คืนนี้หวังลี่เจินก็นอนหนุนตักพี่สาวของนางฟังเสียงคลื่นสาดซัดกับซอกหินด้วยความสุข โดยมีมือเรียวงดงามของหวังลี่จูคอยลูบไล้ศีรษะเล็กด้วยความรักและห่วงใย หวังลี่เจินยังเด็กและสะอาดบริสุทธิ์เกินไปไม่เหมาะสมกับจ้าวจวินข่ายแม้แต่น้อย นางไม่ใช่ว่าฉลาดอันใดมากมาย แต่ในวังเล่ห์เหลี่ยมมากเพียงใดสองเดือนกว่าหญิงสาวกลับค่อย ๆ ซึมซับเรื่องราวภายในวังอย่างสงบ หลิวไทเฮาวางแผนใดเอาไว้บ้างหวังลี่จูจึงพอจะคาดเดาได้บ้างแล้ว
“พี่สาวข้ารู้นะว่าท่านต้องเสียสละเพื่ออนาคตอันสดใสของข้าเพียงใด” เด็กสาวพึมพำกับตักนุ่มของหวังลี่จู สำหรับนางนั้นนับจากสูญเสียบิดากับมารดาไปแล้วนางหายป่วยหวังลี่จูก็เป็นทั้งพี่สาว เป็นสหาย เป็นมารดา หรือแม้แต่บิดา พี่สาวของนางก็พร้อมจะเป็นให้แก่นาง เด็กสาวแอบเห็นพี่สาวเดินตามชินอ๋องไป นางไม่ได้หูหนวกตาบอดจึงจะไม่ทราบความอันใด ตรงกันข้ามเด็กสาวทราบจุดประสงค์ของหลิวไทเฮาเป็นอย่างดี แต่นางไม่ได้ต้องการจะถูกขังอยู่ในวัง หากทว่านางก็ไม่ต้องการให้พี่สาวต้องเสียสละเพื่อนาง
“ไม่ต้องคิดมากนะเจินเจินทุกสิ่งต้าเจี่ยจะปกป้องเจ้าเอง จะไม่มีวันทอดทิ้งเจ้า เราจะไม่ทอดทิ้งกัน” คนเป็นพี่สาวกล่าวออกไปด้วยความรู้สึกเช่นนั้นจริง นางยังไม่ทราบโชคชะตาของตนเองแต่หนึ่งส่วนคือชะตาฟ้ากำหนด อีกเก้าส่วนคือตนย่อมกำหนดเอง หญิงสาวเป็นผู้เชื่อเช่นนั้นมาถึงสองชีวิตดังนั้นแล้วคราวนี้นางก็จะไม่ยอมให้สวรรค์มากำหนดชะตาชีวิตของหวังลี่เจินเช่นกัน
โดยที่นางอาจหลงลืมไปว่าชะตาชีวิตของตนเองนางยังอยากขีดเขียนด้วยตนเอง นางต่อต้านไทเฮานั้นไม่พอนางยังคิดขัดขวางฮ่องเต้อีก แต่ชะตาคู่ครองมันยากจะสะบั้นด้ายแดงกันได้โดยง่าย
ทว่าหญิงสาวมัวแต่คิดห่วงใย ดวงใจนั้นมีแต่เพียงความคิดแค่ในมุมของนางแต่เพียงผู้เดียว ไม่ได้มองต่างมุมหรือในมุมมองของคนที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวประสบการณ์มากดังหลิวไทเฮา แต่จะโทษหวังลี่จูก็คงไม่ได้ นางผ่านมาสองชีวิตอายุนั้นก็เพียงยี่สิบเอ็ดปี ประสบการณ์ชีวิตยังไม่กล้าแกร่งกล้ามากพอ ถึงตลอดสี่ปีนางจะลำบากมามากและคิดว่าตนเองฉลาดมากพอแล้ว แต่คนเราบางทีสิ่งที่เห็นเพียงมุมมองเดียวไม่เปิดใจให้กว้างจากคนฉลาดอาจโง่เขลาลงเพียงพลิกฝ่ามือเลยก็เป็นไปได้
วันรุ่งขึ้นหลิวไทเฮาก็จะจัดการชักชวนสองพี่น้องกุลหวังไปกราบไหว้ขอพรพระยังยอดเขาเหมี่ยวจางตามนิสัยชอบทำบุญไหว้พระขอพรของพระนาง ซึ่งแน่นอนว่าสองพี่น้องฮ่องเต้กับชินอ๋องย่อมติดตามไปด้วย แต่สองสาวสกุลหวังนั้นก็มิได้อึดอัดอันใดเพราะพวกนางนั้นตามติดก็แค่เพียงหลิวไทเฮาเท่านั้น
“ไปเขียนกระดาษขอพรกันพี่สาว” มือเล็กดึงมือของพี่สาวตรงไปยังต้นโพธิ์ขนาดใหญ่ โดยที่รอบต้นโพธิ์นั้นมีแต่กระดาษสีแดงเขียนด้วยน้ำหมึกสีดำถูกปิดติดแน่นคล้ายกับในประเทศไทยยุคที่หญิงสาวตายจากมาไม่มีผิด
“ไหนพี่สาวเขียนว่าอะไร” หวังลี่เจิน ชะโงกหน้าไปมองกระดาษในมือของหวังลี่จูแล้วก็ยิ้มหวานทันใด ด้วยพรที่ขอนั้นก็คือขอให้นางมีความสุขสมหวังและไร้โรคภัยใดเข้าเบียดเบียน ซึ่งไม่ต่างจากสาวน้อยเลยที่เขียนขอพรให้ฝ่ายของพี่สาวของนางพบพานแต่ความสุขสมหวังดังใจมุ่งหมายและมีสุขภาพแข็งแรงตลอดไป
“พวกนางดูเป็นพี่น้องที่รักกันมากทีเดียว” จ้าวจวินข่ายนั้นจับจ้องภาพน่ารักสดใสของหวังลี่จูและหวังลี่เจินด้วยสายตาเอ็นดู เขามีน้องสาวต่างมารดา แต่พวกนางล้วนเคร่งครัดธรรมเนียมไร้ความเป็นธรรมชาติดังสองพี่สองคู่นี้
“เพียงเด็กสาวชาวบ้านทั่วไปมีอันใดน่าสนใจ” จ้าวจวินหลางกล่าวเสียงเรียบกอดอกมองคนที่จะมาเป็น ‘พระชายาเอก’ ของตนเองนิ่ง ไม่อยากจะยอมรับกับตนเองเลยว่าในยามนางแย้มยิ้มนั้นงดงามจนเขาหวงแหน ไม่ต้องการให้นางยิ้มเช่นนั้นให้ผู้อื่น สตรีหน้าตาธรรมดา ๆ ไฉนเลยกลับมีรอยยิ้มงดงามจนพานทำให้จิตใจบุรุษเช่นเขานึกหวงแหนไปได้
“เจ้าอย่าไปวัดน้ำใจคนที่ฐานะสิอาหลาง จงวัดกันที่ความดีและความเก่งกาจของพวกนาง หวังลี่จูคือพี่สาวที่ดีดังนั้นในวันที่นางเป็นภรรยาและมารดาจะต้องยอดเยี่ยมแน่นอน ข้าเชื่อเช่นนั้น” สายตาคมเข้มมองฮ่องเต้หนุ่มที่กำลังจับจ้องไปยังคนซึ่งจะมาเป็นน้องสะใภ้ด้วยสายตาชื่นชม เห็นแล้วจ้าวจวินหลางไม่ชอบใจสักนิดเดียว
แต่พอมองเห็นสายตาของบุรุษอื่นจับจ้องไปที่นาง มิทราบได้ว่าเป็นไปด้วยเหตุใดหัวใจมันคันยุบยับราวกับมีมดคันไฟทั้งรังใหญ่บุกเข้ามารุมกัดกินเนื้อภายในหัวใจ ซ้ำใบหูนั้นก็พลันร้อนราวกับมีไฟกำลังจะพวยพุ่งออกมาได้อย่างไรอย่างนั้น แล้วกว่าชินอ๋องหนุ่มจะทราบว่าตนเองนั้นก้าวเดินตรงองอาจผึ่งผายไปยืนทะมึนอยู่ด้านหลังของว่าที่พระชายาเอกของตน แล้วยังไปแผ่ขยายกลิ่นอายอำมหิตข่มขวัญหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ตลอดจนแก่เฒ่าเพียงใดเขาก็ไม่มีละเว้นทั้งสิ้น!
“ไยจึงอึดอัดแปลก ๆ เจ้าว่าไหมเจินเจิน” หวังลี่จูผู้ไม่ทราบว่าบัดนี้มี ‘สุนัขป่า’ หวงก้างนั้นมายืนซ้อนประกาศก้องถึงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของเด่นเป็นสง่าอยู่ด้านหลังของตนเองได้ครู่หนึ่งแล้ว
“ข้างหลังเจ้าค่ะ…”
หวังลี่เจินส่งสายตาไปทางด้านหลังของพี่สาวแล้วขยับเข้าไปกระซิบกระซาบข้างใบหูของพี่สาวย้ำไปอย่างระมัดระวัง ก็ว่าที่พี่เขยของนางนั้นหน้าตาอำมหิตยิ่งนัก ผู้ใดมันจะไม่หวาดกลัวกันบ้าง มาวัดวาอารามโดยแท้หน้าตาก็ดูหล่อเหลาดีพอจะสมกับพี่สาวของนางอยู่บ้าง แต่ทำสีหน้าตึงกว่าหนังกลองเช่นนี้มันก็เกินไปเสียหน่อยหรือไม่
“ข้างหลังข้ามีอันใดหรือ!?” หวังลี่จูถามออกไปพลางก็อดใจจะไม่หันไปมองด้านหลังไม่ไหวจริง ๆ แล้วนางก็เจอเข้ากับความตึงแน่นของหน้าอกแกร่งกำยำก่อนเป็นอันดับแรก สีอาภรณ์ดำทะมึนอันคุ้นตาทั้งที่มาอารามกราบไหว้ขอพรพระแตกต่างจากชาวบ้านชาวเมืองเช่นนี้นางย่อมทราบได้ทันทีว่าเป็นผู้ใด
“ชินอ๋อง ท่านก็ต้องการจะขอพรหรือเพคะ?” คนไม่ทราบความอันใดนางเพียงทราบแค่ว่าตนเองอึดอัดเท่านั้นหันไปถามพลางก็ขยับหลีกทางให้อีกฝ่ายอย่างใจกว้าง พอเขายังยืนหน้าเขียวเป็นพระอินทร์นางจึงยิ้มแย้มให้อย่างไม่อยากมีปัญหาด้วย นางจึงยิ้มนำทัพไปก่อน ก็อดีตนางเป็นสาวไทยคนเมืองยิ้มจะกลัวหรือเกลียดนางมีแต่ต้องยิ้มเอาไว้เท่านั้น
“ยิ้มอันใดนักหนา เกิดมาเจ้าไม่เคยยิ้มหรือไร หุบปากไปเลย”
…เอ๊าอีชินอ๋องวัยทองเอ๊ย!…หาก
นางแค่ยิ้มก็ผิดเสียอย่างนั้น ตกลงเขาวัยทองจริงใช่หรือไม่ หรือเมื่อคืนเขานอนตกหมอนเลยบอกบุญก็ไม่รับเช่นนี้ ไม่เสียสติก็ต้องเป็นบ้าเป็นบอไปแล้วเป็นแน่ เอ๊ะ!? …เสียสติกับ ‘บ้า’ มันก็ความหมายเดียวกันมิใช่หรือ? …
“หม่อมฉันยิ้มก็มิได้ไปหยิบยืมปากของชินอ๋องมายิ้มนะเพคะ” หวังลี่จูนั้นเอ่ยปากไปก็กัดฟันเน้นคำไปเต็มไปด้วยความไม่พึงใจอย่างยิ่งเพราะที่ยิ้มก็ปากของนาง หากคนตรงหน้าไม่ใช่ชินอ๋องนาง นางคงได้ ‘จัดใหญ่’ ด่าทอไปแล้วว่าตนเองไปยืนยิ้มบนศีรษะเขาหรือไร แต่นี่อีกฝ่ายเป็น ‘ชินอ๋อง’ ส่วนนางเป็นเพียงเด็กกำพร้าอาศัยหลังคาพระอารามคุ้มหัวจะไปบังอาจกับอีกฝ่ายย่อมโง่ไม่ธรรมดาแล้วเป็นแน่
“ก็เพราะมิใช่ยืมปากของข้าไปยิ้มอย่างไรเล่า ข้าจึงห้ามมิให้เจ้ายิ้ม สตรีอัปลักษณ์เช่นเจ้ายิ่งยิ้มยิ่งน่ารังเกียจ” หวังลี่จูนั้นโกรธจนศีรษะร้อนไปหมด อยากกระโดดถีบขาคู่ใส่อีกฝ่ายอย่างยิ่งแต่ต้องอดทนและอดทน นับหนึ่งจนจะถึงหมื่นอยู่แล้วแต่ไอ้อาการ ‘หัวร้อน’ กลับไม่บรรเทาเบาบางลงมาเลยแม้แต่น้อย กัดฟันจนแทบหักส่วนมือเล็กนั้นก็กำหมัดแน่น ท่องเพียงในใจว่านางจะต่อยชินอ๋องจนฟังร่วงมิได้!
“ขอบพระทัยชินอ๋องที่ทรงห่วงใยนะเพคะ” ส่วนภายในใจนั้นกล่าวต่อไปอีกหลายประโยคเช่น ‘แต่คราวหลังไม่ต้องมาขายเผือกแถวนี้นะเพคะ’ หากแต่ก็ไม่ได้พูดแล้วก็เลิกยิ้มไปเลยเพราะอารมณ์มันขุ่นมัวคาดว่าบุญที่ตั้งใจมาเอาคงได้บาปกลับตำหนักแล้วเป็นแน่!
“เจินเจินเราไปทางด้านนั้นกันเถอะ” หญิงสาวหันไปจับข้อมือของหวังลี่เจินพาเดินไปอีกทาง แต่กลับมีเงาดำทะมึนของ ‘ปีศาจสุนัขป่า’ ติดตามไปทุกที่ ภายในใจของหวังลี่จูจึงคิดว่าวันนี้มารช่างผจญนางเสียจริง ซึ่งมารดังกล่าวมีเป็นตัวเป็นตน นางเดินไปทิศทางใดเจ้าจอมมารชั่วมันก็ไม่ปล่อยมือจากนางเลย นี่ราหูเข้าพระเสาร์แทรกนางเข้าแล้วเป็นแน่
...อวสานการทำบุญโดยแท้...
และแล้วก็หมดเวลาท่องเที่ยวสนุก ต้องกลับเข้าวังหลวงไปทำหน้าที่ของแต่ละคน ฮ่องเต้ก็มีงานราชการรอมากมาย ตัวของชินอ๋องเองเขาก็มีงานในมือของเขาเช่นกัน พวกนางสองพี่น้องเองนั้นก็มีงานมากล้นเช่นกัน ไหนจะซักซ้อมก่อนพิธีจริง ไม่ให้บังเกิดความผิดพลาดให้ได้ขายหน้าขุนนางใหญ่ทั้งหลาย ไหนจะต้องขัดผิวพรรณ อาบน้ำแร่แช่น้ำนมและสมุนไพรอีกด้วย โดยมีหลิวไทเฮาเป็นผู้ควบคุมดูแลทุกขั้นตอนมิได้ขาดไป หวังลี่จูนั้นเติบโตแล้วนางย่อมมากความอดทน แต่หวังลี่เจินนั้นยังเด็กอายุเพียงสิบสี่ปีย่อมยากจะไม่ปริปากบ่น แต่บ่นไปก็เท่านั้นเนื่องจากพิธีใกล้เข้ามาทุกวันหลิวไทเฮาจึงต้องเข้มงวดกับเด็กสาวและหญิงสาวให้มาก
“พี่สาว เจินเจินเหนื่อยจังเลย เหนื่อยกว่าตักน้ำผ่าฟืนเสียอีก” กล่าวไปเด็กสาวนั้นก็ถาโถมกายเข้าไปซุกซบกอดคนเป็นพี่สาวด้วยดวงตาแดงระเรื่อ หวังลี่จูเห็นแล้วแสนจะปวดใจ
“ลี่จู ตามไปพบข้าที่ห้องสักหน่อย” หลิวไทเฮานั้นอายุมากแล้ว เติบโตมาก่อนเลี้ยงลูกมาเป็นใหญ่เป็นโตถึงสองคน พระนางจะมองไม่ออกได้อย่างไรว่าหวังลี่จูนั้นเลี้ยงน้องสาวเช่นไร ตามใจอุ้มโอ๋หวังลี่เจินมากยิ่งกว่ามารดาบิดาเสียอีก บัดนี้หวังลี่เจินสิบสี่ปีแล้ว อีกหนึ่งฤดูหนาวนางก็จะเข้าพิธีปักปิ่นพร้อมออกเรือน แต่หวังลี่จูนั้นเลี้ยงดูน้องสาวราวกับนางจะไม่แยกจากคนเป็นน้องไปตลอดชีวิต
“นั่งลงก่อน ข้ามีเรื่องจะพูดคุยกับเจ้านั้นนานสักหน่อยน่ะลี่จู” หวังลี่จูไม่เคยเห็นว่าหลิวไทเฮานั้นจะมีสีหน้าจริงจังกับนางในยามจะพูดคุยกันถึงเพียงนี้มาก่อนเลย
“ลี่จูข้าทราบดีว่าเจ้ารักเจินเจินมาก แต่ยิ่งเจ้ารักนางมาก เจ้าต้องเลี้ยงดูนางให้เติบโตไปตามวัย มิใช่ดูแลนางดังเด็กน้อยไม่รู้วันเวลาเติบโตเช่นนี้” หวังลี่จูมิคาดว่าหลิวไทเฮานั้นจะเรียกนางมาพูดคุยกันด้วยเรื่องการเลี้ยงดูน้องสาวเช่นนี้
“คนเราต้องเติบโต เจ้าเองก็ต้องแก่ตัวลง เกิด แก่ เจ็บ และตายคือธรรมชาติชีวิตของคนทั่วไป เจ้าไม่ยอมปล่อยมือให้เจินเจินเติบโต หากวันหนึ่งเจ้าตายจากไป น้องสาวของเจ้านางจะอยู่อย่างไร นางสิบสี่ปีแล้ว อีกหนึ่งฤดูหนาวก็จะเข้าพิธีปักปิ่นนั่นเป็นความหมายว่าเจินเจินนั้นเติบโตพร้อมจะออกเรือนมีสามี มีครอบครัวเป็นของตนเองเช่นกัน”
หวังลี่จูก้มหน้าลงมองมือของตนเองที่วางกุมทับเอาไว้บนตัก ส่วนภายในใจนางก็คิดตามไปด้วย ก็พบว่ามันจริงทุกคำตักเตือนที่หลิวไทเฮานั้นกล่าวมา
“เจ้าเองก็ต้องแต่งงานมีครอบครัว เจินเจินก็เช่นเดียวกัน นางก็ต้องมีครอบครัว เจ้ารักน้องข้าเข้าใจ แต่รักอย่างไรจึงไม่รังแกเจินเจินในภายหลังนั่นต่างหากจึงสมควร” คำตักเตือนนั้นดังก้องอยู่ภายในหัวใจของหญิงสาวจวบจนเข้านอน หญิงสาวมองน้องสาวที่เติบโตจนสิบสี่ปี แต่ยังชอบนอนหนุนตักให้นางลูบเส้นผมจนหลับไปมาตลอดสี่ปีที่ผ่านมา
...นี่นางเลี้ยงน้องเข้าตำราพ่อแม่รังแกฉันเช่นนั้นหรือ? ...
หวังลี่จูจับให้น้องสาวนอนในท่าทางที่อีกฝ่ายจะหลับสบาย จากนั้นหญิงสาวจึงเดินออกไปนั่งยังเก้าอี้ที่ริมบ่อปลาสวยงาม ใช้ความคิดทบทวนว่าตลอดสี่ปีที่นางนั้นข้ามภพมาอยู่ในร่างของหวังลี่จู ความรู้สึกเดียวนับจากลืมตาตื่นขึ้นมาก็คือต้องการปกป้องเด็กหญิงวัยเพียงสิบขวบปีตัวผ่ายผอมหน้าตามอมแมม แต่แววตาคู่นั้นกลับมองตรงมาด้วยความดีใจเต็มเปี่ยมเมื่อเห็นนางฟื้นขึ้นมาจากความตาย
มันฝังแน่นในดวงใจของนางนับจากวันนั้นว่าตนเองเกิดมาในชีวิตใหม่นี้สวรรค์คงจงใจส่งนางมาดูแลเด็กหญิงผู้นี้ ดังนั้นหญิงสาวจึงคิดแค่เพียงตนเองจะต้องเลี้ยงดูและปกป้องหวังลี่เจินให้ดีที่สุด แต่พอวันนี้ตนเองถูกหลิวไทเฮาเรียกไป ‘อบรม’ มาเสียครึ่งชั่วยาม สติของหญิงสาวจึงเริ่มกลับมาแล้วย้อนถามตนเองซ้ำไปซ้ำมาว่าที่แท้ตลอดมานางเลี้ยงดูหวังลี่เจินผิดไปเช่นนั้นหรือ?
นึกย้อนไปในอดีตชาติเก่าในคราวที่ยังเป็น ‘ดาวพันแสง วลารี’ เด็กสาววัยสิบหกปีคนหนึ่งที่เติบโตมาในครอบครัวขนาดกลางแต่กำพร้าบิดากับมารดาไปนับจากวัยหกขวบ นางเติบโตมากับน้าสาวกับน้าเขยแน่นอนว่าทั้งสองเขาต้องดูแลและรักลูกแท้ ๆ ของตนเองก่อนที่จะรักและดูแลนางที่เป็นเพียงหลานสาวอยู่แล้ว
ดังนั้นพอในวันที่ตนเองฟื้นขึ้นมาเป็นหวังลี่จูพบกับหวังลี่เจินที่เป็นญาติและครอบครัวของนางเพียงหนึ่งเดียวนั้น หัวอกหัวใจของนางมันจึงคิดย้อนไปในวันที่ดาวพันแสงนั้นโดดเดี่ยวเดียวดาย เติบโตขึ้นมาถึงไม่ใช่ตัวคนเดียวแต่ก็เหมือนตัวคนเดียวในเมืองหลวง ดังนั้นนางจึงพยายามเลี้ยงดูหวังลี่เจินอย่างดีที่สุด
แต่วันนี้สติของนางถูกเรียกคืนจากหลิวไทเฮาจนหวังลี่จูในค่ำคืนนี้ถึงกับนอนไม่หลับเลยทีเดียว หากรวมอายุจริงสองชีวิตนางก็เพิ่งจะยี่สิบปี ย่อมมีแน่นอนกับความคิดแบบเด็กคนหนึ่งที่ยังมองโลกเพียงมุมเดียว หากเป็นสีนั้นนางก็มองเห็นเพียงจะดำก็ดำสนิทจะขาวก็ต้องขาวบริสุทธิ์ ไม่ได้มองอย่างเป็นกลาง มองอย่างความเป็นจริงของโลกมนุษย์ที่ว่าบางครั้งมันต้องมองให้เป็นสีเทาบ้าง จะสีเทาอ่อนหรือสีเทาเข้มจึงค่อยว่ากันอีกที
“ลี่จู เป็นเจ้านี่เอง ดึกแล้วยังไม่นอนอีกหรือ” จ้าวจวินข่ายที่เดินผ่านยังหน้าตำหนักหลังน้อยแห่งนี้ที่หลิวไทเฮาเลือกให้แก่สองพี่น้องสกุลหวังได้อยู่ร่วมกันก่อนที่หวังลี่จูจะแต่งงานออกไปกับจ้าวจวินหลาง เพื่อจะไปตำยังตำหนักของพระสนมซูพร้อมขันทีอีกสามคนต้องหยุดมองแล้วร้องทักทายว่าที่น้องสะใภ้ด้วยความแปลกใจ ที่นี่ก็ดึกพอสมควรแต่หวังลี่จูยังนั่งอยู่เพียงลำพังข้างบ่อปลาสวยงามเช่นนี้
“ลี่จูถวายพระพรฝ่าบาทเพคะ” พอได้ยินเสียงทักทายหญิงสาวก็หันกลับมาจากบ่อปลามองเงาสะท้อนของดวงจันทราแล้วก็ต้องตกใจที่พบกับฮ่องเต้หนุ่มมายืนอยู่ตรงกลางโดยมีขันทีหนุ่มสองคนถือโคมไฟนำหน้า มีขันทีอาวุโสเดินตามหลังกับองครักษ์อีกหนึ่งคนหญิงสาวจึงเร่งลุกขึ้นทำความเคารพทันที
“เหตุใดจึงยังไม่เข้านอน แล้วนี่บุตรสาวของเจ้านางหลับไปแล้วกระมัง เจ้าจึงมานั่งชมจันทราเพียงผู้เดียวเช่นนี้” คำถามของจ้าวจวินข่ายทำเอาหวังลี่จูถึงกับสะอึก นี่ตลอดเวลาคนทั่วไปมองนางกับน้องสาวอย่างไรกันเล่า?
“เพคะ ลี่เจินนอนหลับไปแล้ว นี่ก็ดึกแล้วเช่นไรลี่จูเองก็คงต้องขอตัวเข้านอนเช่นกัน ทูลลาเพคะ” นางไม่ใช่คนไร้เดียงสาจนไม่ทราบว่าฮ่องเต้เสด็จมายังวังหลังแห่งนี้นั้นเพื่อการใด ด้วยมารยาทอันดี คนเขาจะไปหาความสุข นางเองก็ไม่อยากเป็นคนบาปไปขวางความสุขกายของชาวบ้านจึงต้องเร่งหลีกทางโดยด่วน
...เฮ้อ!” ...
หญิงสาวถอนหายใจอย่างหนักอกเป็นที่สุดที่หลิวไทเฮาเรียกนางไปตักเตือน ถึงนางไม่ได้เฉลียวฉลาดทันคนไปเสียหมดแต่ความหมายที่สตรีสูงศักดิ์นั้นพยายามจะเตือนนางทางอ้อมว่าอีกหนึ่งฤดูหนาวหวังลี่เจินก็ ‘พร้อมใช้งาน’ นางที่เป็นพี่สาวไม่ควรขัดขวางมีแต่สมควรต้องช่วยสนับสนุน แต่...
...นางก็เห็นแล้วเมื่อครู่ว่าฮ่องเต้มีสตรีมากมายเพียงใด ใจของคนเป็นพี่สาวยอมรับน้องเขยเช่นนี้ไม่ไหวจริง ๆ ...