พออีกสองวันต่อมาหวังลี่เจินนั้นก็เริ่มแอบลักลอบหนีออกจากวังหลวงแล้วไปหาเหล่าสหายทั้งหลายในตลาดให้ช่วยนำตั๋วเงินไปแลกเป็นแผ่นทองคำแทน พร้อมกันนั้นก็เตรียมหาขบวนสินค้าที่พวกนางสองพี่น้องพอจะอาศัยติดตามข้ามไปยังต่างแดนเช่นซีหยวนหรือไม่ก็เป็นเป่ยฮั่น เพราะหวังลี่จูนั้นบอกว่าเป็นเพียงสตรีสองนางหากหลบหนีกันไปเพียงสองคนจะไม่ปลอดภัยจำต้องอาศัยขบวนขนสินค้าข้ามชายแดนกับปลอมตัวจึงพอจะรอดพ้นออกจากโยวโจวได้
“เป็นเช่นไรบ้างอาการของข้าน่ะท่านหมอซู” คนข้อเท้าเจ็บพยายามฝึกฝนใช้ไม้เท้าและขยันกินยา ทำทุกสิ่งที่ท่านหมอหลวงแนะนำด้วยความคิดที่ว่าตนเองต้องรีบหายให้เร็วที่สุด งานแต่งงานใกล้เข้ามาทุกขณะ พวกนางสองพี่น้องจะต้องหนีไปให้ได้โดยเร็วที่สุด แต่งงานอันใดนั้นผู้ใดอยากตบแต่งกัน ชินหวางเฟยผู้ใดต้องการนางล้วนไม่สนใจ นางกับน้องสาวต้องการอิสระเพียงเท่านั้น ยศถาบรรดาศักดิ์อันใดพวกนั้นนางล้วนมิต้องการทั้งสิ้น
“ดีขึ้นมากแล้วพ่ะย่ะค่ะกงจู่ กระหม่อมเพิ่มตัวยาสมุนไพรให้แก่กงจู่อีกขนานรับรองว่าอีกไม่เกินสิบวันกงจู่ย่อมจะทรงต้องกลับมาเดินได้เป็นปกติเช่นเดิมแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ อย่าได้ทรงกังวลไปเลย”
พอได้ฟังคำตอบอันแสนพึงใจหญิงสาวจึงเผลอแย้มยิ้มออกมาโดยไม่ทันรู้ตัวว่าทำเอาท่านหมอหลวงหนุ่มตกตะลึงกับรอยยิ้มสะท้านปฐพีของหวังลี่จูจนเผลอปล่อยพู่กันหลุดมือทันควัน ก็หากเปรียบว่านี่คือรอยยิ้มของเทพเซียนเป็นเช่นไรเขากล้ายืนยันได้เลยว่าวันนี้ตนเองมากวาสนาได้พบรอยยิ้มนั้นเข้ากับตนเองแล้วจริง ๆ
....เคร้ง....
หวังลี่จูนั้นถึงกับหุบยิ้มทันควันแล้วแอบระบายลมหายใจทิ้ง เพราะไม่ได้ตั้งใจทำร้ายท่านหมอหนุ่มด้วยรอยยิ้มเลยสักนิด แต่นางเพียงดีใจมากล้นจึงเผลอตัวไปเท่านั้น รอยยิ้มที่นางมักถูกจ้าวจวินหลางด่าทออยู่เสมอว่ามันอัปลักษณ์เกินไปจงอย่าได้เผลอยิ้มไปทั่วอาจทำคนตื่นตกใจขวัญเสียเอาได้
“เสี่ยวจื่อส่งท่านหมอหลวงซูด้วย” นางไม่คิดอยากจะผูกใจหรือให้ความหวังบุรุษใดทั้งสิ้นนางคิดเพียงสิ่งเดียวในยามนี้นั่นก็คือจะหลบหนีออกไปก่อนงานสมรสได้อย่างไร
...ทำเช่นไรจึงจะหนีไปให้พ้นเงื้อมมือของคนสกุลจ้าวและหลิวไทเฮาเท่านั้น!...
“เพคะ ท่านหมอหลวงซูเชิญ...”
พออยู่เพียงลำพังก็ทรุดกายลงนั่งบนเตียงคิดวนเวียนวางแผนการแต่เพียงจะหนีไปให้ได้เช่นไร แล้วจะสลัดเหล่านางกำนัลกับขันทีและที่สำคัญองครักษ์เงาหญิงที่เป็นคนของจ้าวจวินหลางนั่นอีก ช่างไม่ง่ายเลยจริง ๆ
“พี่สาว” ช่วงบ่ายคล้อยหวังลี่เจินก็กลับมาพร้อมกับรอยยิ้มหวานโดยที่ด้านหลังมีเสี่ยวจางและองครักษ์จิ่วเซินคอยตามติด นั่นเองที่ความกังวลนั้นพลันถาโถมไม่หยุด จิ่วเซินฝีมือไม่ธรรมดานางย่อมทราบดี ก็ขนาดเป็นหนึ่งในทหารม้าเกราะดำได้สตรีผู้นี้ฝีมือเกรงว่าบุรุษบางคนยังต้องยอมแพ้เป็นแน่
“พวกเจ้าออกไปข้างนอกเถิดเปิ่นกงจู่อยากอยู่เพียงลำพังกับหมิงหวังกงจู่เท่านั้น” ในยามนี้นางอยากทราบว่าแผนที่วางกันเอาไว้กับหวังลี่เจินนั้นเด็กสาวทำได้เพียงใดแล้วบ้าง
“เพคะ/เพคะ”เสี่ยวจางกับจิ่วเซินจึงย่อกายแล้วจากไปพลางช่วยปิดประตูให้อีกด้วย แต่หวังลี่เจินนั้นยังไม่วางใจเร่งฝีเท้าตามติดแล้วไปแง้มประตูดูว่าคนเหล่านั้นจากไปไกลแน่แล้วใช่หรือไม่ ครู่หนึ่งเด็กสาวจึงย้อนกลับมาหาคนเป็นพี่สาวด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแต้มเรียวปากงดงามเป็นสัญญาณที่ดีว่า ‘แผน' แรกของพวกนางเป็นไปได้ด้วยดี
“เรื่องขบวนสินค้าที่จะออกจากโยวโจวไปนอกด่านยังซีหยวนจะมีอีกครั้งในอีกสิบเจ็ดวันเจ้าค่ะพี่สาว”
...อีกสิบเจ็ดวัน...
หญิงสาวมองเท้าตนเองที่ยังบวมเป่งแล้วก็รู้สึกขัดใจไม่น้อย อีกสิบเจ็ดวันข้อเท้าของนางจะหายทันหรือไม่คงมีเพียงภาวนาขอให้สวรรค์ช่วยเพียงเท่านั้น แต่...คนเช่นนางไม่เคยรอโอกาสที่สวรรค์จะเมตตา เพราะสำหรับนางมีเพียงหนึ่งสมองกับสองมือและสองเท้าบันดาลเท่านั้น!
“เรื่องตั๋วเงินกับแผ่นทองเล่าไปถึงไหนแล้ว จำไว้ว่าต้องระวังจิ่วเซินให้มาก นางไม่ธรรมดา” นางคาดหวังว่าคนในตลาดในอดีตที่คุ้นเคยกันนั้นพอจะช่วยเหลือกันได้หรือไม่ แต่ก็กังวลใจกับคนของจ้าวจวินหลางไปด้วย
“ผ่านไปด้วยดีเจ้าค่ะ ข้าหลอกล่อจิ่วเซินให้ไปซื้อของอีกทาง ที่ให้ติดตามก็เพียงเสี่ยวจาง” หวังลี่เจิน ขยับกายเข้ามาชิดใกล้กับพี่สาวก่อนจะเปิดถุงผ้าใบขนาดย่อมให้หวังลี่จูได้มองเห็นภายในว่าได้แผ่นทองมาไม่น้อยเลย
“วันนี้ข้าหาแลกมาได้สามพันตำลึงทองเจ้าค่ะ” หวังลี่จูรับถุงผ้ามาเปิดดูแล้วคิดว่าจะต้องให้น้องสาววนเวียนออกไปเสี่ยงภัยด้านนอกวังอีกกี่ครั้งดีเพราะการออกจากวังหลวงถี่เกินไปย่อมน่าสงสัย
“เห็นทีภายในสิบเจ็ดวันนี้เจ้าออกจากวังได้เพียงอีกหนึ่งครั้ง เจ้าเน้นหาที่ให้เราอาศัยขบวนสินค้าไปชายแดนให้ได้เท่านั้นก็พอ หากแลกตั๋วเงินอีกหลายครั้งมันอาจเป็นที่สงสัยของเสี่ยวจางและจิ่วเซินได้ ระวังได้จงระวัง ตั๋วเงินเราแลกที่ใดย่อมได้”
สองพี่น้องต่างก็ปรึกษาหารือถึงการเตรียมตัวเช่นไรจะหนีไปให้รอด จะเอาทรัพย์สินติดกายไปให้มากที่สุดได้อย่างไรจึงจะไม่ถูกสงสัย เพราะจากไปคราวนี้ไม่ใช่เพียงท่องเที่ยว แต่ไปตั้งรกรากจึงต้องรอบคอบให้มากเข้าไว้ อดทนอดยากพวกนางเผชิญมาไม่น้อยจึงต้องให้แน่ใจว่าจากไปแล้วต้องดีกว่าที่แห่งนี้
…ก๊อก…ก๊อก…ก๊อก…
“หมิงเยว่กงจู่เพคะ ไทเฮาทรงให้ห้องตัดเย็บมาวัดตัวเพคะ” เวลายังเหลืออีกเป็นเดือนโดยแท้ แต่หลิวไทเฮานั้นกลับเร่งส่งช่างตัดเย็บมาวัดตัว นั่นก็คงหมายถึงตัดชุดเจ้าสาวเสียเป็นแน่ หนีงานแต่งงานโทษคงไม่เบาแล้วเป็นแน่ ดังนั้นจะหนีต้องเร่งรีบแต่ก็ต้องรอบคอบด้วยเช่นกัน หาไม่สองชีวิตของพวกนางอาจไม่รอดก็เป็นไปได้
“นี่คือลายผ้า หมิงเยว่กงจู่ทรงเลือกดูว่าชอบลายใดพวกหม่อมฉันจะได้ปักลงไปประดับบนชุดได้ถูกใจหมิงเยว่กงจู่”
ลายผ้าดังกล่าวที่เหล่านางกำนัลจากห้องตัดเย็บนำมาให้นางได้เลือกนั้นเป็นดอกไม้มงคลและแน่นอนจะต้องมีหงส์และนกยวนยางรวมอยู่ด้วย หวังลี่จูจึงจิ้มมือชี้เลือกไปแบบส่งเดชเพราะทราบดีแก่ใจตนเองว่าอย่างไรเจ้าชุดแต่งงานนี้นางก็จะไม่มีโอกาสสวมใส่มันอยู่แล้ว
พอใกล้ค่ำหลิวไทเฮาก็เสด็จมาดูอาการของนางพร้อมกับร่วมกินอาหารมื้อค่ำด้วยกัน อดจะยอมรับไม่ได้ว่าหลิวไทเฮานั้นเป็นมารดาสามีที่สตรีทุกคนใฝ่ฝันอยากจะได้ไม่เว้นแม้แต่นางกับน้องสาว ทว่าที่พวกนางติดปัญหามิใช่มารดาสามี หากแต่พวกนางไม่ต้องการสามีเช่นฮ่องเต้และชินอ๋องต่างหาก
…จะมีสามีทั้งทีหากมากชู้หลายรักก็ขออยู่เป็นโสดให้ผู้ชายเสียดายเล่นยังดีกว่า…
‘ไม่มีสามีนั้นพวกนางสองพี่น้องไม่ถึงแก่ความตาย แต่หากมีสามีผิดย่อมตายแน่นอน’ นี่คือความในใจของสองพี่น้องสกุลหวัง ขอเพียงมีเงินมีที่ดิน และบ้านพวกนางก็อยู่กันได้แล้ว สามีนั้นไร้คุณค่าอย่างยิ่ง มีแล้วต้องปวดหัวสู้อยู่สบายไร้สามีจึงดีแน่แท้…
“ยังปวดมากอยู่หรือไม่?”
หลังจบมื้อค่ำหลิวไทเฮาก็ยังคงนั่งดื่มน้ำชาพลางชวนหวังลี่จูเดินหมากล้อม ช่วงหนึ่งจึงสอบถามถึงอาการข้อเท้าพลิกที่บัดนี้ก็ยังคงบวมอยู่แต่ก็ไม่มากเท่ากับสองสามวันก่อนหน้านี้อีกแล้ว
เดินหมากล้อมกันไป หลิวไทเฮานั้นก็ชวนสองพี่น้องสกุลหวังพูดคุยด้วยเรื่องขบขันเสียเป็นส่วนใหญ่ มีบ้างที่พระนางจะวนเวียนกลับมาถึงเรื่องพิธีแต่งงาน แต่ก็เพียงเล็กน้อยเพราะรู้สึกว่าเวลาพูดถึงกำหนดงานแต่งงานหวังลี่จูจะเงียบลงไปจนน่าใจหาย สตรีมากวัยมีหรือจะไม่ทราบว่าหญิงสาวตรงหน้านั้นไม่เต็มใจ แต่จะทำเช่นไรได้เล่าในเมื่อพระนางก็ไม่ต้องการให้บุตรชายแต่งพระชายาเอกเช่นหลวนจิ้งอวี่นี่นา
“รองเท้าข้าให้ช่างมาวัดเท้าของเจ้าไปแล้วคาดว่าคงราวอีกห้าวันจึงจะตัดเย็บและปักลวดลายเสร็จ พอถึงในยามนั้นเท้าข้างขวาของเจ้าคงจะหายบวมทันกระมัง” สายตาของสตรีสูงศักดิ์เหลือบไปมองยังข้อเท้าซึ่งถูกพอกสมุนไพรลดบวมโดยมีผ้าพันเอาไว้อีกหนึ่งชั้น
“เพคะ” หญิงสาวตอบออกไปเพียงเท่านั้น เพราะยิ่งใกล้วันงาน ข้าวของกับอาภรณ์และเหล่านางกำนัลอาวุโสต่างขนตำรามากมายที่เป็น ‘กฎเกณฑ์’ ของราชวงศ์ในฐานะชินหวางเฟย ซึ่งพอขนมาให้แก่นางก็จะถูกบีบบังคับให้อ่านโดยภายในเช้าวันรุ่งขึ้นเหล่าสตรีอาวุโสทั้งหลายก็จะเข้ามา ‘สอบ’ นางด้วยปากเปล่า หากหญิงสาวตอบผิดก็จะถูกไม้เรียวทำโทษจากนั้นก็จะต้องกลับไปท่องซ้ำของวันก่อนและวันนี้เพื่อที่จะตอบรวบยอดในอีกวันต่อไป
ใครไม่มาเป็นนางกับหวังลี่เจินล้วนไม่เข้าในลึกซึ้งถึงความทุกข์ใจเหล่านี้ อดทนและอดทนพวกนางท่องแล้วกลืนลงท้องจนทุกวันนี้อาหารแสนจะโอชาเพียงใดพวกนางสองพี่น้องก็ฝืนกลืนกินได้คนละไม่เกินสิบคำ จนต้องต่างคนต่างต้องช่วยกันเตือนสติของกันและกันว่าต้องกินให้อิ่มและพยายามนอนให้หลับ เป็นเช่นนั้นพวกนางจึงมีกำลังกายและกำลังสมองเอาไว้สำหรับหลบหนีภายในเวลาอีกไม่ถึงสิบวันข้างหน้านี้ให้จงได้
“พวกชุดเจ้าสาวนั้นให้ช่างหลวงตัดเย็บได้ แต่พัดนี้หมิงเยว่กงจู่ทรงต้องปักเองนะเพคะ” ในเช้าของวันที่หกหลังจากนางหกล้มบาดเจ็บ เถียนโมโม่ นางกำนัลอาวุโสจอมอำมหิตก็พูดกึ่งข่มขู่แล้วนำผ้ากับเครื่องมือปักผ้ามาวางโครมให้นางดังกับตำแหน่งหมิงเยว่ของนางเป็นเพียงเสือกระดาษไร้ความน่ากลัวไปจนสิ้น ช่างดีอันใดเช่นนี้ต่อหน้าหลิวไทเฮาเสแสร้งอ่อนน้อมพอลับหลังก็แทบจะขึ้นมาเหยียบศีรษะของนางได้อยู่แล้ว เกินไปจริง ๆ
แต่เพราะแผนคิดหนีนางจึงไม่ดื้อด้านหรือลุกขึ้นไปพาดก้านคอเถียนโมโม่ให้สลบฟื้นในยามเช้าของอีกวัน ด้วยความโมโห ยังโชคดีว่านางมีความรู้ด้านเย็บปักถักร้อยอยู่บ้าง เพียงพัดลายหงส์ออกมาสวยงามไม่นำภัยไม้เรียวมาสู่มือหรือแขนของตนเองอีก นางฝึกเดินในยามค่ำคืนกันสองคนกับหวังลี่เจิน แต่ในยามกลางวันหวังลี่จูยังคงเสแสร้งว่ายังไม่อาจเดินได้ ยิ่งท่านหมอหลวงซูบอกกำหนดเวลาที่มันจะหายดีนั้นนานถึงสิบห้าหรือยี่สิบวันก็เหมือนสวรรค์เป็นใจให้แก่พวกนางสองพี่น้องมากยิ่งขึ้น
พวกนางนับถอยหลังกันอย่างเงียบ ๆ ข้าวของถูกทยอยนำไปเก็บซุกซ่อนเอาไว้ยังโรงเตี๊ยมที่ให้ป้าเจียงที่เป็นแม่ค้าปลาเปิดห้องเอาไว้ให้ สองพี่น้องไม่สนใจเสื้อผ้าอาภรณ์ พวกนางสนใจเพียงตั๋วเงิน แผ่นทอง กับเครื่องประดับที่จะนำไปขายแลกเป็นตั๋วเงินได้เพียงเท่านั้น เสื้อผ้าขอเพียงมีสวมติดกายออกไปเพียงคนละหนึ่งชุดก็เพียงพอแล้ว...
“ขบวนสินค้านั้นอีกสามวันเดินทางแน่นอนแล้วใช่หรือไม่”
หญิงสาวที่บัดนี้กลับมาเดินได้เป็นปกติมาราวสองวันเอ่ยสอบถามน้องสาว ซึ่งหวังลี่เจินนั้นก็ไม่ทำให้พี่สาวผิดหวัง นัดแนะกับท่านหัวหน้าคนบังคับรถม้าโดยจ่ายเงินให้เขาไปหนึ่งก้อน แล้วบอกให้ท่านลุงเจียงผู้นั้นอ้างกับหัวหน้าขบวนสินค้าว่าพวกนางคือหลานชายที่จะเดินทางไปพบบิดาซึ่งเป็นทหารอยู่ที่ชายแดนเลยจะขออาศัยร่วมเดินทางไปด้วย ซึ่งขอเพียงไปถึงชายแดน พวกนางย่อมหาทางเข้าซีหยวนหรือไม่ก็เป็นเป่ยฮั่นกันต่อไปด้วยตนเองอีกครั้ง
“รอบคอบดีมากเจินเจินของข้า” คราวนี้ทุกอย่างก็เกือบจะพร้อมแล้ว ขอเพียงพวกนางลักลอบออกจากวังหลวงไปจนถึงหน้าประตูเมืองได้ในอีกสามวันข้างหน้าก็นับว่าพวกนางหลุดพ้นจากขุมนรกแห่งนี้ไปได้ครึ่งทางแล้วทีเดียว
“ข้านัดกับเหล่าเฉินเอาไว้แล้ว อีกสามวันเขากับหลานชายจะเข้ามาส่งผักยังห้องเครื่อง พวกเราจะไปโดยอาศัยรถลากเข็นผักออกไป!”
หวังลี่เจินอธิบายถึงวิธีที่พวกนางจะออกจากวังโดยไร้คนสงสัย เพราะหากปลอมตัวเป็นนางกำนัลหนีออกไปไม่นานคนภายในวังหลวงย่อมจับได้แน่นอน แต่รถลากมาส่งผักนั้นมาถึงก่อนท้องฟ้าสว่าง กว่าทุกคนภายในวังจะทราบว่าพวกนางสองพี่น้องหายไปก็คงเลยยามเฉิน ซึ่งบัดนั้นพวกนางย่อมออกไปพ้นประตูเมืองมุ่งหน้าสู่หมู่บ้านซูที่หวังลี่เจินนัดแนะกับขบวนสินค้าเอาไว้ว่าจะไปขอขึ้นรถม้าขนสินค้ากันที่หมู่บ้านนอกเมืองหลวงที่นั่น
และแล้ววันที่สองพี่น้องสกุลหวังรอคอยอย่างทุกข์ทรมานก็มาถึง พวกนางแต่งกายด้วยเสื้อผ้าของบุรุษเก่ามอซอ ลักลอบไปรอเหล่าตู้ผู้จะมาส่งผักสด ๆ ยังห้องเครื่อง ซึ่งคงเพราะพวกนางนำผ้ามารัดหน้าอกของตนเองจนแนบแน่นแถมอาภรณ์ยังเก่าหน้าตามอมแมมเต็มไปด้วยฝุ่นผงและขี้เถ้า เลยไม่มีผู้ใดสงสัยสองหนุ่มน้อยเลยสักนิด
ผมที่เคยยาวหวังลี่จูและหวังลี่เจินตัดมันจนสั้นในระดับเดียวกับเด็กหนุ่ม ดังนั้นราวกับสวรรค์เปิดหนทาง เพียงยามเหม่าพวกนางก็ออกจากพ้นกำแพงสูงใหญ่มาสูดกลิ่นอิสระได้โดยไร้คนขัดขวาง
“เร็วเข้าเถอะเร่งไปเอาทรัพย์แล้วตรงไปหมู่บ้านซูกัน ประเดี๋ยวจะคลาดกับขบวนสินค้า”
หวังลี่จูเร่งคนเป็นน้อง และไม่นานเลยทรัพย์สินหนักอึ้งก็มาอยู่บนหัวไหล่ของสองพี่น้อง อาศัยว่าพวกนางรู้จักเส้นทาง ‘ช่องสุนัขรอด’ จึงมุดหนีออกนอกเมืองโดยไม่ต้องผ่านด่านตรวจให้วุ่นวาย เมื่อออกมาพ้นจากกำแพงเมืองหลวงเรียบร้อยพวกนางก็จับมือกันไปตามเส้นทางลัดที่น้อยคนนักจะทราบ และตรงดิ่งไปยังหมู่บ้านซูด้วยความหวาดกลัวว่าจะตกขบวนไปไม่ทันนั่นเอง…
เดินกันอยู่ราวหนึ่งชั่วยามสองพี่น้องก็แลเห็นหมู่บ้านกับท้ายขบวนสินค้าอยู่ไม่ไกลนี่แล้ว หวังลี่เจินหันมายิ้มให้กับพี่สาวด้วยความโล่งใจเช่นเดียวกับหวังลี่จูเองก็ระบายลมหายใจออกมาเช่นเดียวกัน
“ต่อไปตัวของข้าคือเจียงลู่ส่วนพี่ใหญ่คือเจียงหรงนะรอรับ”
จะหลบหนีก็จะต้องสร้างตัวตนใหม่ขึ้นมา ในเมื่อท่านลุงคนควบคุมรถม้าแซ่เจียง พวกตนเป็นหลานชายก็ต้องแซ่เจียงเช่นกัน หวังลี่เจินคือเจียงลู่ส่วนหวังลี่จูนั้นคือเจียงหรง และพวกนางจะต้องฝึกพูดจาเป็นบุรุษมิใช่สตรีอีกต่อไป
“เช่นนั้นพวกเราก็ไปกันเถอะเสี่ยวลู่” หวังลี่จูตบลงไปบนหัวไหล่น้องสาวราวกับอีกฝ่ายคือน้องชายได้อย่างแนบเนียน
“ขอรับพี่ใหญ่ ไปกันเถอะอิสระรอพวกเราอยู่” หวังลี่เจินหรือเจียงลู่หันมายิ้มให้แก่พี่สาวซึ่งบัดนี้กลายเป็นพี่ชายไปแล้ว ก่อนจะเดินองอาจให้สมกับเป็นบุรุษตรงไปยังขบวนสินค้าทันที
“ท่านลุงเจียงพวกเรามาแล้วขอรับ” เป็นหวังลี่เจินหรือเจียงลู่ที่เข้าไปทักทายท่านผู้เฒ่าก่อน เพราะแน่นอนหวังลี่จูนั้นยังไม่เคยพบพาน ‘ท่านลุงเจียง' มาก่อน
“อ้าวเสี่ยวลู่ เสี่ยวหรงพวกเจ้ามาถึงแล้ว มาทางนี้ข้าจะพาเจ้าไปคารวะท่านหัวหน้าโอวหยาง”
แล้วเจียงเหรินที่รับเงินจากหวังลี่เจินถึงสามร้อยตำลึงเงินก็จัดการพาพวกเด็กหนุ่มทั้งสองที่เขาแอบอ้างว่าเป็นญาติห่าง ๆ ขออาศัยติดขบวนสินค้าไปยังชายแดนด้วย ส่วน ‘ท่านหัวหน้าโอวหยาง' นั้นเป็นผู้คุ้มภัยขบวนสินค้านี้ ใครจะไปหรือจะมาย่อมต้องพาไปคารวะแนะนำตัวให้อีกฝ่ายเห็นหน้าเห็นตาเอาไว้เสียก่อน
“ท่านหัวหน้าโอวหยางขอรับ เจ้าสองคนนี้คือหลานชายของข้าที่มาขออาศัยขบวนส่งสินค้าของพวกเราไปหาบิดาของพวกมันยังชายแดนขอรับ เอ๊า เสี่ยวลู่ เสี่ยวหรง คารวะท่านหัวหน้าโอวหยางเสียสิ”
ชายสูงวัยเอ่ยกับบุรุษหนุ่มหน้าตาเคร่งขรึมมีหนวดเคราดกดำบวกกับร่างกายของเขาสูงใหญ่ ในสายตาของเด็กสาวเช่นหวังลี่จูจึงแอบนินทาอีกฝ่ายในใจว่าช่างคล้ายหมีดำดุร้ายกลางป่าอย่างยิ่ง
“ข้าน้อยเจียงหรงคารวะท่านหัวหน้าโอวหยางขอรับ”
หวังลี่จูนั้นแอบลอบสังเกตบุรุษผู้ถูกเรียกว่า ‘ท่านโอวหยาง' อยู่อย่างเงียบเชียบ กลิ่นอายสังหารของเขาเข้มข้นไม่น้อยแสดงว่าดาบด้านข้างกายของเขาคงดื่มโลหิตและปลิดชีพคนมาไม่น้อยเลยทีเดียวเช่นกัน
...อันตรายเกินไป สมควรอยู่ให้ห่างไกลเข้าไว้...
“ข้าน้อยเจียงลู่คารวะท่านหัวหน้าโอวหยางขอรับ” หวังลี่เจินประสานมือก้มศีรษะคารวะไม่กล้าประสานสายตากับอีกฝ่าย เพราะนางรู้สึกว่าสายตาของบุรุษผู้นี้คมกริบเกินไป คนเช่นนี้นี่แหละมีลักษณะ ‘คมในฝัก' ของแท้
“อือ ท่านก็ดูแลพวกเขาด้วยก็แล้วกัน หากมีงานใดช่วยได้พวกเจ้าก็ช่วยท่านลุงเจียงไปก็แล้วกัน”
หน้าตาดุดันราวกับหมีดำ ทว่าในยามเอ่ยปากพูดน้ำเสียงของเขาช่างนุ่มละมุนละไมหูจนหวังลี่เจินอดจะเหลือบสายตาขึ้นไปมองอีกฝ่ายซ้ำเสียมิได้ แล้วความบังเอิญก็ทำให้สายตาของนางกับเขาประสานกันเข้าอย่างจัง สาวน้อยถึงกับใจเต้นโครมครามหวาดกลัวก็ส่วนหนึ่ง แต่ความรู้สึกวูบวาบแปลกประหลาดอีกส่วนนางกลับไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าตนเองเป็นอันใดไปกันแน่?...
“เสี่ยวลู่! ขออภัยท่านหัวหน้าโอวหยางด้วยขอรับ เสี่ยวลู่ยังเด็ก เขาเพียงสิบสามขวบปีจึงเสียมารยากับท่านหัวหน้า ข้าน้อยเจียงหรงขออภัยแทนน้องชายด้วยขอรับ”
ก็น้องสาวของนางเสียมารยาทมองจ้องหน้าอีกฝ่ายนานเกินไป คนเช่นนี้อันตรายเกินไป เขายากจะเข้าถึงได้โดยง่ายเพียงพบพานกันครั้งแรกก็ไปจ้องหน้าผู้อาวุโสกว่า ประเดี๋ยวก็ได้เรื่องแทนที่จะได้เดินทางเท่านั้น!
“เจ้าอยากตายหรือเสี่ยวลู่ไปจ้องหน้าของเขาเช่นนี้” ไม่บ่อยนักที่หวังลี่จูจะเอ่ยปากต่อว่าคนเป็นน้องสาว หวังลี่เจินที่เพิ่งรู้สึกตัวทำได้เพียงยิ้มแห้งแล้งแล้วหันไปกล่าวขออภัยจากอีกฝ่ายพลางเอ่ยขอตัวเร่งหนีหน้า เพราะหวาดกลัวอีกฝ่ายไม่น้อย พร้อมกับหัวใจของนางยังเต้นเร็วจนกลัวว่ามันจะกระเด็นหลุดออกมาจากหน้าอกตกลงบนพื้นเสียแล้ว...