เมื่อนางคิดได้เช่นนั้น หวังลี่จูก็ย่อมจะต้องหาโอกาสไปเจรจากับจ้าวจวินหลางให้จงได้ และต้องเร็วที่สุดก่อนที่จะกลับเมืองหลวงในอีกสิบกว่าวันข้างหน้านี้อีกด้วย เพราะพิธีรับนางกับหวังลี่เจินเป็นบุตรสาวบุญธรรมของไทเฮานั้นใกล้เข้ามาแล้ว ก่อนที่อีกหนึ่งเดือนต่อจากนั้นก็จะเป็นงานแต่งงานระหว่างนางกับชินอ๋องจ้าวจวินหลาง
“ชินอ๋องขอลี่จูรบกวนสักครู่จะได้หรือไม่เพคะ” หญิงสาวก้าวเข้าไปย่อกายทำความเคารพจ้าวจวินหลางเมื่อเห็นเขาเดินเลี้ยวเตรียมจะตรงไปยังชายทะเลในยามใกล้ค่ำเช่นนี้ หากอยากได้ลูกสุนัขป่านางก็ต้องก้าวเข้าไปหารังของฝ่ายตรงข้ามเสียก่อน
ซึ่งจ้าวจวินหลางเองก็หรี่ดวงตาแคบลงครึ่งหนึ่งบดบังร่องรอยสงสัยจากอีกฝ่ายเอาไว้ด้วยความระแวดระวัง ไม่รู้เขารู้สึกหรือคิดมากไปเองหรือไม่ แต่หวังลี่จูในวันวานเมื่อสองเดือนก่อนกับหวังลี่จูที่ใกล้กำลังจะกลายเป็น ‘หลิวลี่จู’ หรือหมิงเยว่กงจู่ในอีกสิบกว่าวันข้างหน้านั้นคล้ายกับเปลี่ยนไปมาก หนึ่งนางสุขุมขึ้น สองนางดูมั่นใจในตนเองมากขึ้น และสาม นางดูฉลาดเฉลียวเท่าทันความคิดของผู้คนรอบกายมากขึ้น นางไม่ใช่หญิงสาวที่พร้อมจะวิ่งหนีเกี้ยวเจ้าสาวอีกแล้ว
“เอาสิ เดินกันไปคุยกันไปย่อมได้” กล่าวแล้วเรือนกายสูงใหญ่ของชินอ๋องหนุ่มก็เดินเอื่อยเฉื่อยรับสายลมของทะเล ได้กลิ่นเค็มและคาวลอยมากับสายลมบอกให้ทราบถึงบรรยากาศริมชายหาดที่มีทรายสีขาวสะอาดและละเอียดนุ่มเท้าจนหวังลี่จูอยากเปลือยเท้าเดินเลยทีเดียว หากทว่าหญิงสาวนั้นทราบดี แผ่นดินโยวโจวไม่อนุญาตให้สตรีเปิดเปลือยเท้าต่อหน้าบุรุษทั่วไปจึงจำใจต้องเดินตามกายแกร่งทั้งที่นางนั้นยังคงสวมรองเท้าผ้าไหมเนื้อดีติดเท้ามาด้วย หาใช่รองเท้าเช่นของบุรุษดังที่จ้าวจวินหลางสวมใส่อยู่ ดังนั้นในยามที่ตนเองเดินย่ำไป เม็ดทรายนั้นจึงเข้าไปภายในรองเท้าคู่งามของนางจนบังเกิดความระคายเท้าอย่างยิ่ง แต่เพราะมีแผนการใหญ่จะต้องเจรจาต่อรองเจ็บเพียงเท่านี้หญิงสาวจึงไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย
ด้วยเท้าเรียวเล็กกับช่วงขาที่สั้นกว่าอีกฝ่ายมาก ดังนั้นในขณะที่จ้าวจวินหลางเดินเนิบนาบชมจันทราที่เพิ่งโผล่พ้นตรงโค้งทะเล แต่หวังลี่จูนั้นต้องเร่งก้าวเท้าให้เร็วขึ้นเป็นอีกสามเท่าตัวเลยทีเดียว พอเร่งเดินมากขึ้นหญิงสาวก็หอบยิ่งกว่าวิ่งขึ้นภูเขาเสียอีก
“ข้ารอฟังอยู่นะหมิงเยว่กงจู่” แน่นอนว่าหวังลี่จูทราบดีว่าตนเองถูกอีกฝ่าย ‘แดกดัน’ กันซึ่งหน้า เนื่องจากความหมายของ ‘หมิงเยว่กงจู่’ นั้นแปลได้ความว่า ‘องค์หญิงผู้งดงามและสว่างไสวราวดวงจันทร์’ นั้นเอง นางย่อมทราบดีถึงความงดงามของตนเองนั้นมิอาจเทียบได้กับคุณหนูหลวนคนรองผู้นั้น แต่นามเหล่านี้นางเลือกเองหรือไร
“คือ…แฮ่ก…แฮ่ก…มะ…หม่อมฉันคิดว่า…คิดว่าเราหยุดเดินแล้วคุยกันด้วยดีเถิดเพคะชินอ๋อง” อยากด่าอีกฝ่ายอยู่มากแต่ฐานะไม่อำนวยเก็บปากเก็บชีวิตตัวเองเอาไว้ย่อมดีกว่า
…โป๊ก!...ตุ๊บ!...
พอนึกจะหยุดอีชินอ๋องตัวโตเท่าควายป่าก็หยุดเท้าลงทันทีโดยไม่เปิดสัญญาณเตือน หวังลี่จูที่เดินตามมาไม่ทันได้ตั้งตัว เรือนร่างบอบบางเลยชนโครมเข้ากับแผ่นหลังขวาง เช่นนั้นหน้าผากกับปลายจมูกมันล้ำหน้าชนเข้าไปก่อน แต่แทนที่จะเป็นคนถูกชนสะท้านสะเทือนแต่ดันเป็นตัวของนางเองที่กระเด็นถอยหลังล้มตุ๊บลงไปกับพื้น เจ็บจนน้ำตาคลอเบ้านั่งพับเพียบเรียบร้อยกับพื้นทรายเห็นดวงดาวมาลอยคว้างรอบศีรษะไปหมด
“โง่เขลาสิ้นดี!”
นอกจากไม่ช่วยฉุดมือให้นางลุกขึ้นไปยืนแล้ว จ้าวจวินหลางยังยืนกอดอกแถมยังใช้เท้าเขี่ยนางเป็นกองขยะ
‘เจ้าสุนัขขี้เรื้อนเอ๊ย!’ แต่นางก็ทำได้เพียงด่าอีกฝ่ายแค่ในใจเท่านั้น ก็นางเป็นใครแล้วเขาคือผู้ใด หากนางไม่ได้โง่เขลาจริงดังคำด่าของอีกฝ่าย นางจะต้องไม่โต้ตอบคืนกลับไปแม้ภายในใจจะคิดโทษสวรรค์ไปหลายเล่มเกวียนว่าไยจึงไม่ให้นางเกิดในร่างของฮ่องเต้ ไม่ดี ๆ ฮ่องเต้งานมาก สตรีก็เยอะตัวซีดตายก่อนพอดี นางควรเกิดเป็นองค์หญิงงดงามล่มไปเจ็ดดินแดน เอาให้คนตกใจตายเพราะความงดงามของนางไปเลยหึ!....แค้น!!!...
“ลุกขึ้นสิ ยังจะรอให้ข้าต้องอุ้มเจ้าหรือไร”
กล่าวจบก็เอาเท้า ‘เขี่ย’ นางอีกครั้ง เจ้าบุรุษเสียสติผู้นี้เติบโตมาเช่นไรกันนะ มารดาก็ดูเป็นคนดี พี่ชายก็มากมีมารยาท แต่เจ้าสุนัขป่าขี้เรื้อนจวินหลางกลับชั่วช้า นิสัยแย่ถึงเพียงนี้ไปได้ นี่เขาเป็นลูกหลิวไทเฮาจริงหรือถูกนางกำนัลจับเอาลูกสุนัขป่ามาสลับกับองค์ชายกันแน่ ไยจึงไม่ได้นิสัยมารดาและพี่ชายมาสักเศษเสี้ยวธุลี!!!
“หามิได้เพคะ หม่อมฉันคงมิบังอาจ แต่มันจุกน่ะเพคะเข้าใจหรือไม่!?”
นางกัดฟันตอบออกไป จากนั้นก็ยักแย่ยักยันลุกขึ้นมายืนเต็มสองเท้าได้อีกครั้ง ไม่อยากกล่าวคำอันใดให้มันรุนแรงไปมากจำต้องท่องเอาไว้แค่ภายในใจว่า ‘ผลประโยชน์’ และผลประโยชน์เอาไว้ให้มากถึงมากที่สุด หาไม่นางอาจเตะตัดขาแกร่งของเขาจนล้มคว่ำไปชิมรสชาติของเม็ดทรายยังชายหาดดูบ้างให้มันรู้ดำรู้แดงกันไปข้าง
“เจ้าด่าอันใดข้า” นอกจากไม่ช่วยดึงนางให้ลุกขึ้นจากพื้นไม่พอ แล้วยังยืนกระดิกเท้ากอดอกพลางจิกกัดนางสมกับนามที่มารดาของเขาตั้งให้ว่า ‘หลาง’ ที่แปลตรงตัวว่าสุนัขป่าได้ดีจริง ๆ
“มิกล้า…มิกล้าเพคะ แต่…ชินอ๋องช่วยหยุดยืนคุยกันดีหรือไม่” นางขาสั้นกว่ามากนัก ชินอ๋องผู้นี้เขานั้นมีช่วงขายาวขืนเดินกันไปคุยกันไปนางไม่ใช่ต้องวิ่งลิ้นห้อยอนาถกว่าสุนัขขี้เรื้อนเช่นเขาหรือไร
“ข้าเพิ่งอิ่มอาหารมื้อค่ำมาอยากเดินผ่อนคลาย หากเจ้าอยากจะเจรจากับข้าก็ต้องเดินกันไปคุยกันไปหาไม่ก็กลับไป!” กล่าวจบจ้าวจวินหลางก็เดินเอื่อยเฉื่อยจากไป หวังลี่จูถึงกับขบเขี้ยวเคี้ยวฟันแสดงกิริยาว่าตนเองอยากจะ ‘หยุมหัว’ อีชินอ๋องชั่วเสียให้ยับยิ่งนัก
…ท่องไว้เพื่อเจินเจินของข้า จะบันดาลแก่โทสะทรงพระถีบท่านอ๋องมิได้!....
“ชินอ๋องเพคะ รอด้วยเพคะ” กระโปรงมันยาวกรุยกรายมากไป นางจึงจับยกชายจนสูงไม่พอรองเท้าผ้าไหมเนื้อดีหญิงสาวก็สลัดมันทิ้งไปอย่างไร้ค่าแล้ววิ่งแซงไปดักหน้าดักหลังของจ้าวจวินหลาง จนชินอ๋องหนุ่มถึงกับหยุดยืนอึ้งทึ่งไปชั่วครู่ เมื่อสตรีซึ่งดูงดงามเรียบร้อยในยามอยู่ต่อหน้าพระมารดาของตนจะมีกิริยาล้นเหลือเช่นนี้
“เจ้านี่มัน…” ชินอ๋องหนุ่มชี้หน้าอีกฝ่ายแต่คนหน้าด้านหน้าทนเช่นหวังลี่จูซึ่งตั้งอกตั้งใจมาเจรจากับจ้าวจวินหลางให้จงได้มีหรือจะสลด นอกจากหญิงสาวจะไม่สลดหวังลี่จูนั้นยังเปิดยิ้มแฉ่งแข่งกับดวงจันทรา จนแก้มบุ๋มของรอยลักยิ้มแจ่มกระจ่างไม่พอ เขี้ยวที่ขึ้นแซมอยู่สองข้างมุมปากขาววาววับนั้นโผล่ออกมาอวดโฉมจนรอยยิ้มที่ชินอ๋องหนุ่มเคยได้ฟังมาว่า ‘แย้มยิ้มเย้ยจนจันทรายังลาลับ’ มันเป็นเฉกเช่นนี้นี่เอง
ดวงตากลมโตนั้นแวววาวระยิบระยับแข่งกันกับพื้นน้ำทะเลที่สะท้อนเงาของดวงจันทราและดารา ทำเอาชายหนุ่มยิ่งยืนนิ่งภายในดวงตากระตุกสะท้านสะเทือนอย่างรุนแรง ‘หลิวหมิงเยว่กงจู่’ มารดานั้นช่างประทานนามให้นางได้สาสมเกินไปจริงแท้ เขาได้ประจักษ์กับตาของตนเองก็ในยามนี้นี่เอง
“ชินอ๋องเพคะ!...ชินอ๋องจ้าวจวินหลาง!!!” หญิงสาวเรียกเจ้าสุนัขป่าขี้โมโหจนสุดเสียงกว่าที่เขาจะได้สติกะพริบตาด้วยความมึนงงคล้ายคนเมามายที่ขาดสติไปชั่วครู่ หากทว่าเขามิได้เมามายจากสุราแต่มัวเมาจากรอยยิ้มงดงามที่บุปผายังหลบเร้น จันทรายังมัวหมองของหวังลี่จู ไข่มุกเม็ดงามที่เฉิดฉายจนเขาดวงตาพร่าเลือนไปชั่วขณะหนึ่งเลยทีเดียว
“อะแฮ่ม!...จะกล่าวอันใดก็เร่งกล่าวมาอย่ามัวแต่ยั่วยวนข้าจะดีกว่า”
“!!?? ...”
…ยั่วยวน!? ...
ตรงที่ใดกัน? คนเช่นนางเนี่ยนะที่จะไปยั่วยวนบุรุษเช่นเขา มองตั้งแต่ปลายเท้าย้อนขึ้นไปถึงศีรษะแล้วมองจากศีรษะลงไปจนถึงปลายเท้าอีกรอบ นางก็ยังไม่เจอตรงใดน่าสนใจ ให้นางเลือกตั๋วเงินกับเขา นางก็ยังคงเลือกตั๋วเงินพันตำลึงอย่างไม่คิดมากแม้แต่น้อย เขาเอาหัวนิ้วโป้งเท้าข้างไหนคิดว่านางจะไปยั่วยวนเขากัน!?
“สติเพคะชินอ๋อง…สติต้องมีนะเพคะ หรือทรงมัวเมาพื้นทรายมากเกินไปเพคะจึงมองว่าหม่อมฉันยั่วยวนพระองค์อยู่!?”
หวังลี่จูเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงกดต่ำคล้ายกับนางกัดฟันเอาไว้จนแน่น ซึ่งมันก็คือความจริงก็บุรุษผู้นี้เขาเมาทรายหรือถูกลมทะเลพัดเอาสมองนั้นปลิวหายไปจนสิ้นกันแน่เล่า เลยมาเหมาเอาว่าเพียงนางยิ้มให้ก็กล่าวหากันว่านางไปยั่วยวนเขาไปได้ คำว่า ‘ช่างสมควรตายยิ่งนัก’ สำหรับเขามันยังน้อยเกิน
“เจ้ากล่าวว่าอันใดนะข้าฟังไม่ถนัด” เพราะในช่วงหัวค่ำลมทะเลนั้นแรงเสียงคลื่นกระแทกกับโขดหินก็ดังซัดสาดโครมคราม จึงยกกำไรให้ฝ่ายหวังลี่จูไปที่นางนั้นหลอกด่าอีกฝ่ายแต่ชินอ๋องผู้เฒ่าดันหูไม่ดี…นับว่านางช่างเป็นบุตรสาวที่สวรรค์เอ็นดูไม่เบาเลยทีเดียว
“หม่อมฉันกล่าวว่าเรื่องแต่งงานเราตกลงกันได้เพคะ” พอได้ฟังนางกล่าวเช่นนั้นคิ้วกระบี่ชี้เฉียงก็ขมวดเป็นเกลียวพลางหยุดเดินแล้วหันมามองหวังลี่จูเต็มตาเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ตนเองพ่ายแพ้พระมารดาจับได้ไม้ยาว แต่ของหลิวไทเฮานั้นกลับยาวกว่า หากทราบไปถึงไหนคนคงหัวเราะกันจนฟันเฟืองโยกเสียเป็นแน่ที่บุรุษชาตินักรบต้องแต่งงานเอาพระชายาเอกเข้าจวนอ๋องก็เพราะจับไม้สั้นไม่ยาวแล้วเขาเป็นฝ่ายแพ้
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร” คราวนี้ชินอ๋องหนุ่มหยุดเดินหนีหันมาเผชิญหน้ากับนางอย่างจริงจัง
“ก็หมายความว่าหม่อมฉันยินดีให้ชินอ๋องแต่งงานกับพระชายารองได้ในวันเดียวกันเพคะ แต่…”
หญิงสาวเอ่ยต่อรองอย่างมีชั้นเชิง นางรู้จังหวะรุกและจังหวะรับราวกับเป็นนักเจรจาการทูตของฝ่ายตรงกันข้ามก็มิปาน จ้าวจวินหลางจับจ้องใบหน้าจิ้มลิ้มพริ้มเพราอย่างจริงจังเป็นครั้งแรก หาใช่มองผ่านเลยราวกับว่าหวังลี่จูคือสวะไร้คุณค่ามาโดยตลอดนับว่าเขาผิดไปใช่น้อยเลยทีเดียว
…สตรีผู้นี้ข้าจะดูเบานางมิได้เลยจริงแท้…
“แต่อันใด?” ชินอ๋องหนุ่มเสแสร้งกระโดดลงหลุมที่นางขุดล่อลวงเขาเอาไว้เพราะเขาเองก็ชักจะรู้สึก ‘สนุก’ ไปกับสตรีตรงหน้าขึ้นมาบ้าง นางไม่ใช่สตรีซึ่งงามเพียงพบพานหนึ่งครั้งใต้หล้าพลันหยุดนิ่ง หากแต่หวังลี่จูนั้นยิ่งจับจ้องมองยิ่งนานกลับยิ่งอยากจะทราบว่าต่อไปนางจะมีลูกเล่นและแผนการใดออกมาให้เขาได้ชื่นชม
“แต่หม่อมฉันต้องการพาเจินเจินไปอยู่ที่เป่ยหนิงด้วยเพคะ ซึ่งหากชินอ๋องทรงเมตตาเราทั้งสองที่เป่ยหนิง หวังลี่จูผู้นี้ขอสัญญาจะต่างคนต่างอยู่กับชินอ๋องดังน้ำบ่อมิข้องเกี่ยวกับน้ำในคลองเลยเพคะ”
หวังว่าบุรุษตรงหน้านั้นฉลาดมากพอที่จะเข้าใจถึงความหมายที่นางจะสื่อ พิธีแต่งงานนั้นเช่นไรย่อมบังเกิดยากจะหยุดยั้ง ดังนั้นมิสู้มาเจรจากันด้วยผลประโยชน์คนละครึ่งทางจะไม่ดีกว่าหรือไร
“หม่อมฉันขอเพียงที่ดินกับเรือนหนึ่งหลังที่ท้ายจวนท่านอ๋องเพียงเท่านั้น ฐานะสามีภรรยานี้จะขึ้นหิ้งอย่างดีมิทำให้พระองค์ได้ขายหน้า และต้องลำบากใจเพคะ”
จ้าวจวินหลางยังคงจับจ้องเรือนกายที่อรชรบอบบางกว่าเขาเกินครึ่ง แต่หวังลี่จูนั้นช่างมีใจกล้าหาญเดินมาเจรจาเปิดเผยกับเขา สตรีนางนี้ช่างไม่ธรรมดาดังที่พระมารดาของเขามองเห็นจริงเสียด้วย
“น้องสาวของเจ้าเคียงข้างฮ่องเต้ สตรีทั่วแผ่นดินต่างทำทุกวิถีทางให้ได้เข้าวัง แต่เหตุใดเจ้าจึงจะพานางไปซุกซ่อนเอาไว้เพียงท้ายจวนของข้า”
นางไม่ได้โง่เขลาเลย สองเดือนภายในวังหลวงหวังลี่จูผู้นี้นางคงไปทราบอันใดมาไม่น้อย เรื่องของฐานอำนาจกับสตรีเคียงข้าง ไม่ว่าจะเป็นตัวของเขาเองหรือฮ่องเต้พระมารดาย่อมวางหมากเอาไว้แน่นหนาแล้ว ดังนั้นเรื่องที่จะให้กุ้ยเฟยเป็นผู้ใด ฮองเฮาเป็นผู้ใด หลิวไทเฮาล้วนคัดกรองอย่างดี แต่เด็กสาวจากพระอารามไห่เหมี่ยวนางกลับมองหมากกระดานนี้ของพระมารดาของเขาแจ่มแจ้งไม่พอ ยังคิดแก้ลำกลับคืนไปด้วยการถอยหนึ่งก้าวเพื่อรุกฆาตแล้วดึงเอาหวังลี่เจินหนีออกจากกระดานหมากนี้ได้อย่างแนบเนียน
…ไม่ธรรมดาเลยหวังลี่จูผู้นี้…
“กล่าวจากใจไม่ปิดบัง ชินอ๋องทรงเติบโตมาจากภายในวังหลวงและคงทราบวังหลังเป็นสถานที่เช่นไร…วังหลังเป็นสถานที่กลืนกินสตรีบอบบางและโง่เขลา บางคนแม้แต่กระดูกก็ไม่เหลือออกมา เช่นนี้ทรงช่วยตอบหม่อมฉันสักประโยคเถิดหากทรงมีน้องสาวเพียงคนเดียวจะยินดีส่งนางเข้าไปยังดินแดนมรณะเช่นนี้อยู่หรือเพคะ?”
ที่หวังลี่จูกล่าวมานั้นไม่ผิดไปจากความเป็นจริงแม้เพียงครึ่งคำ หน้ากากภายนอกหลิวไทเฮาดูทรงเมตตาสองพี่น้องแซ่หวัง แสดงออกไปจนทั่วว่าซาบซึ้งน้ำใจสองพี่น้องที่ช่วยชีวิตของไทเฮาให้พ้นภัยร้ายของโจรภูเขา แต่ความจริงจะมีผู้ใดทราบดีไปกว่าเขา ฮ่องเต้ และหลิวไทเฮาว่าการแต่งงานตอบแทนบุญคุณก็เพียงหมากหนึ่งกระดานเท่านั้น!
“เจ้านี่ช่างไม่กลัวตายเสียจริงที่บังอาจมาต่อรองกับคนเช่นข้า” เรียวปากแกร่งยกยิ้มร้ายกาจดังจอมมารร้าย แต่เพื่อชีวิตอันสงบสุขและงดงามของน้องสาวของนางในภายภาคหน้าอันสดใสย่อมไม่ย่อท้อหรือหวาดกลัว หวังลี่เจินยังเด็กเกินไป และนางยังใสซื่อกับบริสุทธิ์และสะอาดสะอ้านเกินกว่าจะไปยืนหยัดต่อสู้กับนางพยัคฆ์ใจคออำมหิตภายในวังหลัง ภาพของหลิวไทเฮาตวัดดาบสะบั้นลำคอสองจอมโจรอ้วนผอมบนภูเขานั่นยังติดแน่นในความทรงจำของนางอยู่ไม่คลาย คนที่จะยืนเคียงข้างบุรุษสูงส่งเช่นฮ่องเต้ นอกจากเก่งรอบด้านแล้วสตรีนางนั้นยังต้องมีใจเหี้ยมให้มากพอ หาไม่คงยากจะยืนอยู่ในฐานะนางพญาหงส์เคียงข้างพญามังกรไปได้ และนางไม่ต้องการให้หวังลี่เจินต้องไปเผชิญความโหดร้ายเหล่านั้น ดังนั้นหากนางแลกอิสรเสรีนี้ให้น้องสาวได้ย่อมไม่หวาดกลัวอันใดอีกแล้ว
“เพราะหม่อมฉันทราบน่ะสิเพคะว่าท่านอ๋องเองก็มีความจำเป็น ต่อให้ต้องขัดพระทัยกับองค์ไทเฮาก็ตามเช่นไรคุณหนูหลวนท่านอ๋องก็จะต้องแต่งงานกับนางให้ได้ เช่นนั้นมิสู้ท่านอ๋องเอาใจนางด้วยการแต่งงานนางมาในวันเดียวกับหม่อมฉัน จากนั้นก็ทรงเลือกเข้าหอกับนางแล้วขับไล่หม่อมฉันกับน้องสาวไปอยู่ท้ายจวน เช่นนี้สกุลหลวนย่อมมิคิดหยิ่งผยองสมใจพระองค์และฝ่าบาทเป็นแน่เพคะ”
รอยยิ้มของหวังลี่จูเองก็อำมหิตไม่น้อยจนจ้าวจวินหลางอยากจะคุกเข่าแล้วโขกศีรษะต่อหน้าพระมารดาอย่างยิ่งที่มองการณ์ไกลส่งนางมา ‘ช่วย’ ให้แผนการของเขาและฮ่องเต้ราบรื่นง่ายดายยิ่งขึ้น คุณหนูรองหลวนงดงามจนเขาพึงใจนั้นจริงแท้ ทว่าสตรีโฉมงามมิได้สยบบุรุษแกร่งได้เสมอไปหรอกหึ!
“หากเจ้ามั่นใจว่าจะยอม ‘ช่วยงาน’ ให้ข้าสมใจได้ ข้าก็ยินดีแลกเปลี่ยนกับเจ้าหวังลี่จู”
ผลประโยชน์ตรงกันการเจรจานี้ย่อมไม่ยากเย็น นางเป็นพระชายาเอกแสนอาภัพ บทบาทของนางมีเพียงเท่านั้นดังนั้นหากนาง ‘ยินยอม’ แผนการต่าง ๆ ก็ง่ายดายขึ้นอีกมากโข
“คำไหนคำนั้นเพคะ ขอเพียงที่ดินหนึ่งผืนกับกระท่อมหนึ่งหลัง หม่อมฉันจะ ‘เจียมเนื้อเจียมตัว’ จนท่านอ๋องพึงใจอย่างถึงแก่นเลยเพคะ!”
ได้ฟังเช่นนั้นจ้าวจวินหลางก็แย้มยิ้มชั่วร้ายซึ่งหวังลี่จูเองก็สาดรอยยิ้มอำมหิตสิ้นปรานีกลับไปเช่นกัน เขาว่าคนเราศีลมันเสมอกันย่อมมองตาก็ซาบซึ้งไปถึงก้นบึ้งของหัวใจแล้ว
…หึ…หึ…หึ…
“ดีล!!!” หญิงสาวพึมพำออกมาในท้ายที่สุดเมื่อจ้าวจวินหลางก้าวเดินชมทิวทัศน์ยามราตรีของชายทะเลห่างออกไปไกลจนยากจะได้ยินภาษาแปลกประหลาดนี้แล้ว!!!