บทที่ 11 หนึ่งในเจ็ดโทษยากจะปล่อยวาง!

3287 คำ
หมิงเยว่กงจู่ทรงกระทำถูกต้องแล้วเพคะที่ทรงตัดสินพระทัยไม่ไป” เป็นจิ่วเซินที่เอ่ยขึ้นให้อีกฝ่ายได้สบายใจเพราะเมื่อครู่เป็นเพียง ‘แผนการ’ ของชินอ๋องที่อยากทดสอบหวังลี่จูเท่านั้นว่าหญิงสาวนั้นจะ ‘หลงกล’ หรือ ‘ติดกับดัก’ เมื่อครู่หรือไม่? ซึ่งหวังลี่จูนั้นก็มีทั้งความฉลาดและเฉลียว อีกทั้งระมัดและระวังตนเองกับน้องสาวไม่น้อยเลยทีเดียว อายุของนางไม่มากแต่เล่ห์เหลี่ยมนับว่าเหมาะสมกับคนเช่นชินอ๋องผู้เป็นนายของนางเสียจริง “แต่ข้ากลัวชินอ๋องจะโมโหเดือดน่ะสิ” หวังลี่เจินยังเป็นห่วงพี่สาว จิ่วเซินแอบถอนหายใจด้วยความสงสารเด็กสาว ไร้เดียงสาถึงเพียงนี้ขาดพี่สาวปกป้องคุ้มครองเกรงว่าไม่ถึงชั่วยามก็จบชีวิตลงภายในวังหลังแห่งนี้เป็นแน่ ในสายตาขององครักษ์สาวจึงมองว่าหลิวไทเฮามองคนพี่นั้นถูกต้องแต่คาดหวังกับคนน้องดูจะผิดไปเสียแล้ว “ถ้าเป็นเขาต้องการพบข้าจริงคนสนิทเช่นกั๋วเจาหรือไม่ก็ซ่งจินย่อมเป็นผู้มาเชิญข้าด้วยตนเอง และจะไม่เชิญไปพบที่ลับตา แต่คนเช่นชินอ๋องจะต้องเชิญข้าไปพบยังตำหนักของเขาแทน ไม่มีวันให้นางกำนัลที่เราไม่เคยพบหน้ามาเชิญเด็ดขาด จงจำไว้ไม่ว่าจะเป็นฝ่าบาท หรือหลิวไทเฮาจนถึงคนสำคัญอื่นใดจะเชิญคนที่เป็นถึงองค์หญิงผู้หนึ่งไปพบจะต้องเป็นคนสนิทเท่านั้นที่จะมาเชิญด้วยตนเอง กับสถานที่จะต้องให้เกียรติมิใช่ลักลอบพบกัน” หญิงสาวไม่เหนื่อยที่จะอธิบายซ้ำซาก เพราะหวังลี่จูคิดว่าตนเองสมควรจะสั่งสอนน้องสาวบ้างแล้วหาไม่ที่ไทเฮาตักเตือนนางว่าตนเองมิอาจปกป้องเด็กสาวได้ตลอดไปนั้นย่อมเป็นจริงเข้าสักวัน เพราะหวังลี่เจินยังใสสะอาดบริสุทธิ์เกินไปไม่เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมคน พลาดไปชีวิตนั้นย่อมจบลงทันใด “อ๋อ...เป็นเช่นนี้นี่เอง” เด็กสาวลากเสียงยาวแล้วหันมาส่งยิ้มจนดวงตาเรียวงดงามนี้แทบปิดเป็นเส้นตรง เพียงเท่านั้นดวงใจของคนเป็นพี่สาวก็อ่อนยวบยาบราวปุยเมฆเสียแล้ว อย่าได้กล่าวเพียงหวังลี่จูที่สยบให้แก่รอยยิ้มพิชิตจอมมารนั้นของหวังลี่เจิน แม้แต่องครักษ์สาวผู้สังหารคนมาจนกายมีแต่กลิ่นคาวโลหิตเช่นจิ่วเซินหรือหรู่หลินเองยังหัวใจไหวสะท้านโดยง่ายกับรอยยิ้มแสนหวานนั้น ...แต่คนเรารูปโฉมงดงามหากแต่เบาปัญญาเกินไปก็อันตรายเช่นกัน... งานเลี้ยงในวันนี้นับว่าเป็นงานเลี้ยงยิ่งใหญ่ของวังหลวงที่สองพี่น้องสกุลหวังนั้นได้เข้าร่วมอย่างจริงจังและเต็มพิธีการ ขุนนางระดับสูงเกินร้อยชีวิตกับเหล่าฮูหยิน และบุตรสาวกับบุตรชายถูกพามาประชันขันแข่ง ซึ่งหวังลี่จูนั้นมองว่าช่างไม่ต่างจากงานเลี้ยงในยุคสมัยที่ตนเองยังเป็น ‘พันแสงดาว’ เลยสักนิด “มาช้า” จะเป็นผู้ใดไปได้หากมิใช่จ้าวจวินหลาง ท่านชินอ๋องปากสุนัขยังอายที่คล้ายกับเขานั้นมายืนรอนางกับน้องสาวอยู่ “ถวายพระพรชินอ๋องเพคะ/ถวายพระพรชินอ๋องเพคะ” ถึงจะไม่ชอบหน้าอีกฝ่ายเช่นไรแต่ในเมื่อต้องเข้า ‘สังคมปั้นหน้า’ หวังลี่จูนั้นก็ทำได้ดีไม่มีติดขัด “ขออภัยที่ต้องทำให้ชินอ๋องเสียเวลาแล้วเพคะ” แน่นอนว่าย่อมเป็นหวังลี่จูที่ไม่กลัวตายเดินเข้าไปย่อกายทำความเคารพอีกฝ่ายไม่พอ นางยังกล้าที่จะกล่าวขออภัยตามมารยาทกับโค้งกายงดงามพลางแย้มยิ้มที่เห็นในยามใดจ้าวจวินหลางก็ดวงใจสั่นไหวดังปฐพีสะเทือนเสียทุกคราไป ต้องยอมรับตามตรงว่าหวังลี่จูนั้นมีรอยยิ้มสยบปฐพีเกินไปจริง ๆ “มาเถอะอย่ามัวเสียเวลา งานเลี้ยงเริ่มแล้ว อีกครู่ฝ่าบาทกับเสด็จแม่คงมาถึง ข้าจะพาพวกเจ้าไปนั่งประจำตำแหน่ง” งานเลี้ยงอย่างเป็นทางการในวังหลวงนี้มีการจัดที่นั่งชัดเจนสำหรับเชื้อพระวงศ์ไปตามลำดับขั้น ดังนั้นบัดนี้นางกับหวังลี่เจินนั้นก็คือเชื้อพระวงศ์ผู้หนึ่งจึงมีที่นั่งเป็นของตนเองเช่นกัน และคงเพราะวันนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองการขึ้นรับตำแหน่งหมิงเยว่และหมิงหวังกงจู่ เป็นบุตรสาวบุญธรรมของหลิวไทเฮาอย่างถูกต้องครบขบวนการแล้วทุกขึ้นตอน ที่นั่งของนางและหวังลี่เจินจึงอยู่รองลงมาจากชินอ๋องโดยมีนางนั่งติดกับเขาแล้วลำดับถัดไปจึงเป็นหวังลี่จู พอพวกนางเดินเข้ามาถึงภายในงานขันทีก็ตะโกนเสียงดังว่าชินอ๋อง กับหมิงเยว่และหมิงหวังกงจู่เสด็จแล้ว เหล่าขุนนางและครอบครัวของพวกเขาต่างลุกขึ้นยืนกับพรึบพรับ บุรุษนั้นต่างโค้งศีรษะ ฝ่ายสตรีนั้นก็ล้วนย่อกายลงแล้วกล่าวถวายพระพรดังเอ็ดอึง มือของหวังลี่เจินนั้นเย็นเฉียบจนนางต้องคอยบีบอยู่ตลอดเวลาเพราะตนเองเป็นพี่สาว