สุดท้ายแล้ววันเข้ารับการแต่งตั้งเป็นหมิงเยว่กงจู่และหมิงหวังกงจู่ก็มาถึง ซึ่งแน่นอนว่าหลิวไทเฮาจะรับบุตรสาวบุญธรรมสักครั้งมันต้องยิ่งใหญ่และอลังการงานสร้างอย่างยิ่งอยู่แล้ว ดังนั้นก่อนเริ่มพิธีย่อมมีขบวนเกี้ยวเปิดโล่ง
โดยหวังจะให้ผู้คนชาวบ้านชาวเมืองได้ยลโฉมของหนึ่งหญิงงามกับหนึ่งสาวน้อย ที่อีกไม่เกินสามฤดูหนาวย่อมงดงามล่มบ้านล่มปฐพีไม่แตกต่างจากคนเป็นพี่สาวอย่างแน่นอน ตั้งแต่เช้ามืดหวังให้ขบวนแห่แหนนี้ไปจบสิ้นยังหน้าลานพระราชวังในช่วงปลายยามเฉินซึ่งจะพอดีกับพิธีจะเริ่มในช่วงต้นยามอู่นั่นเอง
“คนเยอะเกินไปแล้วพี่สาว เจินเจินรู้สึกอึดอัดอย่างยิ่งเจ้าค่ะ” เป็นหวังลี่เจินที่หันมาบ่นพึมพำกับผู้เป็นพี่สาวส่วนสองฝ่ามือเรียวเล็กนั้นเย็นเฉียบ หากแต่กลับมากมายเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อกาฬที่ไหลซึมเต็มฝ่ามือของสาวน้อย คาดว่าเด็กสาวคงตื่นเต้นอย่างมาก และคงเต็มไปด้วยหวาดกลัวไม่น้อยกับกับผู้คนที่เข้ามายืนมองมากมายกันอย่างเนืองแน่นจนเต็มสองข้างถนนรอบเมืองไปหมด หวังลี่จูบีบมือของน้องสาวเอาไว้แน่นหวังส่งผ่านกำลังใจไปให้ทางสัมผัสและผ่านทางสายตา
“ไม่ต้องกลัวไป หรือหากหวาดกลัวก็อย่าไปมองพวกเขา คิดเสียว่าเรามานั่งรถม้าชมเมืองก็พอ”
หวังลี่จูเอ่ยบอกกับน้องสาวน้ำเสียงอ่อนโยนคิดปลอบขวัญเด็กสาว ไม่ต้องการให้นางหวาดกลัวสายตาผู้คน ในสมัยยังเป็นดาวพันแสงนั้นเคยผ่านเวทีประกวดการเต้นมาบ้าง ดังนั้นวันนี้ก็ไม่ต่างจากวันนั้น นางต้องคิดเพียงคนที่มาเมียงมองเหล่านี้เป็นเพียงแค่ต้นเสาไร้ชีวิตเท่านั้น นางกับหวังลี่เจินก็จะไม่ประหม่าจนทำพิธีการในวันนี้เสียหายให้หลิวไทเฮาเสียหน้า ฮ่องเต้ผิดหวัง แม่นมจีกับแม่นมเฉิงต้องถูกลงโทษย่อมพอแล้ว
เสียงขบวนแห่นั้นมีฆ้องตีออกหน้าป้ายอักษรมงคลที่เป็นการบอกถึงตำแหน่งของพวกนางสองพี่น้องสีทองตัดกับสีแดงเด่นกระจ่าง เหล่านางกำนัลสาวเดินโปรยปรายดอกไม้มงคลกับลูกอมและขนมมงคลอีกหลายชนิดไปจนถึงเมล็ดพันธุ์พืชที่มีชื่อและมีความหมายมงคล เรียกว่างานนี้ท่านเจ้ากรมพิธีการคง ‘จัดใหญ่’ สร้างผลงานให้หลิวไทเฮากับฮ่องเต้ทรงประทับใจยากจะลืมเลือนเป็นแน่
ชีวิตคนเรานี้ช่างตลกร้ายจนนางเองก็ยังปรับตัวเตรียมใจรับไม่ทัน จากเด็กสาววัยสิบหกซึ่งถูกรถชนตายระหว่างข้ามทางม้าลายกลับกลายมาเป็นยาจกยากจนไร้บ้านไร้ญาติขาดมิตร เมื่อหลายเดือนก่อนยังต้องทำงานหนักตักน้ำผ่าฟืนไปจนถึงขนาดรับล้างลอกสุขาจวนคนรวยพวกนางก็ล้วนทำกันมาจนหมดแล้ว แต่วันนี้ชีวิตกลับพลิกผันจนกลายมาเป็นบุตรสาวบุญธรรมของสตรีอันดับหนึ่งแห่งโยวโจว มีพี่ชายบุญธรรมเป็นถึงฮ่องเต้และชินอ๋อง ได้นั่งเกี้ยวหลังโตเหมาะสมกับตำแหน่ง ‘หมิงเยว่และหมิงหวังกงจู่’ สวมเสื้อผ้าอาภรณ์หรูหรา แม้แต่รองเท้าที่สวมยังปักและถักทอมาจากทองคำบริสุทธิ์ ชีวิตจนเรานี้ที่แน่นอนคือความไม่แน่นอนจริงเสียด้วย ไม่ผิดจากหลักธรรมคำสอนเลยทีเดียว ดังนั้นหวังลี่จูจึงเตือนตนเองภายในใจตลอดเวลาที่นั่งอยู่บนเกี้ยวหลังโตหรูหราจนถูกนางกำนัลและขันทีมากมายมารายล้อมจับจูงพวกนางเดินจากลานหน้าประตูพระราชวังหลวงด้านที่ใต้
พรมสีแดงสะท้อนแสงแดดในช่วงต้นยามอู่จนแสบตาไปหมด อาภรณ์ก็หนาและหนัก เครื่องประดับก็มากมายหวังลี่จูนั้นอดทนได้ แต่หวังลี่เจินนั้นดูทีท่านั้นแทบจะไม่ไหวแล้ว นางจึงหันไปกระซิบให้ขันทีผู้หนึ่งไปนำน้ำเปล่ามาให้น้องสาวตนเองดื่ม โดยที่หญิงสาวเผลอหลงลืมไปว่าสถานที่เช่นวังหลวงนั้นมีแต่ ‘อสรพิษ’ คิดแต่อิจฉาริษยากันไม่มีผู้ใดอยากให้ผู้ใดได้ดี
“เดี๋ยว!” หญิงสาวคิดได้ในช่วงเวลาเกือบจะสายไป หวังลี่จูเร่งปัดถ้วยน้ำเปล่าให้พ้นจากมือของหวังลี่เจินจนมันตกลงพื้น
…เพล้ง!…ซ่า!…ฟู่!…
“ยาพิษ!” หวังหลี่จูดันกายของน้องสาวเอามาไว้ด้านหลัง ทหารองครักษ์ต่างกระชากดาบออกมาแล้วตรงเข้าไปล้อมขันทีผู้ซึ่งเป็นผู้นำถ้วยน้ำดังกล่าวมามอบให้แก่หวังลี่เจินกับมือทันที หากแต่เพียงหวังลี่จูจะร้องบอกว่าให้จับเป็นกลับไม่ทันขยับเรียวปากลูกดอกจากที่สูงก็พุ่งตรงเข้าปักตรงลำคอขันทีหนุ่มน้อยผู้นั้นพลันใบหน้าม่วงคล้ำและน้ำลายฟูมปาก จากนั้นเขาก็ล้มลงกับพื้นขาดใจตายทันที!
“ไม่!/บัดซบ!” สองพี่น้องสกุลหวังหลุดประโยคหนึ่งพร้อมกันคนหนึ่งเสียขวัญ อีกคนโมโหที่มิอาจรักษาพยานปากสำคัญเอาไว้ได้
“ปกป้องกงจู่/ปกป้องกงจู่” เสียงเอ็ดอึงจากทหารองครักษ์ ทำให้หวังลี่จูดึงเอากายอรชรของน้องสาวมาโอบกอดเอาไว้แน่นท่ามกลางองครักษ์มากมาย หญิงสาวกลับไม่เคยวางใจผู้ใด วันนี้น้องสาวของนางเพียงจะขึ้นเป็น ‘องค์หญิง’ ผู้หนึ่งภัยร้ายยังมาเยือน ที่นางตัดสินใจไปนั้นนับว่ามิผิดเลย
…นางลำบากได้แต่หวังลี่เจินจะพบพานภัยร้ายมิได้!...
หวังลี่จูกอดน้องสาวไปพลางพานางวิ่งตรงไปยังจุดที่สามารถจะหลบลูกดอกและธนูอาบยาพิษให้ได้โดยเร็วที่สุดนางรักน้องสาว และเช่นกันนางก็รักชีวิตใหม่นี้ด้วย ไม่มีผู้ใดอยากตาย ในเมื่อแต้มบุญของตนเองมีมากส่งให้นางได้มาเกิดในร่างใหม่ถึงจะข้ามขั้นตอนไม่ต้องเกิดจากเด็กในครรภ์ แต่จะเช่นไรนางเห็นคุณค่าของชีวิตตนเองอยู่ดี
“พี่สาว…” แน่นอนว่าเด็กสาวชาวบ้านนางหนึ่งเช่นหวังลี่เจินนั้นย่อมหวาดกลัวแทบขาดใจกับเหตุการณ์ตรงหน้า โชคยังดีมีพี่สาวคอยปกป้องเคียงข้างนางจึงไม่หมดสติไประหว่างวิ่งหลบหนี
“ไม่เป็นไร เด็กดีไม่เป็นไร พี่สาวจะปกป้องเจ้าเอง”
พอหลบมาอยู่ด้านใต้เวทียกสูงสำหรับพิธีกราบไหว้ฟ้าดินและเทพยดาก่อนขึ้นรับแต่งตั้งตำแหน่งหมิงเยว่และหมิงหวังกงจู่จากหลิวไทเฮาและองค์ฮ่องเต้เป็นลำดับขั้นตอนตามที่ได้ซักซ้อมกันมาเมื่อหลายวันที่ผ่าน หวังลี่จูกอดเรือนกายสั่นสะท้าน
“ข้าหวาดกลัวเหลือเกินพี่สาว เรากลับเขาไห่เหมี่ยวกันเถิด ข้าไม่ต้องการเป็นมันแล้วองค์หญิงหรือสตรีสูงศักดิ์ ข้าอยากเป็นเพียงสาวชาวบ้านปลูกผักเลี้ยงหมู เรากลับวัดกันเถอะ เจินเจินกลัว” เด็กสาวกอดเรือนกายของผู้เป็นพี่สาวแนบแน่นไม่พอยังพร่ำพูดแต่เพียงอยากจะกลับไปอยู่แต่ภายในวัดไห่เหมี่ยวไม่คิดอยากอยู่แล้วภายในวังหลวงหรูหราแห่งนี้เลยสักนิด เพราะนับจากผ่านพ้นเข้าวังวันแรกเด็กสาวก็คิดถึง ‘อาราม’ ดังกับว่าที่แห่งนั้นยังให้ความรู้สึกอบอุ่นราวกับ ‘บ้าน’ อีกหลังของพวกตนมากกว่า ‘วังหลวง’ อันหนาวเหน็บแห่งนี้ราวนรกกับสวรรค์ก็มิปาน
“สถานที่แห่งนี้ช่างน่ากลัวยิ่งนัก นับจากวันแรกข้าก็อยากกลับขึ้นเขาไห่เหมี่ยวทุกลมหายใจ นี่หรือคือการตอบแทนบุญคุณของไทเฮามันเหมือนดึงพวกเราสองพี่น้องมาตอบแทนหนี้ชีวิตกับพวกเขามากกว่า” เด็กสาวรู้สึกเช่นไรนางย่อมกล่าวมันออกมาเช่นนั้น นางรู้สึกว่านี่คือการบีบบังคับมิใช่การตอบแทนบุญคุณดังคำพูดสวยงามที่ฝ่ายหลิวไทเฮาเอ่ยออกมาเลยสักนิด เพราะการตอบแทนที่แท้จริงมิใช่สอบถามพวกนางทั้งสองพี่น้องว่าต้องการสิ่งใดมอบให้ก็จบสิ้นกันแล้ว
“เด็กดีอย่างร้องไห้ อย่าหวาดกลัว สุนัขมันจนตรอกก็ยังสู้เพื่อเอาชีวิตรอด แล้วพวกเราเป็นมนุษย์โดยแท้ อำนาจของราชวงศ์ให้พวกเราหนีไปสุดแผ่นดินจึงพอจะพ้น แต่ในยามนี้พวกเราหนีไม่ได้ จึงจำต้องยืนหยัดและรู้จักเอาชีวิตรอดให้จงได้” กล่าวไปก็คล้ายพวกนางถูกบีบบังคับให้ขึ้นขี่บนหลังพยัคฆ์ครั้นจะลงย่อมยากและต้องระวัง จะเดินสักก้าวจึงต้องคิดแล้วคิดอีก
“อย่ากลัวพี่สาวจะปกป้องเจ้าเอง” หวังลี่จูก้มลงไปจุมพิตซับน้ำตาให้คนเป็นน้องสาวอย่างไม่รังเกียจ มิใช่ว่าตนเองจะไม่หวาดกลัว แต่นางอ่อนแอไม่ได้ นางต้องยืนหยัดเป็นหลักให้แก่หวังลี่เจิน นางล้มแล้วเด็กสาวจะอยู่ภายในวังที่พร้อมจะกลืนกินชีวิตผู้คนแทบทุกผู้แม้ว่าจะเป็นคนโปรดปรานของฮ่องเต้ได้ทุกลมหายใจเช่นนี้ อันตรายล้อมกาย อสรพิษมีทุกซอกทุกมุมภายในสถานที่แห่งนี้นางย่อมทราบดีว่าผู้เป็นน้องสาวซึ่งยังเด็กเกินไปไม่อาจเผชิญหน้าได้ไหว
“ออกมาได้แล้ว”
น้ำเสียงราบเรียบของจ้าวจวินหลางดังอยู่ภายนอก หวังลี่จูหันไปมองก็พบทหารเกราะสีดำล้อมภายใต้ปะรัมพิธีแห่งนี้เอาไว้แน่นหนา นางจึงจุมพิตไปบนหน้าผากนูนเกลี้ยงเกลาของหวังลี่เจินอีกครั้งแล้วกระซิบปลอบโยนเด็กสาวอยู่อีกหลายคำกว่าคนที่เพิ่งเฉียดความตายมาจะขวัญกลับคืนร่างสติกลับคืนเรือนกายอีกครั้ง
“ชินอ๋อง” นางย่อกายทำความเคารพอีกฝ่ายเช่นเดิม หวังลี่เจินเองก็ทำตาม พอพวกนางสองพี่น้องก้าวพ้นออกมาจากใต้ถุนปะรัมพิธีเรียบร้อย จึงพบไท่ไทเฮาและฮ่องเต้ต่างเร่งฝีเท้าตรงเข้ามาหาพวกนาง แต่คราวนี้หวังลี่เจินนั้นมองฮ่องเต้ด้วยสายตาไม่สนิทใจอีกต่อไป ก็นางเป็นเพียงสตรีธรรมดาที่รักชีวิตของตนเอง กลัวตายตามปกติของมนุษย์ผู้หนึ่ง ผู้ใดคือต้นเหตุเด็กสาวมิได้โง่เง่าจนมองไม่ออกเมื่อใด ตรงกันข้ามนางมองออกกระจ่างว่าเมื่อครู่คนฝ่ายในสักนางที่อยากให้พวกนางสองพี่น้องตายจากไปเสียจะได้สิ้นเสี้ยนหนามตำใจของพวกนางทั้งหลาย นี่เพียงเริ่มกับการเป็นเพียงบุตรีบุญธรรมของหลิวไทเฮา หากวันใดนางก้าวขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งสูงส่งเคียงข้างฮ่องเต้ภัยร้ายยังจะมาอีกมากมายเท่าใดกันเล่า?
“เจินเจิน ลี่จูเป็นอย่างไรกันบ้าง” ผู้ถามคือจ้าวจวินข่าย ฮ่องเต้หนุ่มที่หวังลี่จูและหวังลี่เจินมองว่าคือต้นเหตุที่มาของมือสังหารเมื่อครู่ แต่คนที่พุ่งกายเข้ามาจับต้องสำรวจกายของนางทั้งสองพี่น้องกลับเป็นหลิวไทเฮา ใบหน้าของสตรีสูงศักดิ์นั้นก็ขึ้งโกรธไปพร้อมกับมีแววตาที่ห่วงใยพวกนางจากใจจริงผสมปนเปกันไปด้วย เพราะภายในใจของสตรีอันดับหนึ่งแห่งโยวโจวเองก็ใช่ว่าจะไม่รู้สึกผิดที่ดึงดันจะเอาเด็กสาวทั้งสองคนนี้มาเผชิญหน้ากับอันตรายเมื่อครู่นี้โดยแท้
“ลี่จูถวายพระพรไทเฮา ถวายพระพรฝ่าบาทเพคะ/ลี่เจินถวายพระพรไทเฮา ถวายพระพรฝ่าบาทเพคะ” สติกลับมาครบ กิริยางดงามเลยคืนกลับมาพร้อมกัน สองพี่น้องสกุลหวังย่อกายทำความเคารพดังที่ถูกอบรมและฝึกฝนมาอย่างหนักเป็นหลายเดือน
“บาดเจ็บหรือไม่” หลิวไทเฮาลูบคลำไปทั่วกายของหวังลี่จูและหวังลี่เจินด้วยความเป็นห่วงจากใจจริง พระนางบัดนี้ภายในใจก็ถามตนเองว่าที่ตนตัดสินใจทำลงไปนั้นเป็นการทำร้ายเด็กสาวทั้งสองมากมายถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
“พวกเราปลอดภัยดีเพคะไทเฮา ฝ่าบาท” หมอหลวงถูกเรียกมาตรวจดูป้องกันความผิดพลาด แต่สุดท้ายเพราะกำลังของฝ่ายจ้าวจวินหลางนั้นมีมาก พวกมือสังหารเพียงไม่ถึงสองเค่อก็ถูกควบคุมได้ทั้งหมด ดังนั้นพอถึงฤกษ์มงคลที่ถูกกำหนดไว้ สองพี่น้องสกุลหวังกลับสิ้นหวังไปโดยสิ้นเชิงเมื่อบัดนี้พวกนางต้องกลายเป็นหมิงเยว่และหมิงหวังกงจู่โดยสมบูรณ์ทุกทางไม่ว่าจะเป็นพิธีการ กฎหมายแห่งโยวโจววไปจวบจนถึงการหลั่งโลหิตลงบนป้ายบรรพชนของสกุลหลิว
“ไม่เป็นอันใดนะเจินเจิน ชีวิตคนเราต้องเติบโต และมีแต่ต้องก้าวเดินไปข้างหน้าเท่านั้น” ในยามก้าวเดินติดตามหลิวไทเฮาและฮ่องเต้กับชินอ๋องขึ้นไปยืนอยู่บนกำแพงพระราชวังเพื่อให้ชาวเมืองได้ยลโฉมหมิงเยว่และหมิงหวังกงจู่ที่สวมมงกุฎหงส์ประดับด้วยไข่มุก และอัญมณีงดงามประณีตวิจิตรตระการตาเข้าชุดกับอาภรณ์ผ้าไหมเนื้อดีสีแดงตัดด้วยสีทอง
...หงส์เช่นไรก็ยังคงเป็นหงส์ ต่อให้ถูกซุกซ่อนเอาขนของอีกามาปกปิดสุดท้ายบารมีของนางพญาหงส์ก็จะเฉิดฉายออกมาจนได้...
นั่นคือความคิดของหลิวไทเฮา หรือแม้แต่จ้าวจวินหลางกับจ้าวจวินข่ายเองก็อดจะต้องยอมรับเสียมิได้ว่าหวังลี่จูและหวังลี่เจินนั้น บางทีพวกนางคงเพียงไปอาศัยครรภ์ชาวบ้านกำเนิดเพียงเท่านั้น ยิ่งในวันนี้พวกนางอยู่ในอาภรณ์ทรงคุณค่ากับเครื่องประดับเต็มยศ พวกเขาสองพี่น้องที่เติบโตมากับสตรีชั้นสูงและเชื้อพระวงศ์ไปจนถึงองค์หญิงทั้งหลายกลับไม่เคยพบพานว่าสตรีใดสวมมงกุฎหงส์และอาภรณ์ลายนางพญาหงส์แล้วจะเฉิดฉันได้เทียบเท่าสองพี่น้องสกุลหวังคู่นี้เลยสักนางเดียว
...เสด็จแม่ช่างมีสายพระเนตรยาวไกลยากจะมีผู้ใดเทียบเคียงโดยแท้...
เป็นอีกครั้งที่ชินอ๋องหนุ่มและฮ่องเต้ต่างคิดตรงกันราวกับนัด เสียงชื่นชมแซ่ซ้องดังอึงมี่ในยามที่ขันทีของฝ่ายกรมพิธีการออกไปยืนอ่านประกาศแต่งตั้งตำแหน่งของหมิงเยว่และหมิงหวังกงจู่ให้แก่ชาวบ้านได้ทราบและรู้แจ้งว่าดรุณีน้อยทั้งสองนางที่ยืนอยู่ตรงกลางระหว่างฮ่องเต้จ้าวจวินข่ายกับหลิวไทเฮานั้นคือผู้ใด พิธีการต่าง ๆ ในวันนี้ย้ำเตือนแก่หวังลี่จูว่านางกับน้องสาวมาไกลจนยากจะกลับไปอยู่เพียงบนเขาอันสงบเงียบได้แล้วจริง ๆ
“หมิงเยว่กงจู่เพคะ ชินอ๋องทรงต้องการพบพระองค์ ทรงรออยู่ที่ศาลาริมบึงบัวด้านนอกเพคะ” นางกำนัลใบหน้าพริ้มเพราเดินตรงเข้ามาย่อกายตรงหน้า ในระหว่างที่อีกครู่ใหญ่จะเป็นงานเลี้ยงช่วงค่ำซึ่งจัดขึ้นเฉพาะขุนนางขั้นเจ็ดขึ้นไป รวมไปถึงเหล่าเชื้อพระวงศ์กับพระสนมชั้นต่าง ๆ ของฮ่องเต้ หวังลี่จูขมวดคิ้วแน่นด้วยปกติแล้วคนเช่นจ้าวจวินหลางเขาเป็นบุรุษผ่าเผยหาใช่คนที่จะต้องนัดออกไปพูดคุยเพียงลำพัง
“เจ้าจงไปกราบทูลชินอ๋องว่าเปิ่นกงจู่นั้นกำลังจะออกไปที่งานเลี้ยงอยู่แล้ว เช่นไรหากมีธุระสำคัญจริงรออีกครู่พบกันในงานเลี้ยงย่อมพบหน้ามิได้หลบลี้หนีหน้าไปที่ใดเป็นแน่” จิ่วเซินผู้เป็นองครักษ์หญิงข้างกายของหมิงเยว่กงจู่รู้สึกหายใจโล่งอกที่นางยังไม่ทันห้ามปรามสตรีรุ่นน้องผู้นี้กลับมีความเฉลียวใจไม่ยอมตามติดนางกำนัลสาวน้อยคนงามผู้นั้นไป
“พี่สาวตอบไปเช่นนั้นจะดีหรือเจ้าคะ?” อยู่วังหลวงมาหลายเดือนทราบดีคนเช่นว่าที่พี่เขยของนางเป็นบุรุษร้ายกาจเพียงใด ทั้งเย่อหยิ่ง ทั้งเด็ดขาด และเอาแต่ใจ พี่สาวของตนเองไม่ไปตามพระประสงค์ของชินอ๋อง บุรุษผู้นั้นจะไม่โกรธจนใบหน้าเขียวเป็นพระอินทร์หรอกหรือ?
“ชินอ๋องเขาเป็นคนเช่นไร? ....เขาสง่าผ่าเผย หากมีธุระสำคัญจริงย่อมมาพบข้าด้วยตนเองหรือไม่ต้องเป็นองครักษ์คนสนิทผู้ใดผู้หนึ่งไม่ใช่ไหว้วานเพียงนางกำนัลเด็กนางหนึ่งมาเชิญข้าไปพบเช่นเมื่อครู่นี้ เจ้าเองก็เช่นกันจะเป็นหลิวไทเฮา เป็นฝ่าบาทหรือชินอ๋อง จงอย่าวางใจผู้ใดโดยง่ายจงเลือกคนที่จะวางใจด้วยหาไม่ชีวิตของพวกเราจะมิได้พ้นออกไปจากวังหลังแห่งนี้”
หวังลี่จูเอ่ยเตือนน้องสาวในระหว่างที่กำลังถูกนางกำนัลสูงวัยและนางกำนัลรุ่นใหญ่วัยเกินยี่สิบหลายนางรุมล้อมแต่งกายแต่งทรงผมสำหรับออกงานเลี้ยงในราตรีนี้ด้วยน้ำเสียงราบเรียบ จิ่วเซินนั้นยิ่งนับถือความคิดของผู้เป็น ‘นาย’ คนใหม่เช่นหมิงเยว่กงจู่ไปหลายส่วน นางนั้นมิใช่ว่าเพิ่งรับใช้เหล่าเชื้อพระวงศ์สตรีไม่ว่าจะสูงวัยหรืออ่อนเยาว์ ทว่าเพิ่งเคยเห็นหวังลี่จูผู้นี้กระมังที่ดูมากปัญญามิใช่น้อย
ไม่แปลกเลยที่หลิวไทเฮาจะมุ่งหมายอีกฝ่ายเป็นชินหวางเฟยสะใภ้คนเล็กให้จงได้ แล้วนางก็เหลือบสายตาไปมองคนเป็นน้องเช่นหวังลี่เจิน อีกฝ่ายคล้ายดอกโบตั๋นสีขาวสดใสและบริสุทธิ์ หากคิดให้นางเป็นใหญ่เคียงข้างฝ่าบาท อย่างน้อยเด็กสาวผู้นี้จะต้องถูกฝึกฝนอย่างหนักกว่าห้าถึงสิบปีเลยทีเดียว คนมีดวงตาใสซื่อจึงจะพอต่อกรกับอสรพิษทั้งหลายภายในวังหลังแห่งนี้ นางเองก็เป็นสตรี อดจะภาวนาภายในใจเงียบงันเสียมิได้ว่าขออย่าให้เด็กสาวแสนบริสุทธิ์ผู้นี้ต้องมาติดคุกที่เรียกเสียงดงามว่า ‘วังหลัง’ แห่งนี้เลย...