้น!!!