อยู่ด้วยกันทั้งอดอยากทุกข์ยากมาด้วยกันถึงสี่ปีย่อมทราบดีว่าเด็กสาวกำลังหวาดกลัวและสับสนเพียงใดกับขุนนางและครอบครัวของพวกเขาเกือบครึ่งพันชีวิตโดยรอบเช่นนี้ “ไม่ต้องกลัวนะเจินเจิน พี่สาวจะดูแลและปกป้องเจ้าอยู่ข้างกายเสมอ” บีบมือเรียวเล็กแนบแน่นพลางก้มลงไปกระซิบปลอบโยนกับให้กำลังใจเด็กสาวที่ยังคง ‘เต้นสนาม’ เพราะความเยาว์วัยไม่พอ หวังลี่เจินอายุเพียงสิบสี่ปีอยู่และเติบโตมาอย่างยาจกยากจนผู้หนึ่ง วันนี้คล้ายพลิกปฐพีจับพลัดจับผลูได้มาเป็น ‘องค์หญิงกำมะลอ’ ย่อมยากจะปรับตัว “ฝ่าบาทและไทเฮาเสด็จ…” พอนางกับหวังลี่จูทรุดกายลงนั่งประจำตำแหน่งที่เป็นชินอ๋องช่วยประคองนางแล้วนางก็จับจูงโอบประคองน้องสาวอีกต่อหนึ่งยังไม่ทันเรียบร้อยดีเพราะชุดที่สวมใส่และเครื่องประดับมากมายของพวกนางทำให้จะเดินและนั่งนั้นแสนลำบากก็จำต้องลุกขึ้นถวายพระพรรับเสด็จหลิวไทเฮาและองค์ฮ่องเต้พร้อมกับพระสนมที่มีมากมายนับสิบชีวิตจนนางแยกตำแหน่งของพวกนางไม่ถูกว่าอยู่ขั้นไหนกันบ้างติดตามฮ่องเต้มาอีกเป็นขบวน …ทรงมีสตรีมากมายเช่นนี้แล้วยังจะต้องการน้องสาวของหม่อมฉันไปประดับบารมีอีกหรือ? ... ภายในใจของหวังลี่จูมุ่งมั่นไปแล้วว่าต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตตนเองก็ยินยอม แต่จะไม่มีวันส่งให้หวังลี่เจินต้องไปเป็น ‘ดอกไม้งาม’ ประดับบารมีของจ้าวจวินข่ายเด็ดขาด หวังลี่เจินสะอาดบริสุทธิ์เกินกว่าจะมาสู้รบต่อกรกับอสรพิษภายในวังหลังแห่งนี้! “ลี่จูถวายพระพรไทเฮา ถวายพระพรฝ่าบาทเพคะ” นางเป็นผู้จดจำทุกพิธีการและทุกธรรมเนียมที่ถูกฝึกฝนมาหลายเดือนได้ดีกว่าหวังลี่เจิน จึงต้องเป็นฝ่ายกระทำนำหน้าให้เด็กสาวได้เห็นแล้วจึงปฏิบัติตามนาง ซึ่งหวังลี่เจินก็เป็นเด็กฉลาดที่กระทำตามได้ไม่ขาดตกหล่นไปสักน้อยจนนางค่อยโล่งใจ “พี่สาว ข้าคิดถึงมันเผากับปลาเผาในลำธารของพวกเราที่สุดเลย” หวังลี่เจินมองอาหารหรูหราและคงเลิศรสมากมายที่ทยอยนำออกมาเสิร์ฟแต่เด็กสาวกลับไม่กล้ากินมันแม้สักคำเดียว เพราะภาพน้ำเปล่าถ้วยนั้นมันยังติดตาและฝังใจนางอยู่ไม่จาง ความหวาดกลัวจึงมีมากล้น หวังลี่จูย่อมสังเกตเห็นอาการดังกล่าวของน้องสาวอยู่ตลอดเวลา การที่ทุกคนดื่มกินแต่หวังลี่เจินนั่งตัวแข็งทื่อไม่ยอมแตะอาหารหรือสุราย่อมเป็นการเสียมารยาท แล้วยังมองได้ว่าเป็นการไม่ให้เกียรติองค์ฮ่องเต้และไทเฮาในสายตาของขุนนางและครอบครัวที่มาร่วมงานเลี้ยงในราตรีนี้อีกด้วย ดังนั้นนางจะต้องแก้ปัญหานี้ไปก่อน “ตะเกียบคู่นั้นส่งมาให้ข้าเถิดเจินเจิน” หากจะให้น้องสาวปลอดภัยนางย่อมจะต้องทดสอบทั้งถ้วย ช้อน ตะเกียบ ไปจนถึงถ้วยไส่น้ำดื่มและจอกสุรา เพราะนางคิดเอาเองว่าคนในเงามืดที่อยากกำจัดย่อมเป็นหวังลี่เจินมากกว่านาง หรือต่อให้มีคนอยากให้นางตาย ตนเองก็ยินดีไม่หวาดกลัว ก็เดินอยู่บนถ่านร้อน มีเพียงต้องก้าวให้มั่นคงและรวดเร็ว มิเช่นนั้นเท้าของนางกับน้องสาวคงได้มอดไหม้จนเกรียมเป็นเถ้าธุลีไปทั้งเรือนกายเสียเป็นแน่ หญิงสาวใช้ตะเกียบและถ้วยของหวังลี่เจินก่อน พอทดสอบแล้วว่าปลอดภัย นางจึงค่อยสลับคืนกลับไป ในราตรีนี้ไม่ว่าจะเป็นอันใดที่ถูกส่งมาหวังลี่จูจะเป็นผู้ชิมก่อนแล้วจึงส่งผ่านให้แก่เด็กสาวด้านข้าง ดังนั้นหวังลี่เจินยิ่งกินกลับยิ่งไม่รู้รสชาติเพราะกินไปก็มีแต่ความหวาดระแวงจะอร่อยไปได้เช่นไร ภาพที่นางกับพี่สาวร่วมกินมันหวานเผา แอบไปจับปลามาเผากับดิน ถึงหาใช่อาหารหรูหราเช่นวันนี้แต่นางกลับรู้สึกว่ามัน ช่างแสนอร่อย เด็กสาวจึงซาบซึ้งวันนี้ว่าหากมีความสุขแม้เพียงข้าวต้มเปล่ากับเกลือหรือเพียงมันหวานเผา มันก็อร่อยเลิศล้ำแล้ว “อิ่มแล้วหรือเจินเจิน มาทางนี้กับไอเจียสักประเดี๋ยวเถิด เจ้าด้วยลี่จู มาด้านนี้สักครู่ มารู้จักองค์ชายเก้าจากเผ่าซีเหลียงสักหน่อยเถิด” หลิวไทเฮาไม่ต้องเอ่ยปากชักชวนแต่คราวนี้กลับเป็นจ้าวจวินหลางเองที่เป็นฝ่ายลุกขึ้นก่อนแล้วส่งมือให้แก่หวังลี่จูได้จับแล้วพยุงกายลุกขึ้นยืน เพราะด้วยสภาพของชุดกับเครื่องประดับนั้นมากมายและหนักอึ้ง ถึงไม่อยากให้เขาช่วย แต่หญิงสาวก็หาใช่นางเอกซีรีส์ที่จะเย่อหยิ่งด้วยสมองลม จึงส่งมือให้อีกฝ่ายจับพยุงลุกขึ้นฝ่ายของหวังลี่เจินนั้นมีจิ่วเซินเป็นผู้ช่วยเหลือ “ขอบพระทัยเพคะ” พอทรงกายได้มั่นคง นางจึงหันไปขอบคุณเขาตามมารยาท ทว่าจ้าวจวินหลางกลับจับมือข้างนั้นของนางไม่ยอมปล่อย ส่วนมืออีกข้างก็ตรงไปจับเอวอรชรของหวังลี่จูเขาไว้ ‘สุนัขหวงก้าง’ ยากจะหลีกหนีพ้นจริง ๆ ...กึก!...แคว่ก! “อุ๊ย!” เพราะชายกระโปรงนั้นยาวราวกับหางปลา ดังนั้นพอก้าวเดินไปได้เพียงครู่เดียวกลับรู้สึกว่าตนเองแทบหงายหลังล้มตึงศีรษะฟาดพื้น หากไร้กายสูงใหญ่ช่วยพยุงเอาไว้นางคงได้ขายหน้าคนร่วมพันแล้วเป็นแน่ เสียงดัง ‘แคว่ก’ บอกได้ว่าชายกระโปรงหรูหรานั้นถูกใครบางคนแกล้งเหยียบเข้าให้เสียแล้ว ที่สำคัญแรงเหยียบนั้นยังกระชากให้ชุดช่วงระหว่างหัวไหล่ทั้งสองข้างขาด ทำให้ร่องหน้าอกอวบอั๋นจึงปรากฏอวดความอวบอัดและอร้าอร่ามล้นหลามจนบังเกิดเสียงอื้ออึง ...ขวับ!...พรึบ!... ยังดีที่จ้าวจวินหลางนั้นเดินเคียงข้างนางอยู่พอดี เขาจึงสะบัดเอาเสื้อคลุมของตนเองมาปกปิดกายส่วนบนของนางเอาไว้ได้ทันไม่ให้นางได้อับอายไปมากกว่าที่เป็นอยู่ หวังลี่จูสูดลมหายใจเข้าปอดลึกล้ำแล้วจึงค่อยปล่อยออกมาทางปากเรียวเนิบช้าอาจเกินสิบครั้ง เรียกสติและขวัญที่เสียไปให้กลับมาคงที่อีกครั้ง แล้วยืนหยัดหันกลับไปดูว่าเป็นผู้ใดบังอาจรังแกฉีกหน้าหมิงเยว่กงจู่เช่นนางโดยไม่ไว้หน้าแม้แต่หลิวไทเฮา “หม่อมฉันสมควรตายเพคะ...ซูฉีสมควรตายยิ่งนัก ขอหมิงเยว่กงจู่ทรงเมตตาด้วยเถิดเพคะ” พระสนมเหลียวซูฉีนี่เอง นางเป็นคนของฮ่องเต้แถมบิดากับพี่ชายยังมีตำแหน่งในราชสำนักไม่ใช่ต่ำต้อยเลย จะมีเรื่องนางต้องดูกำลังตนเองและฝ่ายศัตรู ต่อให้ทราบว่าอีกฝ่าย ‘จงใจ’ แต่การที่พระสนมนางหนึ่งลงไปคุกเข่าทำกายสั่นสะท้านพลางบีบน้ำตานองใบหน้า นางยังจะโต้ตอบรุนแรงผลเสียย่อมมากกว่าดีเป็นแน่ “เล็กน้อย...เล็กน้อย พระสนมเหลียวอย่าได้ทรงคิดมากเลยเพคะ เปิ่นกงจู่มิใช่คนคิดเล็กคิดน้อยลุกขึ้นเถิด” ทั้งที่นางอยากเดินย้อนกลับไปกระชากผมอีกฝ่ายแล้วตบสักหลายฉาดใหญ่ แต่นี่มันสังคมผู้ดี ต้องปั้นหน้ายิ้มแย้มใจดีทั้งที่มีดในมือพร้อมจะจ้วงแทงอีกฝ่ายให้ยับเยินเพียงใดก็ตาม “ขอบพระทัยหมิงเยว่กงจู่ยิ่งนักที่ใจกว้างราวมหาสมุทรเพคะ” เหลียวซูฉีที่เป็นสหายรักของหลวนจิ้งอวี่ ดังนั้นวันนี้สหายรักของนางยากจะลงมือเพราะเป็นแขกผู้ติดตามบิดาเข้าวังมาก็จริง แต่ยากจะเข้าใกล้ทั้งชินอ๋องและหวังลี่จู ทว่านางนั้นอยู่ใกล้ชิด...ใกล้ชิดขนาดที่ว่าสามารถแอบกระชากชายกระโปรงงดงามหรูหรานั้น จนมันขาดอวดโฉมโนมพรรณของหญิงสาวให้แก่สายตาคนร่วมพันได้แลเห็น ซึ่งหากเป็นผู้อื่นลงมือย่อมต้องถูกลงโทษสาหัสเป็นแน่ หากแต่นางคือพระสนมคนโปรดของฮ่องเต้ ตำแหน่งเต๋อเฟยอยู่เพียงเอื้อมมือ ดังนั้นเพียง ‘องค์หญิงกำมะลอ’ เช่นสองพี่น้องสกุลหวังมีหรือที่นางจะไม่กล้า’รังแก’ ฉีกหน้าพวกนางกลางงานเลี้ยงใหญ่โตในวันนี้ “ช้าก่อนพระสนมเหลียว!” เป็นจ้าวจวินหลางที่บัดนี้โอบกอดเรือนกายอรชรเอาไว้โดยมีเสื้อคลุมตัวโตของเขาสวมคลุมทับห่อคนตัวน้อย หากแต่ส่วนเว้าส่วนโค้งกลับอร้าอร่ามงดงามเกินบรรยายซึ่งต่อให้นางและเขานั้นจะมีข้อแลกเปลี่ยนระหว่างกันเป็นเพียงผลประโยชน์ร่วมกันแต่เรื่อง ‘รังแก'นาง มีเพียงเขาเท่านั้นที่จะสามารถรังแกหวังลี่จูได้ ส่วนผู้อื่นบังอาจล่วงเกินนางก็เท่ากับว่าคนผู้นั้นมันหยามเกียรติและกระทืบศักดิ์ศรีของเขาด้วยเช่นกัน! “ฝ่าบาทจวินหลางขอบังอาจแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ใบหน้ากับน้ำเสียงของจ้าวจวินหลางนี้ทั้งกดดันแต่ทรงพลังจนคนรอบกายต่างสัมผัสได้ถึงบรรยากาศแสนจะกดดันนี้ไม่ต่างกันเลย “ชินอ๋องเพคะ”เพียงมองหน้า แลเห็นแววตาพร้อมกับน้ำเสียงเข้มข้น หวังลี่จูก็ทราบแล้วว่าจ้าวจวินหลางนั้นกำลังคิดสิ่งใดอยู่ “การเป็นคนใจกว้างต้องดูหน้า จะเมตตาเจ้าต้องดูจุดประสงค์ของมัน จงจำเอาไว้ อสรพิษเหล่านี้เปิ่นหวางเกรงว่าเจ้าเมตตาหนึ่งครั้งเท่ากับเปิดลำคอให้มันลงดาบเอาชีวิตเจ้าอีกสิบครั้ง” จ้าวจวินหลางเองก็ทราบเช่นกันว่าหวังลี่จูนั้นกำลังคิดสิ่งใด ราตรีนี้งานเลี้ยงจะกล่าวให้ถูกฝ่าบาทกับไทเฮาก็จัดขึ้นเพื่อเปิดตัวของหมิงเยว่และหมิงหวังกงจู่จึงนับว่าวันนี้เป็นงานมงคล หญิงสาวนั้นจึงไม่อยากให้ ‘เปื้อนเลือด' ภายในงาน แต่หากวันนี้เขาไม่แสดงให้พวกงูพิษข้างกายฮ่องเต้นั้นได้เห็นว่าผู้ใดที่พวกมันแตะต้องได้และผู้ใดที่พวกมันสมควรเก็บเขี้ยวเก็บพิษเอาไว้ให้ห่างไกลเสียบ้าง ตำแหน่งหมิงเยว่และหมิงหวังกงจู่ที่ฮ่องเต้กับไทเฮาประทานให้แก่สองพี่น้องจะมีค่าอันใดกันเล่า? “ไม่เห็นแก่หน้าของตนเองก็จงไว้หน้าฝ่าบาทกับไทเฮา กงจู่นี้ยศศักดิ์สูงส่งกว่าพระสนมชั้นไฉเหรินมากมายยิ่งนักเจ้ามิทราบก็จงทราบเอาไว้ วันนี้แม้แต่ไฉเหรินนางหนึ่งยังล่วงเกินเจ้าได้ยังมิต้องกล่าวไปถึงว่าภายภาคหน้าอีกหนึ่งเดือนเจ้าจะแต่งงานกับเปิ่นหวางเลย วันนี้เจ้า ‘ปล่อยงูพิษ' คืนรัง ต่อไปแม้แต่นางกำนัลก็จะเหยียบศีรษะของเจ้าได้...อำนาจมีจงใช้เสีย!” มิคาดว่าตนเองจะถูกอีกฝ่ายก้มลงมา ‘อบรม' กันที่กลางงานเลี้ยงเช่นนี้ บัดนี้แม้แต่หลิวไทเฮายังเดินย้อนกลับมาหานางกับหวังลี่เจินและจวินหลาง ส่วนฮ่องเต้จ้าวจวินข่ายนั้นเขาเพียงนั่งเท้าคางคล้ายรอดูชม ‘งิ้ว' โรงใหญ่ที่กำลังจะแสดงขึ้นอยู่ตรงหน้า ...ช่างดีเสียจริงสตรีของตนเองกำลังจะถูก ‘ลงดาบ' เขากลับรอชม... “ซั่งกวนกงกงบอกหนึ่งในเจ็ดโทษที่มิอาจปล่อยวางได้ให้พระสนมเหลียวฟังสักนิดสิ” ขันทีคนสนิทของฮ่องเต้จ้าวจวินข่ายจึงก้าวออกมายืนด้านหน้าเยื้องไปทางซ้ายมือของฮ่องเต้พลางหันไปมอง ‘ฝ่าบาท' แล้วกระแอมกระไอเล็กน้อยก่อนที่เขาจะตะโกนมากกว่าพูดออกมาเสียงดังว่า... “ข้อที่สี่สร้างความอับอายให้แก่กงจู่ไม่ว่าจะตั้งใจก็ดีไม่ตั้งใจก็ช่าง ให้งดเบี้ยเลี้ยงสามปี กล้อนผมให้หมดศีรษะแล้วส่งไปสำนึกผิดยังตำหนักเย็นจนกว่าฝ่าบาทจะเห็นสมควร นี่คือหนึ่งในเจ็ดโทษที่มิอาจละวางเมินเฉยได้ของพระสนมนับจากชั้นไฉเหรินขึ้นไปพ่ะย่ะค่ะชินอ๋อง” ขันทีนามว่า 'ซั่งกวน' กงกงกล่าวจบเขาก็โค้งกายแล้วถอยกลับไปยืนอยู่ด้านหลังของฮ่องเต้ด้วยกิริยาสงบเสงี่ยมเจียมตัว โดยที่เขานั้นแอบซุกซ่อนสายตาสาแก่ใจเอาไว้ หากทว่าไม่ดีเท่าใดหวังลี่จูจึงยังสังเกตเห็น ทั้งที่ตนเองยืนอยู่ตั้งไกลก็ตาม “มะ...ไม่นะเพคะ!...ชินอ๋องเมตตาด้วย ฝ่าบาท....” กว่าจะทราบว่าเกินกำลังตัวเองเหลียวซูฉีก็ ‘พลาด' ไปเสียแล้ว จ้าวจวินข่ายเพียงขยับมือโบกหนึ่งครั้งนางกำนัลอาวุโสก็กรูกันเข้ามาจับพระสนมเหลียวกดตรึงเอาไว้กับพื้น จากนั้นเครื่องประดับกับอาภรณ์ที่บอกถึงยศพระสนมก็ถูกปลดอย่างว่องไว ขันทีนามว่า ‘ซั่งกวน' เดินมารับเอากรรไกรจากขันทีวัยเยาว์จากนั้นก็เป็นเขาที่ลงมือ ‘กล้อนผม' ของเหลียวซูฉีจนหมดศีรษะ! ...อำมหิตอย่างยิ่ง!!!... “จวินหลางจงพาลี่จูไปเปลี่ยนอาภรณ์ใหม่เสีย ส่วนลี่เจินปล่อยนางเอาไว้กับไอเจียนี่แหละ” ในเมื่อเป็น ‘บัญชา' จากไทเฮา ต่อให้นางห่วงใยหวังลี่เจินเพียงใดก็ยากจะขัดข้องไปได้ จึงจำต้องยอมให้ตนเองถูก ‘แยก' ออกไปเปลี่ยนอาภรณ์แล้วกลับมาร่วมงานเลี้ยงที่เพิ่งเริ่มไปยังไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็ถูกพระสนมนางหนึ่งเกือบทำงาน ‘ล่ม' เสียแล้ว ...แต่นางก็ต้อง ‘จ่าย' แพงใช่น้อยเลยทีเดียว...
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม