บทที่ 6 สกุณาย่อมอยากโบยบิน

3050 คำ
พอเข้ามาอยู่ในวังหลวงแน่นอนว่าก่อนจะเข้าพิธีแต่งงานมันก็ต้องซักซ้อมเตรียมตัวเข้าพิธีเพื่อไม่ให้ภายในวันจริงบังเกิดความผิดพลาด เพราะว่าที่เจ้าสาวนั้นเป็นเพียงหญิงสาวชาวบ้านป่าธรรมดานางหนึ่งเท่านั้น แล้วไหนจะยังต้องรอฤกษ์งามดีที่สุด ซึ่งภายในใจของหวังลี่จูนั้นอยากให้กว่าจะถึงฤกษ์ดีที่กล่าวถึงนั้นยาวนานไปถึงแปดสิบปีนางคาดว่ากำลังเหมาะวัยกำลังได้…ได้ร่วมลงโลงศพไปพร้อมกันเลย หออันใดนั้นไม่ต้องเข้ามันหรอก ก็จะมีบุรุษที่ดีอันใดเตะตัดขาสตรีจนหัวเข่าแตกกันบ้าง ดีนะเพียงเข่าของนางแตก หากที่คว่ำลงไปเป็นหน้าของนางต้องบินข้ามภพไปทำหน้าใหม่ถึงเกาหลีมันจะได้เบ้าหน้าสวรรค์เมตตานี้คืนมาหรือเปล่าก็ไม่รู้ เจ้าคนเสียสติ เจ้าปีศาจกระทิงสามเขา เจ้าสุนัขสามตา ไอ้คนนิสัยชั่วช้า หญิงสาวถูกขัดผิวพรรณไปก็นึกแช่งชักหักกระดูกจ้าวจวินหลางไป ถูกขัดผิวยังไม่หนำใจเหล่านางกำนัลและขันทีอันที่จริงไม่ตรงใจหลิวไทเฮามากกว่านางยังถูกนำเข้าไปทำพิธีใช้เส้นด้ายกำจัดขนบนร่างกายของนางจนสิ้นผิวพรรณที่แต่เดิมมันก็ดีอยู่แล้วบัดนี้ถูกขัดด้วยเครื่องหอมสูตรดีแช่น้ำนมแพะสูตรของหลิวไทเฮาแล้วมีหรือจากห่านดงจะมิกลายเป็นนางหงส์ขาวกรีดปีกงดงามในเวลาไม่ถึงสิบวัน และแน่นอนหวังลี่จูถูกดูแลอย่างดีเช่นไรหวังลี่เจินก็ต้องได้รับการบำรุงบำเรออย่างดีเช่นกัน “หมายความว่าเช่นไรท่านอัครมหาเสนาบดีกู้” หลิวไทเฮานั้นหันไปสอบถามเพิ่มเติมกับผู้อยู่ในตำแหน่ง ‘อัครมหาเสนาบดี’ ทว่าแทนที่เขาจะแก่เฒ่าเป็นตาเฒ่าหนวดเคราและเส้นผมขาวโพลนทั้งศีรษะเช่นที่ในอดีตชาติหวังลี่จูนั้นเคยพบเห็นในซีรีส์กลับผิดไปหมด เพราะ ‘ท่านอัครมหาเสนาบดีกู้’ ผู้นี้เต็มที่วัยของเขาคงไม่เกินสามสิบปีเป็นแน่ หญิงสาวมองแล้วอึ้ง คนภายในวังหลวงนี้เขาเน้นหน้าตากันใช่หรือไม่ ขนาดอัครมหาเสนาบดียังหล่อเหลาขาวโอโม่มากมาย “หมายความว่าก่อนจะแต่งงานขึ้นเป็นชินหวางเฟย อย่างน้อยแม่นางหวังนั้นสมควรจะมีฐานะที่ดีรองรับ หากไม่เป็นบุตรบุญธรรมของไทเฮาก็สมควรเป็นบุตรสาวบุญธรรมของขุนนางระดับสูงพ่ะย่ะค่ะ หาไม่ฝั่งสกุลหลวนนั้นจะต้องหาทางร้องเรียนว่าแม่นางหวังไร้คุณสมบัติที่จะเป็นพระชายาเอกของชินอ๋องได้พ่ะย่ะค่ะ” กู้หยวนหมิงบุรุษวัยสามสิบสามปีที่ขึ้นสืบทอดตำแหน่งต่อจากบิดาวัยเจ็ดสิบปีของเขาตอบกลับหลิวไทเฮาด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมทว่าก็นอบน้อมทอดอ่อนอย่างทราบมารยาทดี ซึ่งเขาเองนั้นไปได้ฟังคำพูดและ ‘ข่าวลือ’ ที่ฝ่ายสกุล ‘หลวน’ ตั้งใจจะปล่อยออกมาทำให้ ‘ว่าที่’ ชินหวางเฟยนั้นเสื่อมเสีย และผู้คนตลอดชาวเมืองมากมายเองนั้นคงสงสัยกับที่มาและต้นกำเนิดของหวังลี่จูก็เป็นไปได้ “หึ!...พวกสกุลหลวนนี่จะกำเริบเสิบสานเกินไปแล้ว” หลิวไทเฮากำหมัดกัดฟันจนแน่นอย่างคนที่ไม่พึงใจอย่างยิ่ง แต่สำหรับสตรีที่อยู่ข้างบุรุษผู้เป็นหนึ่งแห่งแผ่นดินโยวโจวมาเนิ่นนานย่อมรักษากิริยาและเก็บอารมณ์เกรี้ยวกราด ซึ่งอาจจะแสดงความโง่เขลาออกมาจนเป็น ‘เหยื่อ’ ให้แก่เหล่าคนชั่วได้ใช้ประโยชน์เข้าทางฝ่ายพวกมัน พระนางจึงข่มอารมณ์เอาไว้ “เช่นนั้นก็เรียกท่านเจ้ากรมพิธีการมาเข้าเฝ้าไอเจียก็แล้วกันในเมื่ออยากให้ไอเจียรับนางเป็นบุตรสาวบุญธรรมก็ให้ไปเป็นตามนั้น” ในเมื่อเรียกร้องมาพระนางก็จะจัดการให้มันถูกต้อง ดีเสียอีกให้หวังลี่จูและลี่เจินเป็นบุตรสาวบุตรธรรมในวันนี้จะประกาศออกไปให้แจ่มชัดถึงการที่สองพี่น้องสกุลหวังช่วยเหลือตนเองจากโจรป่าเมื่อหลายวันก่อน ผู้คนจะได้ยำเกรงในตัวของสองพี่น้องสกุลหวัง อนาคตสกุลหลวนหรือแม้แต่เจ้าลูกสุนัขป่าจวินหลางหากจะรังแกหวังลี่จู่ก็คงทำได้ไม่เต็มที่ “รับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ” กู้หยวนหมิงนั้นพอเห็นไทเฮาทรงรับฟังเหตุผลที่เขาต้องการจะสื่อสารก็รับคำแล้วจึงจากไปทำตามพระบัญชาของสตรีอันดับหนึ่งแห่งโยวโจวทันที ส่วนทางฝ่ายของหวังลี่จูนั้นก็หรี่ดวงตาลงมาครึ่งหนึ่งอย่างใช้ความคิด หากจะต้องมีพิธีการ ‘รับบุตรสาวบุญธรรม’ เช่นนั้นพิธีการสมรสพระราชทานระหว่างนางกับเจ้าปีศาจสามเขาจ้าวจวินหลางก็ย่อมต้องยืดเวลาออกไปอีก …ดีต่อใจ… หญิงสาวคิดด้วยดวงตาเคลิ้มฝันยิ่งยืดระยะออกไปยาวนานเท่าใดนางยิ่งพึงใจ ยืดไปสักเจ็ดถึงแปดสิบปีหวังลี่จูผู้นี้จะไปเต้นระบำลิงถวายท่านเทพซุนหงอคงสักสองร้อยรอบเลยทีเดียว คนไม่อยากเป็นชินหวางเฟยแต่อยากเป็น ‘พระสนม’ มากกว่าคิดด้วยความพึงใจกับ ‘ข่าวดี’ ที่ตนจะยังไม่ต้องแต่งงานกับเจ้าปีศาจสุนัขสามตาเช่นจ้าวจวินหลางในเร็ววันนี้ “เอ่อไทเฮาเพคะ เช่นนี้ก็หมายความว่าลี่จูยังไม่ต้องเร่งแต่งงานใช่หรือไม่เพคะ” เพื่อความแน่นอนนางจะได้นอนหลับสนิทฝันดีไปอีกหลายค่ำคืนสักหน่อย มันจึงต้องถามย้ำให้มันรู้ขาวรู้ด่างกันไป “ย่อมต้องเป็นเช่นนั้นนั่นแหละลี่จู หึ!...รอให้รากฐานของฝ่ายฮ่องเต้แน่นหนากว่านี้ก่อนเถิด มีโยวโจวย่อมไม่มีสกุลหลวน!!!” เริ่มเข้าสู่อารมณ์ทรงพระโหดอยู่ในโหมดอำมหิตอีกแล้วนะเพคะเสด็จพระมารดา…บุญธรรม…เอิ่ม…ต้องเรียกลำดับญาติเช่นไรกันจึงจะถูกต้อง หวังลี่จูชักเริ่มสับสนว่าตนเองนั้นสมควรจะเรียกไทเฮาว่า ‘ท่านแม่บุญธรรม’ หรือสมควรจะต้องเรียกว่า ‘ท่านแม่สามี’ กันดี …งงเด้อ… พอหญิงสาวพ้นจากการ ‘ร่ำเรียน’ มารยาทอันงดงามของสตรีชนชั้นสูงและสตรีภายในรั้วในวังจนร่างกายแทบจะแตกสลายเสียยิ่งกว่านางไปแบกตะกร้าผักหรือลากรถเข็นผักลงจากภูเขาเสียอีก ถึงแม้หนึ่งวันนางกับน้องสาวจะต้องตื่นตั้งแต่ยามอิ๋นเช่นเดิม หากแต่ภารกิจในแต่ละหนึ่งวันไม่เหมือนเดิมสักอย่าง เริ่มจากต้องไปแช่น้ำอุ่นให้กล้ามเนื้อและเส้นเอ็นของร่างกายนั้นคลายตัวจะได้ไปฝึกยืดเหยียดร่างกายได้โดยง่ายจากหลังแสนจะแข็งผ่านมาหนึ่งเดือนพวกนางสองพี่น้อง ทั้งเอวและแผ่นหลังนั้นอ่อนจนสามารถทำสะพานโค้งใช้ปากแตะกับขอบของถ้วยน้ำชาได้แล้ว ลีลาการก้าวเดิน แผ่นหลัง หัวไหล่ ลำคอไปจนถึงช่วงเอวถูกกำกับเคร่งครัดจนสองพี่น้องแซ่หวังคิดปีนกำแพงพระราชวังหลวงหนีออกไปเสียหนึ่งวันหลายหมื่นหลายแสนรอบ ทว่าความเป็นจริงก็มีเพียงต้องกัดฟันอดทนเท่านั้น ยิ่งพวกนางแอบได้ยินคำดูหมิ่นจากเหล่านางกำนัลว่าสาวชาวบ้านป่าบ้านดอยเช่นนางก็คล้ายกับห่านป่าจะเอาขนของนางพญาหงส์มาแทรกก็มิอาจเปลี่ยนสัญชาติห่านป่าไปได้หรอก ทำให้สองพี่น้องที่เจอมาทุกความลำบากมีหรือจะมายอมแพ้เพียงแค่เรื่องขี้ปะติ๋วเช่นนี้ ดังนั้นเพียงหนึ่งเดือนจาก ‘ห่านดงหลงเข้าวัง’ สองพี่น้องสกุลหวังก็งดงามหมดจดทั้งหน้าตา ผิวพรรณ ไปจนถึงกิริยามารยาท คำพูดคำจาล้วนมิอาจแยกออกได้เลยว่าอดีตพวกนางนั้นเป็นเพียงคนจรหมอนหมิ่นไร้บ้านและญาติพี่น้อง เป็นเพียงเด็กกำพร้าสองคนที่อาศัยอารามซือไท่มาก่อน “ลี่จูถวายพระพรฝ่าบาทเพคะ/ลี่เจินถวายพระพรฝ่าบาทเพคะ” นี่อาจเป็นหนึ่งเดือนที่จ้าวจวินข่ายได้มีเวลาว่างมากพอจะมาร่วมมื้อค่ำยังตำหนักของไทเฮาผู้เป็นพระมารดาจึงถึงกับมองสองสตรีแซ่หวังด้วยความตื่นละตึง งดงามราวกับเทพธิดาตัวน้อยเป็นเช่นไรฮ่องเต้หนุ่มที่มีสตรีเต็มหวังหลังเพิ่งได้ประจักษ์กับตาของตนเองก็วันนี้นี่เอง “อะแฮ่ม!...ฝ่าบาท น้องสาวบุญธรรมของพระองค์ถวายพระพรจนตะคริวจะกินแล้วนะ!” ที่หลิวไทเฮากล่าวนั้นมิได้เกินจริง สองพี่น้องย่อกายถวายพระพรจนข้อหัวเข่าทั้งคู่นั้นแทบจะทรุดเนื่องจากฮ่องเต้นั้นไม่กล่าวอนุญาตให้พวกนางลุกขึ้นเสียทีนั่นเอง “อะ…เอ่อ…ตามสบายเถิด” กว่าจะได้สติสองพี่น้องก็แทบจะเดินกลับไปนั่งประจำที่ของตนเองนั้นคล้ายเป็ดขาบาดเจ็บไปเลย แต่ก็ดังคำกล่าวของคนโบราณนานมาว่า ‘คนงาม’ ทำอันก็ไม่น่ารังเกียจ เช่นนั้นแม้สองพี่น้องแซ่หวังเดินเป็นเป็ดก็ยังงดงามราวกับนางพญาหงส์! “ขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ/ขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ” ทั้งสองพี่น้องต่างกล่าวคำมากมารยาทและรู้ความไม่เป็นเช่นในอดีตเมื่อหนึ่งเดือนก่อนสักนิดที่ทั้งเงอะงะทำอันใดก็ผิด ๆ ถูก ๆ ไปหมด คนเราย่อมต้องรู้จักปรับตัว หวังลี่จูและหวังลี่เจินเองก็เช่นกัน พวกนางเองมาอยู่ในถิ่นที่ของ ‘หงส์'จะทำตนเป็น ‘อีกา’ อยู่ท่ามกลางฝูงของเหล่าพญาหงส์และมังกรทองได้เช่นไร “แล้วนี่จวินหลางมันหายศีรษะไปที่ใด?” คนที่จำเป็นต้องมานั้นดันกลับไม่เห็นแม้แต่เพียงเงาจนหลิวไทเฮาทนแขวนท้องรอจ้าวจวินหลางหรือชินอ๋องไม่ไหวก็สั่ง ‘ยกอาหาร’ จานหลักและ ‘ของหวาน’ รวมถึงผลไม้ต่าง ๆ ซึ่งนี่ก็อาจจะเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้สองพี่น้องแซ่หวังนั้นมีสุขภาพดีขึ้น ประกอบกับสวมอาภรณ์เนื้อดีกับฝึกกิริยามารยาทอย่างเข้มข้น เช่นนั้นจากเด็กสาวบ้านป่าอาศัยพระอารามซือไท่หลบฝนหลบแดด บัดนี้ยากจะเห็นวี่แววเคอะเขินต่อหน้าพระพักตร์ของฮ่องเต้กันทั้งคู่ แต่ภายในใจของพวกนางจะมีผู้ใดทราบดีไปกว่าพวกนางเองเล่า? พวกนางคือสกุณาโบยบินอยู่บนท้องฟ้ากว้างขวาง บัดนี้ต้องกลายเป็นนกน้อยในกรงทองหวังลี่จูและหวังลี่เจินจึงเบื่อหน่ายอย่างยิ่ง ในคราวแรกอาหารภายในวังหรูหราและรสชาติอร่อยที่ครั้นพอกินหนึ่งคำนั้นราวกับพวกนางนั้นได้อยู่บนสวรรค์ หากแต่ยิ่งนานวันพวกนางกลับคิดถึงแป้งหมี่ย่างไฟ คิดถึงหัวมันเทศเผาที่ทั้งหวานทั้งหอม สุดท้ายหญิงสาวคนพี่ก็ตัดสินใจเดินตรงเข้าไปหาหลิวไทเฮาแล้วกล่าวออกไปอย่างตรงไปตรงมาว่านางไม่ต้องการตำแหน่งอันใดในวังหลวงนี้ทั้งสิ้น พวกนางไม่ต้องการเป็นบุตรสาวบุญธรรมของหลิวไทเฮา และหวังลี่จูไม่ต้องการแต่งงานกับชินอ๋องไปเป็นชินหวางเฟยแห่งเป่ยหนิงเลย “พวกเราสองพี่น้องต้องการเพียงที่ดินผืนงามหนึ่งผืนกับบ้านหลังขนาดกลางสักหนึ่งหลังล้วนพอแล้ว ไม่ต้องการอันใดทั้งสิ้น สตรียิ่งใหญ่หม่อมฉันมิต้องการเพคะ” ผ่านมาจนครบสองเดือนแล้วภายในวังหลวงแห่งนี้ หญิงสาวก็ทราบได้แล้วว่าตนเองไม่เหมาะสมที่จะถูกกักขังอยู่เพียงในรั้วสูงท่วมศีรษะของวังหลัง แล้วนางก็คิดว่าที่เป่ยหนิงย่อมไม่แตกต่างจากวังหลวงเสียเป็นแน่ “มิต้องการ?” หลิวไทเฮาที่กำลังทำเครื่องหอมด้วยกลีบของดอกบัวสีชมพูกับกลีบของดอกกุหลาบสีขาววางทุกสิ่งภายในมือลงแล้วยกมือโบกไล่เหล่านางกำนัลกับขันทีน้อยให้พ้นออกไป ที่เหลืออยู่มีเพียงซูเหิงขันทีคนสนิทของหลิวไทเฮาเท่านั้นที่ยืนคอยใช้แส้สีขาวที่เป็นขนส่วนหางของม้าโบกไล่แมลงให้แก่หญิงสูงวัย แต่งดงามไม่ต่างกันกับสตรีวัยเฉียดสี่สิบกว่าปีเพียงเท่านั้น “เพคะ” เสียงตอบของหวังลี่จูนั้นมั่นคงอย่างยิ่งอันใดไม่พอ ดวงตางดงามคู่นั้นยังคงแน่วแน่ไม่มีหลบหลุกหลิกเลยสักนิด หญิงสาวคิดมาดีแล้ว การจะตอบแทนบุญคุณของพวกนางสองพี่น้องสกุลหวังขอเพียงที่ดินหนึ่งแปลงกับบ้านหนึ่งหลังขนาดย่อมไม่จำเป็นต้องยิ่งใหญ่หรือกว้างขวาง พวกนางเพียงต้องการบ้านหลังเล็กอยู่กันอย่างสงบสุข เลี้ยงสัตว์ ปลูกผัก มีอยู่มีกินไม่ต้องมากแต่ก็ไม่ได้น้อยจนเกินไป เพียงเท่านี้พวกนางสองพี่น้องสกุลหวังล้วนพึงใจเหลือเกินแล้ว “ลองกล่าวเหตุผลของพวกเจ้ามาสักสองถึงสามข้อจะได้หรือไม่ว่าเหตุใดจึงไม่ต้องการตำแหน่งใด ทั้งยังไม่ต้องการจะเป็นบุตรสาวบุญธรรมของหลิวไทเฮา มิต้องการจะแต่งงานกับชินอ๋องจ้าวจวินหลางหรือ ไหนจงกล่าวมาให้ข้าได้ฟังอย่างจริงใจ มิต้องกล่าวเอาอกเอาใจหญิงแก่เช่นข้าสักเพียงนิดได้เลยลี่จู ขอให้คิดเสียว่าข้าเป็นเพียงหญิงแก่ที่ไปขอเตียงและแย่งมันเผาของพวกเจ้าเท่านั้นก็พอ มิต้องคิดถึงตำแหน่งไทฮงไทเฮาอันใดทั้งสิ้น” สตรีสูงศักดิ์ยกมือเรียวสวยขึ้นมาลูบศีรษะของหวังลี่เจินส่วนสายตานั้นก็มองไปยังหวังลี่จูด้วยสายตามากมายไปด้วยความเมตตาอารี ซึ่งน้อยเสียยิ่งกว่าที่หลิวไทเฮานั้นจะ ‘ปรานี’ เด็กสาวกับหญิงสาวสกุลใดเช่นที่มีให้แก่สองพี่น้องแซ่หวังมาก่อน “คือ…หม่อมฉันกับเจินเจินเป็นดังสกุณา เติบโตมาอย่างอิสรเสรีเพคะ อาจลำบากลำบนแต่ ‘รวงรัง’ ก็ยังเหมาะสมกับสกุณามากกว่า ‘กรงทองคำ’ อยู่วันยันค่ำเพคะ พวกเราคือ ‘สกุณา’ จากป่าดงหาใช่ ‘นางพญาหงส์’ ที่ไปหลงอยู่ในป่าดงเพคะ” หวังลี่จูกล่าวชี้แจงให้ฝ่ายหลิวไทเฮานั้นได้กระจ่างแจ้งด้วยกิริยานอบน้อมอย่าง ‘เด็ก’ กล่าวกับ ‘ผู้ใหญ่’ ท่านหนึ่งเท่านั้น มิใช่สตรีที่กำลังจะก้าวไปอยู่ในฐานะสำคัญเจรจากับสตรีอันดับหนึ่งแห่งโยวโจวแม้แต่น้อย “ลี่จู ลี่เจิน ข้าชอบพวกเจ้าตั้งแต่วันแรกที่พบหน้า ยิ่งคืนนั้นที่ข้านอนอยู่เพียงเตียงไม้แสนจะแข็งโป๊กราวก้อนหินกับพื้นที่เย็นยะเยือก แต่ภายในท้องนั้นทั้งอิ่มและอุ่นด้วยมันเทศเอาธรรมดา ๆ” หลิวไทเฮายังคงดึงเอากายอรชรของหวังลี่เจินมานอนหนุนตักของตนเอง ส่วนมือนั้นก็ลูบไล้เส้นผมนุ่มของเด็กสาวพลางย้อนคิดไปถึงในค่ำคืนนั้น มันแสนจะธรรมดามาก แต่สตรีสูงศักดิ์ผู้นี้กลับจำทุกอารมณ์ทุกความรู้สึกแสนสั้นนั้นได้อย่างไม่รู้ลืมเลย การนอนคุยกับเด็กสาววัยคราวลูก ได้ฟังแนวคิดอันแปลกแตกต่างที่จวบจนป่านนี้นางใกล้หกสิบปีแล้วกลับไม่เคยคิดได้เช่นเด็กสาวพวกนี้มาก่อน ‘ของดี’ นั่นคือสิ่งที่หลิวไทเฮาคิดได้ แล้วจะผิดหรือที่มารดาผู้หนึ่งจะเลือก ‘ของซึ่งดีที่สุด’ ให้กับบุตรชายที่นางรักมากกว่าตนเองเช่นนี้??? นางทราบดีตนเองแก่เฒ่าลงทุกวัน หากวันใดจากไปบุตรชายทั้งสองได้ภรรยาดีนางที่เป็นมารดาแม้ตายไปก็คงตายอย่างสบายอกสบายใจหรือเรียกง่าย ๆ ว่า ‘ตายตาหลับ’ นั้นเอง ยิ่งบัดนี้หวังลี่จูกับหวังลี่เจินแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่สนใจยศถาบรรดาศักดิ์ หลิวไทเฮาก็ยิ่งคิดว่าตนเองนั้นมองสตรีคู่นี้ไม่ผิด หวังลี่จูเข้มแข็ง ความคิดความอ่านก้าวหน้าต้องเคียงข้างจ้าวจวินหลางเป่ยหนิงจึงจะรุ่งเรือง เผ่านอกด่านหรืออาณาจักรใกล้เคียงยากจะรุกราน ส่วนหวังลี่เจินนั้นเด็กสาวสดใสบริสุทธิ์ไร้จริตมารยา ต่างจากพระสนมที่บุตรชายคนโตจำเป็นต้องรับเข้ามาเพื่อความมั่นคงของฐานรากแห่งราชบัลลังก์ ซึ่งเห็นเด็กสาวร่าเริงสดใสดูแล้วยิ้มหนึ่งครั้งบุปผาทั้งใต้หล้าพลันหลบลี้ก็จริง แต่ภายใต้ความสดในร่าเริงกลับมีด้านในที่แข็งแกร่งมิแตกต่างจากพี่สาวของนางเลย ฮองเฮาแห่งโยวโจวต้องเป็นหวังลี่เจินจึงเหมาะสมที่สุดแล้ว เพราะหากเป็นนางแล้วล่ะก็จ้าวจวินข่ายจะมีทั้ง ‘อาหารตา’ และอาหาร ‘ใจ’ อยู่ตรงหน้า และสตรีเช่นหวังลี่เจินล้วนมีแต่ความสุขเป็นแน่ นางแก่เฒ่าจนถึงวันนี้จะมองคนไม่ออกได้อย่างไร ครั้นเมื่อพบเด็กสาวสองคนที่นางคล้ายไปพบอัญมณีล้ำค่าเช่นนี้แล้วจะปล่อยให้หลุดมือไปได้อย่างไร “ลี่จูเอ๊ย…ลี่จู…ร่วมสองเดือนมานี้ข้าผิดต่อเจ้าสักครั้งมีหรือไม่?” หลิวไทเฮามือหนึ่งลูบศีรษะเล็กของหวังลี่เจิน ส่วนอีกหนึ่งข้างกลับหันไปจับดึงเอามือเรียวงดงามราวลำเทียนไขแต่กลับหยาบกร้านอย่างคนที่เกิดมาก็ต้องทำงานหนักมาทั้งชีวิตนั้นมาวางบนตักอีกข้างหนึ่ง กิริยาดังกล่าวแม้แต่ซูเหิงกงกงที่อยู่รับใช้ใกล้ชิดหลิวไทเฮามาตั้งแต่พระนางยังเป็นหลิวกุ้ยเฟย จนกลายมาเป็นหลิวฮองเฮา และบัดนี้อีกฝ่ายเป็นหลิวไทเฮามาอีกร่วมห้าปี กลับไม่เคยเห็นพระนางกล่าวกับผู้อื่นที่มิใช่สามีและบุตรก็เพียงวันนี้นี่เอง…
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม