หวังลี่จูหันไปกล่าวกับน้องสาวอีกสองสามประโยคด้วยความห่วงใย จึงค่อยยอมให้จ้าวจวินหลางพร้อมด้วยเสี่ยวจื่อกับเสี่ยวจางนางกำนัลรับใช้ส่วนตัวของหวังลี่จูพานางตรงกลับตำหนักไปเปลี่ยนอาภรณ์ใหม่เพื่อกลับมาร่วมงานเลี้ยงต่อไป ตลอดทางกลับตำหนัก หญิงสาวก็เร่งฝีเท้าเพราะไม่อยากปล่อยให้น้องสาวห่างกายเนิ่นนานเกินไป ก็อันตรายมันมีทั่วทุกซอกทุกมุม นางใจเย็นไม่ไหวจริง ๆ จึงต้องสาวเท้าว่องไวจนลืมว่ากระโปรงนั้นชำรุดและรุ่ยร่ายเต็มทน
...โครม!...
“โอ๊ะ!...”
ทว่าหวังลี่จูคงเร่งรีบมากไปจึงทำให้นางสะดุดชายกระโปรงของตนเองซึ่งยาวกรุยกราย เนื่องจากหญิงสาวนั้นต่อให้ฝึกฝนมาอย่างหนักหลายเดือน แต่กลับยังไม่คุ้นเคยกับอาภรณ์เฉิดฉายเช่นนี้สักคราว ประกอบกับความมืดจึงทำให้นางหกล้มหัวเข่ากระแทกโครมเข้าเต็มที่กับพื้นที่ถูกโรยด้วยก้อนหิน ความเจ็บปวดพุ่งสู่ขั้วหัวใจจนน้ำตาแทบไหล หากแต่พอนางเตรียมจะขยับกายลุกขึ้น จึงทราบว่านอกจากหัวเข่าทั้งสองข้างจะแตกแล้วข้อเท้าของนางยังพลิกอีกด้วย
“มารดามันเถอะ!!!” คนงามเผลอสบถออกมาอย่างโมโหความซุ่มซ่ามของตนเองอย่างยิ่ง ด้วยนางนั้นเร่งรีบคล้ายกับว่าชะตายิ่งกลั่นแกล้งให้นางยิ่งช้าเข้าไปอีก นางโมโหจนเผลอกำหมัดจนแน่นแล้วฟาดเปรี้ยงลงไปยังพื้นดินตรงหน้าแล้วจึงต้องร้องครวญครางโอดโอยออกมาแผ่วเบาเพราะถูกหินบาดซ้ำเข้าไปอีกจนได้กลิ่นคาวโลหิต บอกได้แม้ไม่ต้องดูย่อมรู้ว่ากำปั้นของตนเองนั้นแตกอีกเช่นกัน!
...โง่งมสิ้นดีหวังลี่จู่!!!...
“กงจู่เพคะ/กงจู่!” สองนางกำนัลฝาแฝดเสี่ยวจื่อและเสี่ยวจางวัยสิบสี่ปีพุ่งตรงมาหาผู้เป็นนายใหม่ของพวกนางหลังจากผู้หนึ่งถือโคมไฟเดินออกหน้าเพื่อนำทางเป็นแสงสว่างให้กับนาง และจ้าวจวินหลางกับอีกคนเดินจับชายกระโปรงด้านหลังไม่ให้มันไปเกี่ยวกับสิ่งใดอีกตกใจแทบตายแล้วพอเห็น ‘คนโปรด' ของหลิวไทเฮาหกล้ม
...ใจเย็นเอาไว้ลี่จู...เจ้าต้องใจเย็น...
หญิงสาวหลับตาลงพยายามตักเตือนตนเองแล้วสูดลมหายใจเข้าท้องลึกล้ำก่อนจะปล่อยออกมาเนิบช้า นางต้องมีสติหากยังปล่อยให้โทสะเข้าครอบงำสตินั้นย่อมจะเลือนหาย พอสติเลือนหายปัญญาก็จะสิ้นสุดลงทันที ถึงกำปั้นนั้นจะเจ็บปวดแต่หวังลี่จูก็กำมันจนแน่น ความเจ็บปวดที่กำปั้นมิอาจทำอันใดนางได้เพราะความห่วงใยหวังลี่เจินที่รอคอยอยู่ด้านหลังยังงานเลี้ยงที่เต็มไปด้วยอสรพิษท้ายวังนั้นมากล้น
“ชินอ๋องเพคะ” เท้าของนางเจ็บมากจนนางขยับกายลุกขึ้นยืนไม่ไหว หลังจากใจเย็นลงมากแล้วสติจึงกลับมาพร้อมกับความเจ็บปวดที่ขยายวงกว้างบริเวณข้อเท้าเรียวเล็กนั้นรุนแรงจนนางต้องกัดฟัน ที่กำปั้นนางอดทนไหวแต่ตรงข้อเท้าดูแล้วจะหนักหนา จะให้สองนางกำนัลทั้งสองที่มีรูปร่างบอบบางอรชรกว่าหวังลี่เจินมาช่วยนางพยุงนางลุกขึ้นยืนดูเหมือนจะไม่ง่ายดายจึงหันไปหาทางบุรุษเช่นจ้าวจวินหลาง นางหาใช่นางเอกอ่อนแอแต่ก็มิใช่นางร้ายเจ้ามารยา แต่นางคือหวังลี่จูผู้ล้มจริงและเจ็บจริง!
“ซุ่มซ่ามเอง หากคิดจะให้เปิ่นหวางอุ้มเห็นทีจะยากสักหน่อยนะหมิงเยว่กงจู่” ผู้ใดจะคาดเจ้าสุนัขป่าหน้าขนเช่นจ้าวจวินหลางนั้นจะกอดอกยืนมองเฉยเมยไม่พอ เขายังเอ่ยวาจาราวกับฝ่ายลมอีกด้วยนี่หรือ ‘ชินอ๋อง’ แห่งโยวโจวช่างเป็นสุภาพบุรุษเกินไปแล้ว
“ท่านอ๋อง ลี่จูขอร้องท่านสักครั้งเถอะนะเพคะ ได้โปรดช่วยหม่อมฉันด้วยเพคะ บัดนี้ข้อเท้าของหม่อมฉันมันพลิกจริง ๆ มิได้มารยาแม้แต่น้อย...”
หญิงสาววิงวอนอีกฝ่ายน้ำเสียงออดอ้อน เรื่องเกลียดชังน้ำหน้ากันขอพักเอาไว้ก่อนชั่วคราวก็เพราะว่าถึงเขาจะมีองครักษ์เป็นบุรุษอีกสองคน แต่ธรรมเนียมของราชวงศ์แห่งโยวโจวนั้นนางคือคู่หมายของจ้าวจวินหลาง หากจะเรียกซ่งจินมาช่วยย่อมหยามเกียรติว่าที่สามีนางทำไม่ได้แน่นอน นางเกลียดชิงชังวังหลวงแทบตายแล้วกฎเกณฑ์มากล้นล้วนไม่ช่วยอันใดนางได้เลย
“อีกไม่กี่ก้าวก็ถึงตำหนักของเจ้าแล้ว เท้าเดินไม่ไหวก็มีมือมีหัวเข่าจงคลานไปเองเถิด เปิ่นหวางมือไม่ว่าง กำลังยืนกอดอกอยู่เจ้าไม่เห็นหรอกหรือ?”
“!???”
คำตอบเช่นนี้เขาก็กล้าหาญกล่าวออกมาไม่ละอายปากของตนเองเลยสักน้อย แต่บัดนี้นางจนปัญญาคิดว่าคลานไปจนถึงตำหนักสภาพของหมิงเยว่กงจู่คงไม่เหลือดีแล้วเป็นแน่ เจ้าสุนัขป่าขี้เรื้อนผู้นี้เอานิ้วเท้าข้างใดคิดออกมาได้กันเล่าหวังลี่จูโกรธอีกฝ่ายจนใบหูร้อนไปหมดแล้วบัดนี้
'เอาวะยอมวิงวอนอ้อนขอร้องเขาสักหน่อยมันจะเสียศักดิ์ศรีสักเท่าใดกันเชียว ดีกว่าต้องคลานสี่เท้ากลับตำหนักซุ่นอวินให้อับอายนางกำนัลและขันทีกับเหล่าองครักษ์ทั้งหลาย'
หวังลี่จูคิดในใจเสร็จก็ตัดสินใจกัดฟันพุ่งตรงเข้าไปกอดสองขาแกร่งของ ‘ชินอ๋อง' อย่างไม่มีการรักษามารยาทอีกต่อไป ศักดิ์ศรีอันใดนั้นปกติคนเช่นนางไม่มีอยู่แล้ว ขอเพียงเอาชีวิตรอดทำเวลาเร่งกลับไปหาน้องสาวให้จงได้ ต่อให้นางกราบอีกฝ่ายเป็น ‘ท่านอาจารย์' หวังลี่จูก็ไม่มีวันถือสามันให้หนักเด็ดขาด!
“น้า...ชินอ๋องทรงเมตตาลูกนก ลูกห่านตาดำ ๆ ผู้นี้ด้วยเถอะเพคะ ชินอ๋องคนดี...ชินอ๋องผู้ประเสริฐที่สุดในใต้หล้า”
นางกำนัลสองพี่น้องเช่นเสี่ยวจื่อกับเสี่ยวจางถึงกับมองแล้วอึ้งยืนตกตะลึงอ้าปากค้างพะงาบกลืนลมลงท้องอย่างน่าสงสาร โดยซ่งจินองครักษ์คนสนิทที่ติดตามใกล้ชิดมาด้วยเองยังถึงกับแอบหันหน้าหนีไม่กล้าจะมองกับกิริยาลูกสุนัขตัวน้อยเลียแข้งเลียขาเจ้านายของมัน หวังวิงวอนอ้อนขอให้จ้าวจวินหลางนั้นโอบอุ้มตัวของมันขึ้นมาจากพื้นสักคราว ผู้ใดพบเห็นใจแข็งเกินหนึ่งเค่อนับว่าเป็นยอดบุรุษ!
“ไม่!...ปล่อยขาของเปิ่นหวางเดี๋ยวนี้ ตนเองเดินไม่ระวัง ทั้งโง่เง่า ทั้งซุ่มซ่ามยังจะมาเดือดร้อนตัวของผู้อื่นอีกอยากจะเร่งรีบก็คลานกลับไปเอง!”
แต่บุรุษเหล่านั้นคงต้องยอมโขกศีรษะยอมรับจ้าวจวินหลางผู้นี้เป็นปู่ทวดแล้วเป็นแน่ เพราะถึงหวังลี่จูนั้นจะออดอ้อนวิงวอนเพียงใดชินอ๋องหนุ่มกลับไม่มีกิริยาโอนอ่อนผ่อนตามเลยสักนิด แถมยังพยายามดึงท่อนขากำยำเพื่อจะหนียายตัวเล็ก ‘ภาระ' ก้อนมหึมาตรงหน้าให้จงได้ แต่คนเราเลือดเข้าตาสุนัขจนตรอกย่อมยอมทำได้ทุกอย่างขอเพียงให้สมหวังล้วนพอใจแล้ว
“โธ่...ชินอ๋องเพคะ...น้า...ช่วยลี่จูสักครั้ง ต่อไปจะให้ลี่จูเป็นกระต่าย เป็นแมวทรงเลี้ยง ลี่จูเป็นให้ชินอ๋องได้ทั้งหมดเลย...น้า....”
หวังลี่จูยังหน้าด้านหน้าทนกอดท่อนขาแกร่งเอาไว้แนบแน่น ต่อให้จ้าวจวินหลางพยายามสลัดออกเพียงใดนางก็กอดเอาไว้แน่นเสียยิ่งกว่าเท้าตุ๊กแกก็มิปาน!!!
“นี่!...เจ้าจะหน้าด้านเกินไปหรือไม่ลี่จู!!!?” เกิดมาชายหนุ่มไม่เคยพบเคยเจอสตรีไม่รักษากิริยาเช่นหวังลี่จูผู้นี้มาก่อนเลย เขาถึงขนาดกัดฟันสลัดแล้วแต่ผู้ใดจะเชื่อ นางตัวเล็กนิดเดียว ทว่าในยามกอดท่อนขาของเขากลับกอดได้เหนียวแน่นยากจะสะบัดหลุดได้เช่นนี้
“หวัง-ลี่-จู-ปล่อยขาของเปิ่นหวางเดี๋ยวนี้!” จ้าวจวินหลางกัดฟันก้มลงไปตะคอกใส่ใบหน้าหวานแต่หวังลี่จูนอกจากนางจะไม่สลดไม่พอ นางยังคงหันขึ้นมายิ้มแต้ไม่ยอมท้อถอยแม้แต่น้อย ก็ที่พึ่งพาหนึ่งเดียวของนางคือเจ้า ‘สุนัขขี้เรื้อน' จ้าวจวินหลางผู้เดียว ถึงนางไม่ฉลาดแต่ก็ไม่ถึงกับโง่เขลา ตนเองหมดปัญญาจะไปต่อได้ด้วยตนเอง กับองครักษ์ซ่งจินนางก็ขอความช่วยเหลือไม่ได้ ยิ่งสองนางกำนัลเสี่ยวจื่อกับเสี่ยวจางคงยากจะเดินไปยังตำหนักได้เร็วเท่าวิงวอนขอให้เจ้าสุนัขป่าใจอำมหิตช่วยเท่านั้น
“ไม่!...หากท่านไม่ช่วย หม่อมฉันก็จะนั่งกอดท่อนขากันไปยันสว่างกันไปเลย!!!”
หน้าด้านหน้าทนแล้วก็ต้องไปให้สุดทาง เพื่อความปลอดภัยของน้องสาว ให้นางโขกศีรษะยอมเป็นนางทาสแล้วเขาช่วยนางก็จะยอมทำมันไม่มีปริปากบ่นแม้นเพียงครึ่งคำ!
“น้า...ชินอ๋องคนดี....ชินอ๋องผู้มีรูปโฉมหล่อเหลาที่สุดในใต้หล้า ชินอ๋องผู้มากเมตตา ช่วย ‘อุ้ม' ลี่จูไปส่งที่ตำหนักด้วยเถิดนะเพคะ”
ปากมีย่อมต้องนำมาใช้ให้ถูกที่ถูกเวลา พูดจาอันใดแล้วมีประโยชน์นางย่อมไม่ปล่อยผ่านพลางวิงวอนด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานสายตาเว้าวอน เรียวปากอวบอิ่มจิ้มลิ้มแย้มยิ้มออดอ้อนเรียกว่ามารยาของสตรีมีกี่หมื่นกี่แสนเล่มเกวียนหวังลี่จูดึงออกมาใช้จนหมดไส้หมดพุงไม่ยอมเก็บเอาไว้อีกต่อไป
“หึย...เจ้านี่มัน...” ถึงจะเอ่ยปากสบถไปด้วยคำหยาบคายไปเสียหลายคำอย่างที่คนเป็นถึงชินอ๋องไม่สมควรเอ่ยมันออกมา แต่สุดท้ายเรือนกายแกร่งนั้นก็ยอมจำนนให้กับรอยยิ้มสยบปฐพีของหวังลี่จูเข้าจนได้ จึงหันมาจับกายบอบบางแล้วยกขึ้นหัวไหล่ ‘แบก' อีกฝ่ายราวกระสอบข้าวสารแล้วเดินดุ่ม ๆ ตรงดิ่งไปยังตำหนักซุ่นอวินที่หมิงเยว่และหมิงหวังกงจู่พักอาศัย โดยมีสองนางกำนัลกับหนึ่งองครักษ์เร่งฝีเท้าติดตามผู้เป็นนายทั้งสองไปให้ทัน
...โครม!...
“โอ๊ย!...” พอเข้ามาถึงภายในห้องโถงใหญ่กลางตำหนักซุ่นอวิน จ้าวจวินหลางก็จับเรือนกายอรชรโยน ‘โครม!' ลงไปบนเตียงซึ่งมีเอาไว้สำหรับนั่งเล่นและเอนหลัง พานทำให้หวังลี่จูเจ็บก้นและแผ่นหลังจนน้ำตาไหลพราก เพียงข้อเท้านางก็ปวดแทบขาดใจ หัวเข่าก็แสบเพราะคงได้แผลจากก้อนหินบาดเอาเมื่อครู่ ไม่พอบัดนี้ยังมาถูกเจ้าสุนัขขี้เรื้อนจวินหลางนั้นกลับจับนาง ‘ทุ่ม' ลงมาบนเตียงที่เป็นไม้เนื้อแข็งต่อให้มีเบาะรองนั่งก็ตาม แต่มันก็ยังบางเกินไปสำหรับเรือนกายของนางอยู่นั่นเอง
“ท่านนี่มัน...” อยากด่าให้สาแก่ใจแต่ก็ไม่กล้า ‘ปากดี' ในถิ่นของเขา นางจำต้องกัดเรียวปากของตนเองจนได้กลิ่นคาวโลหิตลอยฟุ้งพุ่งขึ้นเต็มกระพุ้งแก้มและโพรงปาก หญิงสาวอดทนฝืนเก็บความเจ็บปวดเอาไว้จนดวงตาเรียวสวยคู่นั้นแดงก่ำเพราะฝืนกลืนน้ำตาเอาไว้ไม่ให้มันไหลออกมาอีก
“เปิ่นหวางทำไม?...อยากด่าก็ด่าออกมาเลยอย่ามาเสแสร้งจะดีกว่าคนงาม” จ้าวจวินหลางทรุดลงมานั่นสับส้นเท้าแล้วเอื้อมมือไปบีบแก้มของหวังลี่จูจนนางปากจู๋ จะให้กล่าวกิริยาในยามนี้เป็นดัง ‘พยัคฆ์' กำลังล้อเล่นกับ ‘หนูนา' ตัวน้อยก่อนจะสังหารให้ตายก็มิปาน
“มิกล้า...มิกล้า...ลี่จูย่อมมิกล้าแม้แต่จะคิดร้ายต่อชินอ๋อง ดังนั้นจะกล้าด่าทอชินอ๋องไปได้เช่นไรเล่า” หญิงสาวยิ้มแย้มทั้งที่เจ็บปวดที่ข้อเท้าแทบขาดใจ นางอดทนจนหน้าแดงตาแดง เห็นแล้วจ้าวจวินหลางนั้นก็ถึงกับปวดดวงใจอย่างไร้สาเหตุ
“ไหนให้ข้าดูหน่อย!” ตะคอกข่มขวัญนางเอาไว้ก่อนทั้งที่ภายในใจของเขานั้นเริ่มสั่นไหวไปหมดกับดวงตาแดงชอกช้ำและใบหน้าแดงก่ำบ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าหวังลี้จูนั้นเจ็บปวดมากจริง ๆ แต่ที่ตนเองโยนกายอรชรนั้นลงโครมใหญ่ ก็เพราะกลัวเสียหน้า เกิดมาแม้แต่มารดาของเขาเองยังไม่เคยอุ้ม ดังนั้นจึงจำใจต้อง ‘แบก’ นางขึ้นหัวไหล่แทนที่จะโอบอุ้มก็เพราะขัดเขินจึงเสแสร้งทำเป็นไม่เต็มใจ ทั้งที่ภายในใจยอมให้สตรีตรงหน้าไปตั้งนานแล้ว
...สงสาร...
ใช่เขาก็เพียงสงสารลูกจิ้งจอกป่าจอมซนเช่นนางเพียงเท่านั้น มิใช่อันใดนอกเหนือจากนั้นทั้งสิ้น ข้อมือแกร่งเร่งจับชายกระโปรงที่ยาวรุ่มร่ามเปิดออกจึงพบเข้ากับข้อเท้าที่กำลังบวมเป็นสีแดงเข้มจัดจนใกล้ม่วงคล้ำเต็มทน ดวงใจแกร่งที่สังหารคนมาจนนับศพไม่ถูกบัดนี้พลันไหวเอนราวต้นอ้อถูกลมพายุใหญ่พัดกระหน่ำ
“ปวดมากล่ะสิ คาดว่าไม่ใช่เพียงข้อเท้าพลิกแต่กระดูกข้อเท้าอาจเคลื่อนหรือหลุดก็เป็นไปได้” หญิงสาวไม่ตอบนอกจากกัดเรียวปากตนเองแน่น ไม่ร้องออกมาว่า ‘เจ็บ' แม้เพียงครึ่งคำ พอเห็นข้อเท้าของหญิงสาวยังสาหัสถึงเพียงนี้ แล้วหัวเข่าที่ล้มลงไปกระแทกโดยแรงต่อให้มีอาภรณ์กางกั้นแต่ย่อมหนาไม่พอดังนั้นยากที่จะไม่บาดเจ็บไปได้
“บัดซบมันเถอะ!...ซ่งจินเร่งตามหมอหลวงมาที่ตำหนักนี้โดยเร็ว เสี่ยวจื่อไปกราบทูลไทเฮาและฮ่องเต้ว่าหมิงเยว่กงจู่ทรงเกิดหกล้มข้อเท้าและหัวเข่าบาดเจ็บหนัก งานเลี้ยงคงมิอาจไปร่วมด้วยได้อีกแล้ว”
จ้าวจวินหลางเอ่ยสั่งการด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดไปหมด เพราะบัดนี้ภายในดวงใจแกร่งนั้นราวกับมีผึ้งหลวงทั้งรวงรังตรงเข้ารุมต่อยไม่ปรานี เจ็บปวดเหลือเกินที่เห็นคนตัวเล็กแสนดื้อรั้นและแสบสันบาดเจ็บ เพราะเขาไม่จับจูงนางเดินให้ดีทั้งที่ก็ทราบว่าไอ้ชุดบ้าบออย่างเป็นทางการของสตรีชาววังหลวงมันรุ่มร่ามน่าชิงชังจะตายไป แต่เขากลับอยากรังแกนางทางอ้อมโดยการปล่อยให้นางเดินด้วยตนเอง แม้อย่างน้อยจะทราบดีว่าชุดดังกล่าวมันต้องมีคนช่วยประคองเดินจึงค่อยก้าวได้สะดวก
...แคว่ก!...แคว่ก!...แคว่ก...
กระโปรงยาวกรุยกรายถูกมือแกร่งจับฉีกจนเหลือความยาวเพียงคลุมบริเวณปลีน่องขาวผ่องเท่านั้น หวังลี่จูจะร้องห้ามแต่ไม่ทันขยับเรียวปากชายกระโปรงยาวก็ขาดกลายเป็นเพียงเศษผ้าชิ้นหนึ่งไม่หลงเหลือคราบของผ้าไหมราคาแพงอีกต่อไป...
“ชินอ๋องท่านเสียสติหรือจึง...”
“หุบปาก!!!”
“!!!”
ยังกล่าวทักท้วงไม่ทันจบประโยคนางกลับถูกเจ้าสุนัขป่าขี้เรื้อนจ้าวจวินหลางก็หันมาตะคอกใส่หน้าจนหญิงสาวตกอกตกใจจนผวาหุบปากสนิททันใด ก็นี่มัน ‘บ้าน' ของเขา คนทั่ววังก็เป็นของเขา รักชีวิตก็อย่าคิดไปมีเรื่องกับ ‘สุนัขป่า' แสนดุร้ายเช่นจ้าวจวินหลางทีเดียว
“โอ๊ย!!!” แต่แค่เพียงเขาจับไปตรงข้อเท้า ความเจ็บปวดที่ยากจะบรรยายก็หลุดเสียงร้องออกมาดังแต่ไม่มาก สองมือยกขึ้นอุดปากตนเองเอาไว้มั่นคง นางจะอ่อนแอไม่ได้โดยเฉพาะกับคนตรงหน้าของนางด้วยแล้วยิ่งไม่ได้เด็ดขาด เพราะหากนางแสดงออกไปว่าตนเองเจ็บปวดมากเท่าใด จ้าวจวินหลางเขามีเพียงจะยิ่งสาแก่ใจมากเป็นพันเป็นหมื่นเท่าเพียงเท่านั้นนั่นเอง ก็ภาพวันแรกที่พบหน้ากันที่เขาเตะตัดขาจนนางล้มไม่เป็นท่าไปจนถึงภาพเมื่อครู่ที่นางต้องวิงวอนเขาแทบตายกว่าเขาจะ ‘แบก' นางมาโยนโครมราวสิ่งของไร้ค่ามันก็ฟ้องเอาไว้ว่าคนเช่นนางกับน้องสาวนั้นต้อยต่ำเกินไปไร้คุณค่าคู่ควรในสายตาของบุรุษชนชั้นสูงเหล่านี้!
“เจ็บล่ะสิ สมน้ำหน้า อยากซุ่มซ่ามเดินไม่ระวัง คิดว่าตนเองเป็นผู้ใดกัน ก็เพียงห่านดงตนหนึ่งหาใช่นางหงส์องอาจทำเป็นหลงชาติกำเนิดของตนเอง รู้ว่าเส้นทางมันมืดแถมกระโปรงยังราวรุ่มร่ามไม่เจียมตัวจริง ๆ...โง่เขลาสิ้นดี!!!”
...นั่นปะไรนางถูกพูดจาดูถูกอีกแล้ว แต่...มันก็จริง พวกนางสองพี่น้องก็เป็นเพียงห่านดงหลงมาอยู่ท่ามกลางฝูงนางพญาหงส์และเหยี่ยวเวหา แต่เป็นพวกนางหรือที่อยากจะมาอยู่ยังที่แห่งนี้ ก็เป็นมารดาของเขามิใช่หรือที่ยกเอาคำว่า ‘ทดแทนบุญคุณ' มากักขังพวกนางสองพี่น้องเอาไว้ในสถานที่ชั่วช้าแห่งนี้!!!
ยิ่งคิดพลันน้ำอุ่น ๆ มันก็ไหลออกมาจากดวงตาอย่างยากจะหักห้ามได้อีกต่อไป ร่วมสี่เดือนที่พวกนางต้องทุกข์ยากและอดทน ต้องฝืนทำและฝึกฝนในสิ่งที่หลิวไทเฮายัดเยียดมาให้โดยไร้คำถามไถ่ว่าพวกนางสองพี่น้องต้องการหรือไม่ กฎเกณฑ์มากมายถูกจับยัดมาใส่สมอง พวกนางเหนื่อยร่างกายพักผ่อนนอนหลับมันก็จางหาย แต่หลายเดือนผ่านมาเหนื่อยใจมีแต่มากล้นยากจะบรรเทา
“มะ...หม่อมฉันสองพี่น้องก็มิเคยต้องการเพคะ...ฮึก...ไม่เคยต้องการเป็นกงจู่...ฮือ...และยิ่งไม่เคยต้องการสามีแบบพวกท่าน!”
เหลืออดเหลือทนเข้าหญิงสาวนั้นก็ระเบิดมันออกมา ตลอดหลายเดือนพวกนางถูกกดดันมากมาย ลับหลังหลิวไทเฮาพวกนางถูกหยามหมิ่นเพียงใดพวกเขาเคยทราบหรือไม่ ต้องถูกเหล่าโมโม่ทั้งหลายทรมานแทบตายกว่าจะผ่านพ้นไปในแต่ละวัน กว่าจะถูกปล่อยให้ได้พักผ่อน ไหนจะต้องคอยระแวงระวังภัยร้ายจากความริษยาของเหล่าสตรีวังหลัง สี่เดือน...สี่เดือนที่พวกนางสองพี่น้องต้องอดทนยิ่งกว่าติดคุกอยู่หลังกำแพงที่มีนามสวยหรูว่า ‘วังหลวง' ผู้ใดมิได้เข้ามาเผชิญดังที่พวกนางเจอะเจอย่อมมิแจ้งใจว่าสถานที่แห่งนี้มันก็คือ ‘คุกหลวง' เราดี ๆ นี่เอง
“...” เป็นครั้งแรกที่จ้าวจวินหลางถูกสตรีต้อยต่ำมาตะโกนใส่หน้าว่าไม่ต้องการ ‘สามีเช่นพวกท่าน' ด้วยทิฐิแรงกล้าทำให้เขาปล่อยข้อเท้าบวมเป่งนั้นลงกับพื้นโดยแรง
...โครม!!!...
“!!!” หวังลี่จูนั้นเจ็บจี๊ดวิ่งไปถึงหัวใจ ทว่าหญิงสาวนั้นกลับกัดเรียวปากของตนเองเอาไว้จนแน่น ไม่หลุดเสียงร้องโอดโอยออกมาแม้เพียงครึ่งคำ มีเพียงดวงตาที่แดงก่ำราวกับสายเลือดที่จับจ้องอีกฝ่ายอย่างพยายามอดทน ไม่มีน้ำตาไหลออกมาอีกแล้วเพราะนางนั้นได้พยายามกลืนมันลงท้องไปจนสิ้น กับคนแบบเจ้าสุนัขป่าขี้เรื้อนเช่นจ้าวจวินหลางผู้นี้ยิ่งนางแสดงออกว่าอ่อนแอเขากลับยิ่งข่มเหงน้ำใจกัน ดังนั้นนับจากนี้นางจะไม่อ่อนแออีกแล้ว จะไม่วิงวอนเขาเช่นเมื่อครู่อีกด้วยเพราะยิ่งนางอ่อนข้อเขากลับดูหมิ่นนางราวกับมิใช่คน!!!
“จองหองยิ่งนัก ดี!...เช่นนั้นก็จงจองหองไปให้ตลอดก็แล้วกัน เพราะคนเช่นเปิ่นหวางก็ไม่อยากจะลดกายลงไปเกลือกกลั้วกับสตรีต่ำต้อยไร้คุณค่าเช่นเจ้าสักนิดเดียว!!!”
...ไสหัวไปตายเสียเจ้าสุนัขขี้เรื้อนจวินหลาง!!!...
ถึงจะด่าออกเสียงไม่ได้ แต่หวังลี่จูก็ด่าอีกฝ่ายในใจตามแผ่นหลังกว้างที่เดินตึงตังจากไปปล่อยเท้าบวมช้ำของนางให้มันเจ็บซ้ำซากหนักกว่าเดิมเพราะอีกฝ่ายโยนมันลงพื้นเต็มแรงเมื่อครู่ เขามันช่างเป็นว่าที่สามีแสนประเสริฐเกินไปแล้วจ้าวจวินหลาง!!!