บทที่ 7 คนอันตรายที่สุดย่อมเป็นคนที่พึ่งพาอาศัยได้มากที่สุด!

3081 คำ
ทางฝ่ายหวังลี่จูนั้นถึงมิได้มากปัญญา แต่ก็มิได้โง่เขลาจนฟังคำพูดมากความหมายที่นางพญาหงส์อันสูงส่งแห่งโยวโจวนั้นกล่าวออกมากับนางเมื่อครู่ไม่ออก มาบัดนี้หญิงสาวก็เข้าใจถ่องแท้ตอบแทนบุญคุณล้วนบังหน้าทั้งสิ้น ทว่าความจริงหลิวไทเฮานั้นต้องการ ‘ภรรยาดี’ ที่ตนเองเลือกเองกับมือให้แก่บุตรชายนั่นเอง “หามีไม่เพคะ ตลอดที่ตัวของหม่อมฉันและเจินเจินอยู่ที่นี่ เพียงหนึ่งครั้งหลิวไทเฮามิเคยผิดต่อพวกหม่อมฉันเลยเพียงเสี้ยวธุลีเพคะ” นางกล่าวออกมาอย่างนอบน้อมเริ่มทราบอนาคตของตนเองแล้วว่าพวกตนสองพี่น้องนั้นยากจะหลบหนีพ้นไปจากความต้องการของหลิวไทเฮาไปได้ พวกนางประหนึ่งเป็นเพียงต้นหญ้าต่ำต้อยไฉนเลยจะไปหาญกล้าบังอาจขัดขวางเรี่ยวแรงนางพญาหงส์อันยิ่งใหญ่ไปได้... “เช่นนั้นเจ้าคงเบื่อหน่ายภายในวังใช่หรือไม่?” อันที่จริงนางก็อยากจะกล่าวว่าตนเองนั้นเบื่อหน่ายความริษยา เบื่อหน่ายกับการต้องมานั่งปั้นหน้าสวมหน้ากากใส่กันทั้งที่ต่างก็ซ่อนมีดคมเอาไว้ด้านหลัง หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเผลออีกฝ่ายย่อมจ้วงแทงยากจะให้กลับมามีชีวิตได้ต่อไปอีกเลย “ก็เอ่อ…เพคะ” นางไม่ได้โกหกแม้เพียงครึ่งคำ นางกับหวังลี่เจินเบื่อจริง ๆ สกุณาย่อมชอบอิสรเสรี แต่หลิวไทเฮาไยจึงสอบถามพวกนางแปลก ๆ สายตาก็ดูแวววาวแปลก ๆ ช่างดูไม่น่าวางใจเอาเสียเลย “ขยับมานี่” หลิวไทเฮานั้นกระดิกนิ้วชี้ให้หญิงสาวผู้ที่ตนนั้นวางเอาไว้ในตำแหน่ง ‘สะใภ้คนเล็ก’ เช่นหวังลี่จูจนนางต้องขยับเข้ามาใกล้ ฝ่ายของหวังลี่เจินเองก็ขยับกายลุกขึ้นนั่งแล้วทั้งสามต่างก็เริ่ม ‘สุมศีรษะ’ แล้วหันไปมองซูเหิงกงกงด้วยสายตาไม่ประสงค์ดีเอาเสียเลย ทำเอากงกงผู้เฒ่านั้นต้องถอยหลังหนีไปเสียหลายก้าวสายตาเรียวนั้นก็ ‘เลิ่กลั่ก’ ตื่นกลัวเนื่องจากอยู่กับหลิวไทเฮานับตั้งแต่หลิวไทเฮานั้นยังอยู่ในชั้นพระสนมไฉเหรินเลยด้วยซ้ำ แล้วมีหรือจะไม่เท่าทันแววตามากไปด้วยความสนุกสนานและซุกซนของสตรีอันดับหนึ่งแห่งโยวโจวกันเล่า!? “อย่านะพ่ะย่ะค่ะไทเฮา…คราวนี้อันตรายมากนะพ่ะย่ะค่ะ” ซูเหิงกงกงเร่งร้องห้ามสตรีสูงศักดิ์ด้วยเกรงว่าในคราวนี้อาจมิใช่เพียงหลิวไทเฮาที่จะ ‘หนีออกจากวังหลวง’ แต่อาจมีผู้ร่วมขบวนเป็นสาวน้อยกับหนึ่งสาวงามเข้าไปด้วยเป็นแน่! ในที่สุดแล้วหนึ่งขันทีน้อยกับสองนางกำนัลและขันทีเฒ่าก็ ‘หลบหนี’ ออกจากวังหลวงไปท่องเที่ยวกันยังนอกเมืองอีกแล้ว “คราวนี้พวกเราจะไปทะเลหนานไห่กัน ไปท่องเที่ยวทะเล ไปกินของทะเล ไปจับปู ไปตกหมึกกัน” ที่หนานไห่นี้ห่างจากโยวโจวราวห้าร้อยลี้ การเดินทางจึงจำเป็นต้องอาศัยม้าเหงื่อโลหิตที่ฝีเท้าดี และอดทนกับเส้นทางไกลได้ดี สองพี่น้องแซ่หวังนั้นเพิ่งได้เห็นเจ้าม้าสายพันธุ์อันดับหนึ่งของโยวโจวไม่พอ อาชาพันธุ์นี้เกือบทั้งกองทัพยังใช้อีกด้วย ขบวนการ ‘หนีออกจากวังหลวง’ รอบที่เท่าใดของหลิวไทเฮาก็มิอาจทราบก็เคลื่อนออกไปทางทิศใต้โดยมีองครักษ์ฝีมือดีติดตามไปห่าง ๆ ถึงห้าสิบชีวิต แต่ที่รวมตัวกันมีเพียงห้าชีวิตนั่นก็คือหลิวไทเฮา หวังลี่จูกับหวังลี่เจิน มีซูเหิงกงกงและอวี้โมโม่นางกำนัลคนสนิทใกล้ชิดรู้ใจไม่แตกต่างจากท่านกงกงเฒ่าซูเหิงเช่นกัน สายลมบนหลังอาชานั้นปะทะใบหน้าของทุกคน ถึงจะมีบางช่วงที่อากาศร้อนแต่มันก็มีกลิ่นดินกลิ่นหญ้าหอมสดชื่นใช่น้อย การไปทะเลหนานไห่นั้นไม่ได้รีบเร่งอันใดมืดค่ำที่ใดก็แวะพักยังจุดพักม้าระหว่างทางไปเรื่อย ๆ สามวันกับหนทางห้าร้อยลี้นั้นไม่ได้ลำบากลำบนอันใดเรียกได้ว่าผ่านจุดใดสวยงามก็แวะพักท่องเที่ยวกันอย่างเป็นสุขใจ มีหลิวไทเฮาเป็นมารดา มีหลังลี่จูเป็นบุตรสาวคนโต และมีหวังลี่เจินที่ยังเป็นเด็กสาวปลอมตัวเป็นบุตรชายคนเล็ก มีซูเหิงกงกงเป็นท่านพ่อบ้าน มีอวี้โมโม่เป็นสาวใช้ของ ‘ฮูหยินจ้าว’ กับซังซังนางกำนัลสาวเป็นคนคิดตามของคุณหนูใหญ่ ‘จ้าว’ โดยมีองครักษ์เงาติดตาม แต่รักษาระยะห่างอย่างที่หลิวไทเฮานั้นกำชับเอาไว้ ซึ่งแน่นอนว่าทั้งฮ่องเต้จ้าวจวินข่ายและชินอ๋องจ้าวจวินหลางนั้นเพียงหนึ่งชั่วยามที่พระมารดากับว่าที่พระชายาเอกกับน้องสาวของนางแอบหลบหนีออกจากวังหลวง พวกเขาต่างก็ทราบทันควัน เลยต้องมานั่งกุมขมับต่างมองหน้ากันแล้วถอนหายใจยกใหญ่หมดปัญญากับพระมารดาที่ชอบหนีเที่ยว นับจากพวกเขายังเด็กจนบัดนี้บิดาของพวกตนถึงแก่ความตายกลับสวรรค์ไปแล้ว และพวกตนก็อายุใกล้เคียงเลขสามกันเข้าไปทุกวัน แต่พระมารดากลับยังคงมิอาจหยุด ‘หนีท่องเที่ยว’ ได้สักครา… “ส่งคนติดตามอารักขาให้แน่นหนา” หันไปกำชับกับอัครมหาเสนาบดีหนุ่มซึ่งอีกฝ่ายก็เรียกหาฝ่ายการข่าว ‘อิงซือ’ สำหรับจะได้รายงานทุกการเคลื่อนไหวของขบวนเดินทางไปหนานไห่ ทางด้านจ้าวจวินหลางก็เรียกคนของยินหลางซือมากำชับให้เร่งติดตามไปคุ้มกันพระมารดาที่ช่างมิทราบบ้างเลยว่าชีวิตของ ‘หลิวไทเฮา’ นั้นหอมหวานเพียงใดกับฝ่ายตรงข้าม นี่เพิ่งผลัดแผ่นดินได้ไม่ถึงห้าปีความมั่นคงของราชบัลลังก์มิใช่จะแน่นหนา หากป้องกันได้จำเป็นต้องป้องกันเอาไว้ก่อนย่อมดีที่สุด! ทะเลสำหรับหวังลี่จูนั้นนางย่อมเคยเห็นมาแล้วในอดีตภพ แต่หวังลี่เจินนั้นไม่ใช่ เด็กสาวเกิดและเติบโตมาเพียงภายในเมืองหลวงของโยวโจวเท่านั้น เด็กสาวรู้จักก็เพียงลำธารที่กั้นกลางขวางระหว่างภูเขาไห่เหมี่ยวเท่านั้น ดังนั้นพอได้เห็นทะเลกว้างขวางเด็กสาวจึงร้องออกมาว่าตรงหน้านั้นคือแม่น้ำขนาดยักษ์ “พี่สาวผู้ใดเอาเกลือมาเทใส่ ทะเลนั้นไยมันจึงเค็มจนขมเช่นนี้เจินเจินว่าคนเทนั้นหนักมือไปแล้ว” คำกล่าวของเด็กสาวนั้นเรียกเสียงหัวเราะให้แม้แต่องครักษ์หญิงที่คอยเฝ้าสตรีสูงค่าทั้งสามนางเอาไว้ด้วยกิริยาเอ็นดูยิ่งนัก ก็เด็กสาวนั้นต่อสู้ชีวิตมาตลอดนางทราบเพียงวิธีปลูกผักกำจัดหนอน แต่ในโลกหล้าอื่นใดหวังลี่เจินไม่ทราบอันใดเลย เด็กสาวทราบเพียงมีอาหารกิน และมีที่นอนอบอุ่นกับมีพี่สาวไม่ทอดทิ้งกันไปไกลห่างนั่นย่อมเป็นความสุขยิ่งใหญ่สำหรับเด็กสาวแล้ว พระตำหนักหนานไห่นี้ด้านหลังนั้นใกล้ชิดติดกับหาดทรายขาวสะอาด น้ำทะเลเป็นสีฟ้ากระจ่าง สองพี่น้องสนุกสนานกันการได้เล่นกับคลื่นลมลูกไม่ใหญ่ พอตกค่ำอาหารมื้อแรกก็คือของทะเลปู กุ้ง ปลาหมึก ล้วนสดใหม่ เนื้อหวานจนหวังลี่จูแกะเนื้อกุ้งกับเนื้อปูให้เจ้าน้องน้อยของนางกินแทบไม่ทัน ดวงตาสีดำสี่คู่ของสองพี่น้องช่างงดงามแวววาว เห็นแล้วหลิวไทเฮาก็อยากให้บุตรชายทั้งสองได้มีวาสนาเห็นความงดงามนี้เหลือเกิน “พี่สาวหากเราจะขอไทเฮาอาศัยอยู่ที่นี่จะได้หรือไม่ พี่สาวไม่ต้องกลับไปแต่งงานให้กับชินอ๋อง ส่วนเจินเจินก็ไม่ต้องฝึกฝนร่ำเรียนมารยาทมากมายภายในวังหลวงอีก” พอตกดึกสองพี่น้องแยกไปเข้านอนร่วมกัน ความไร้เดียงสาของหวังลี่เจินก็กล่าวออกมาอย่างไร้ความคิดซับซ้อนมากมายอันใดทั้งสิ้น ซึ่งหวังลี่จูเองย่อมเข้าใจเพราะอดีตของนางก็เคยผ่านพ้นวัยที่ไร้เดียงสาเช่นนี้มาก่อน ไม่ต้องคิดมากกินนอนเล่นและเรียน ทว่าบัดนี้ประสบการณ์ชีวิตมันสั่งสมมาหลายปีถึงนางจะเพิ่งจะสิบแปดปีก็ตาม แต่ไทเฮาทรงคิดสิ่งใดอยู่นั้นนางว่านางคาดเดาไม่ผิด ตัวนางนั้นบัดนี้ถูกสตรีสูงศักดิ์หมายปองเป็นสะใภ้เล็ก เพราะนางเข้มแข็งและแกร่งมากพอไม่จำเป็นจะต้องฝึกฝนกันมากมาย นางก็สามารถจะไปต้านทานกับบุตรสาวของฝ่ายสกุลหลวน นางอยู่ภายในวังร่วมสองเดือนมิใช่อยู่เพียงหวังสบายกินอิ่มแล้วนอนหลับเช่นเด็กสาวอย่างหวังลี่เจิน แต่นางทราบบางสิ่งลึกซึ้งไปกว่านั้น แต่ภายในวังหลวงการ ‘เสแสร้ง’ ว่าโง่เขลาเบาปัญญาเป็นคนบ้านป่าบ้านกลางดอยนั้นคงไม่ทราบอันใดทั้งสิ้นนั้นจึงปลอดภัย ก็วังหลวงและวังหลังเป็นสถานที่เช่นไรกันเล่า ...มันคือสถานที่กลืนคนไม่คายกระดูกมานักต่อนักแล้วหากฉลาดไม่ถูกวิธี... “ที่แห่งนี้หากท่องเที่ยวชั่วคราวนั้นได้นะเจินเจิน แต่อยู่นานไปไม่เหมาะกับพวกเราหรอก พวกเราถนัดเพาะปลูก แต่ดินและน้ำบริเวณนี้มันเค็มไม่เหมาะแก่การเพาะปลูกน่ะ” หญิงสาวอธิบายให้เด็กสาวได้เข้าใจถึงความเหมาะสม และสถานการณ์จริงของพื้นดินที่ติดชายทะเลเช่นนี้ มีพืชไม่กี่ชนิดที่เหมาะสมกับดินแดนหนานไห่แห่งนี้ พืชที่จะโตในที่ดินซึ่งเค็มและเป็นทรายส่วนใหญ่จะเป็นพวกสับปะรดหรือไม่ก็ทำสวนยางพารา ปลูกต้นปาล์มสำหรับนำมาผลิตเป็นน้ำมัน หรือหากจะเป็นผลไม้ก็พวกเงาะ ทุเรียน ลองกองอะไรพวกนั้น “พี่สาว ความจริงแล้วเช่นไร ท่านก็ยากจะหลบลี้หนีการแต่งงานนั่นใช่หรือไม่” หวังลี่เจินหันลุกขึ้นมานั่งพับเพียบอยู่ในท่าเทพธิดา ส่วนหวังลี่จูนั้นนั่งเหยียดขาเรียวออกไปข้างหนึ่ง ดึงหัวเข่าตั้งขึ้นแล้ววางเอาเรียวแขนอิงไปบนหมอนอิงมากมายกลิ่นกำยานหอมขับไล่แมลงกลางคืนหอมกรุ่นกำจาย แสงเทียนไขกลางห้องสว่างไสววับแวม เด็กสาวเอาปลายคางมาวางเกยกับหัวเข่าของคนเป็นพี่สาว นางเป็นเพียงเด็กสาววัยสิบสี่ถึงไม่ฉลาดเฉลียวเท่าคนเป็นพี่สาว แต่เพราะอยู่ใกล้กันทุกวันนางย่อมซึมซับเอาความเฉลียวใจนั้นมาจากหวังลี่จูไม่น้อย “เราเป็นผู้ใดเล่าเด็กน้อย ส่วนพวกเขาคือผู้ใด หากพวกเขาวางหมากแล้วเริ่มออกเดินเราที่เป็นหมากให้คนมากอำนาจเลือกเดินย่อมยากจะหยุดด้วยตนเองได้” ฝ่ามือเรียวสวยจริงแต่ก็หยาบกระด้างเพราะกรำงานหนักมาตลอดชีวิต ความผูกพันระหว่างพี่สาวกับน้องสาวนั้นมันร้อยรัดกันแน่นอย่างไม่น่าเชื่อว่านางจะเพียงหลุดข้ามภพมาอยู่ในร่างของหวังลี่จูเท่านั้น “จงฟังคำของพี่สาวให้ดีนะเจินเจิน คนเราฉลาดย่อมดี แล้วหากทั้งฉลาดและเฉลียวยิ่งดีเข้าไปใหญ่ ทว่าจะยิ่งดีกว่าถ้าเจ้าจะซุกซ่อนทั้งความฉลาดและเฉลียวของตนเองเอาไว้เพียงภายในใจของเรา” สั่งสอนน้องสาวไปฝ่ามือหยาบกร้านนั้นก็ลูบไล้เส้นผมนุ่มให้กับ ‘เจ้าตัวเล็ก’ ด้วยความรักและห่วงใยเด็กสาวอย่างยิ่ง นางทราบความคิดของหลิวไทเฮา ว่าพระนางหมายตาหวังลี่เจินเอาไว้ให้แก่ผู้ใด วันนี้เด็กสาววัยเพียงวัยสิบสี่ปียังเด็กเกินไป แต่อีกไม่เกินสามถึงห้าปีเด็กสาวตัวน้อยของนางจะต้องถูกดึงไปอยู่บนกระดานหมากล้อมของฮ่องเต้กับหลิวไทเฮาเป็นแน่ นางเองจะปกป้องน้องสาวตัวน้อยไปได้อีกกี่ปีกัน ตนเองก็กำลังจะเดินไปบนกระดานหมากนั้นเช่นกัน หากเป็นผู้อื่นหรือหญิงสาวทั่วไปย่อมคิดว่าพวกนางสองพี่น้องแซ่หวังนั้นโชคดีสวรรค์ประทานพรเพียงใดจึงได้เข้าวังได้เป็นคนที่หลิวไทเฮาโปรดปราน ทว่านางที่มองด้วยสายตามีเหตุผลกับเห็นจริงทุกสิ่งจากภายในวังหลวงและวังหลังร่วมสองเดือนมันกระจ่างแจ้งเกินไป นางกำลังวางแผนว่าตนเองจะต้องทำอย่างไรก็ได้ที่จะเอาตัวของหวังลี่เจินนั้นไปอยู่ด้วยที่เป่ยหนิง นางคิดไปถึงว่าตนเองจะอยู่เช่นไรก็ตามให้รอดพ้นจากกลโกงและเกมการเมืองของโยวโจวให้จงได้ ซึ่งนางคงคิดนานไปหน่อยเจ้าตัวเล็กของนางจึงหลับไปกับการวางลูกคางเกยเอาไว้บนหัวเข่าของนางเสียแล้ว “หลับเก่งนะเราน่ะ” หญิงสาวกล่าวภาษาไทยแจ่มชัด แน่นอนว่าต่อให้เหล่าองครักษ์เงาทั้งหลายเก่งกาจเพียงใดล้วนฟังและแปลไม่ออกกันถ้วนหน้า ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถูกส่งกลับไปรายงานให้แก่ฮ่องเต้และชินอ๋องทราบไม่มีตกหล่น หวังลี่จูจัดแจงให้น้องสาวนอนจนสบาย ส่วนนางเองนั้นก็ทอดกายลงไปนอนเคียงข้างคนเป็นน้อง แต่นางกลับยังไม่ได้หลับลงไปในทันที ยิ่งหลิวไทเฮาเอาใจพวกนางมากขนาดพามาท่องเที่ยวไกลจนถึงหนานไห่เช่นนี้ หญิงสาวกลับยิ่งชัดเจนว่าเช่นไรตำแหน่งชินหวางเฟยนี้มิอาจผิดไปจากตนเองได้ ดังนั้นน้องสาวของนางจะต้องหลุดพ้นไปให้ไกลจากหมากกระดานยิ่งใหญ่นี้ให้จงได้! เนื่องด้วยตลอดค่ำคืนที่ผ่านมาหวังลี่จูนั้นคิดแผนการมากมายที่จะพาน้องสาวไปให้พ้นจากวังหลวงจนเกือบรุ่งสางดังนั้นกว่าจะตื่นจึงสายไปเล็กน้อย ทว่าเพียงนางกับน้องสาวออกมายังโถงกลางก็แทบจะหงายหลังล้มลงไปเลยก็ว่าได้ ยังดีที่หวังลี่เจินนั้นเดินติดหลังคนเป็นพี่ออกมาด้วยนางจึงดันแผ่นหลังบอบบางของคนเป็นพี่สาวเอาไว้ได้ทันท่วงที “พี่สาวท่านเป็นอันใดไป?” หวังลี่เจินนั้นประคองพี่สาวไปด้วยก็กระซิบกระซาบถามไปด้วย หวังลี่จูจึงสูดลมหายใจเข้าปอดจนเต็มท้องแล้วจึงกระเด้งกายขึ้นมาหยัดยืนมั่นคงอีกครั้ง จึงแอบกระซิบเตือนคนด้านหลังแผ่วเบาว่า ‘ฮ่องเต้กับชินอ๋องเสด็จ’ นั่นเองหวังลี่เจินจึงเก็บกิริยาทันที “ลี่จูถวายพระพรฝ่าบาท ถวายพระพรไทเฮา ถวายพระพรชินอ๋องเพคะ” ซึ่งหวังลี่เจินเองก็ปฏิบัติตามพี่สาวไปด้วยดีดังที่ฝึกฝนมานานร่วมสองเดือนภายในวังหลวง ซึ่งที่หญิงสาวเสียกิริยานั้นก็เพราะว่าตนเองมิคาดว่าฮ่องเต้กับชินอ๋องนั้นจะติดตามมาได้ทันควันเพียงพวกนางมาถึงแล้วหลับไปหนึ่งตื่นเพียงเท่านั้น “ตามสบายเถิดลี่จู ลี่เจิน” เป็นจ้าวจวินข่ายที่เอ่ยพลางแย้มยิ้มกระชากดวงใจสตรี แต่ขอโทษทีเถิดเขาทำให้หวังลี่จูผู้นี้นั้นอ่อนระทวยได้เพียงพบหน้ากันในคราวแรกเท่านั้น ต่อจากนี้ภายใต้รอยยิ้ม ‘หล่อขั้นเทพ’ ไม่ได้กินความรู้สึกของนางอีกแล้ว ภายในใจของหญิงสาววัยสิบแปดปีหวั่นไหวเพียงไม่นานหลังจากหญิงสาวค่อย ๆ ทราบทุกสิ่งทุกอย่าง รูปโฉมงดงามหรือหล่อเหลาขั้นเทพก็ยากจะสั่นสะเทือนดวงใจของนางได้อีกต่อไป “ขอบพระทัยเพคะ/ขอบพระทัยเพคะ” สองพี่น้องแซ่หวังย่อกายทำความเคารพเรียบร้อยก็เดินไปนั่งประจำที่ของพวกนาง ในใจของเด็กสาวเช่นหวังลี่เจินย่อมไม่มีสิ่งใดน่าสนใจมากไปกว่าอาหารน่ากินที่อยู่บนโต๊ะนั้นส่วนคนที่หล่อเหลาทั้งสองพี่น้องแซ่จ้าวนั้นมิอาจดึงเอาความสนใจของเด็กสาวไปได้ ทางด้านหวังลี่จูนั้นแน่นอนว่าจ้าวจวินหลางสำหรับนางนั้นนับตั้งแต่ครั้งแรกที่พบหน้ากันก็ไม่พึงใจต่อกันอยู่แล้วส่วนจ้าวจวินข่ายนั้นเขาก็เป็นดัง ‘จอมมาร’ ที่อยู่ในภาพจำแลงแปลงกายเป็นมหาเทพเพียงเท่านั้น นางไม่รู้สึกอะไรไปมากกว่าระแวงระวังภัยร้ายจากรอยยิ้มแย้มแต้มเรียวปากงดงามราวสตรีของฮ่องเต้หนุ่มวัยใกล้สามสิบอีกแล้ว “เสด็จแม่ทรงอยากจะเปลี่ยนตำหนักมายังหนานไห่ก็ไม่ยอมเอ่ยปากชักชวนข้ากับอาหลางบ้างเลยหึ...หึ...หึ...” จ้าวจวินข่ายเอ่ยกับมารดาแล้วก็หัวเราะ ซึ่งเสียงหัวเราะดังกล่าวนั้นช่างชวนอึดอัดอย่างยิ่งสำหรับหวังลี่จู ยิ่งเป็นเช่นนี้หญิงสาวก็ยิ่งคิดว่าต่อให้นางต้องตายเช่นไรก็จะไม่มีวันยอมยกน้องสาวที่เป็นดังแก้วตาดวงใจของตนเองให้บุรุษผู้สวมหน้ากากมหาเทพ แต่ภายในของเขาคือมหาจอมมารร้ายที่ขุมนรกยังหวาดกลัวผู้นี้เด็ดขาด! ‘เจินเจินแต่งกับเขาก็เป็นได้เพียงทาสมหาจอมมารเท่านั้น!’ ยิ่งนางเหลือบสายตาไปมองหวังลี่เจินที่สนใจกินแต่อาหารถูกใจ หวังลี่จูก็คิดว่าตนเองจะต้องทำบางสิ่งขึ้นมาสักอย่างหนึ่งแล้ว ในเมื่อหนีก็ไม่ได้สู้ก็ไม่ไหวนางก็จะต้องหาผู้ร่วมที่จะรับมือแทนหรือเรียกอย่างหน้าด้านหน้าทนหน่อยว่านางจำต้องหา ‘เกราะ’ คุ้มภัย ...แล้วที่ใดจะปลอดภัยเท่าที่ซึ่งอันตรายที่สุด เช่นกันคนที่จะมาปกป้องคุ้มภัยให้พวกนางสองพี่น้องย่อมจะต้องเป็นคนที่อันตรายที่สุด แล้วคนผู้นั้นจะเป็นผู้ใดไปได้หากมิใช่...ชินอ๋องจ้าวจวินหลาง...สุนัขป่าตัวร้าย แต่สุนัขป่าก็ยังปลอดภัยกว่าพยัคฆ์อำมหิตเช่นจ้าวจวินข่ายผู้นั้นอยู่หลายพันส่วนเลยทีเดียว!!!...
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม