ทางฝ่ายสองพี่น้องแซ่หวังนั้นยังต้องนั่งกุมมือกันอยู่อีกพักใหญ่ด้วยความรู้สึกเสียขวัญไม่หาย ก็ผู้ใดมันจะไปคาดคิดกันว่าอยู่ดีไม่ว่าดีกลับมาถึงพระอารามซือไท่ก็พบเจอเข้ากับขบวนเกี้ยวรับตัว ‘พระชายาเอก’ ของชินอ๋องมาจอดรอรับกันอยู่ถึงหน้าประตูเช่นนี้
ชีวิตของพวกนางเป็นเพียงบุตรสาวชาวนาชาวไร่ เป็นเพียงเด็กกำพร้าอาศัยอยู่ก็แค่เพียงพระอารามซือไท่มาหลายปีแล้วบัดนี้กลับมาพลิกผันจะต้องขึ้นเกี้ยวเข้าวังมันไม่ถูกต้อง หากใครไม่เสียสติแล้วพากันวิ่งหนีพวกนางยอมให้เหล่านั้นมาช่วยกันถีบใส่ขาคู่เลยเอ๊า!
“ไปอาบน้ำกันเถิดแล้วค่อยคิดกันอีกทีว่าจะเอาเช่นไร หากสงสัยนักก็เพียงพากันไปหาท่านหัวหน้าซือไท่เหยียนก็คงได้คำตอบทั้งหมด”
สุดท้ายแล้วคนเรามันก็ต้องยอมรับและคิดหาวิธีแก้ไข ความจริงย่อมยากจะเปลี่ยนผัน มีเพียงต้องแก้ไขมิใช่แก้ตัวหรือวิ่งหนีปัญหาเช่นที่พวกนางสองพี่น้องกระทำ แต่…นางก็เพียงสิบแปดสิบเก้าน้องสาวคงไม่ต้องพูดถึง หวังลี่เจินนั้นก็เพียงสิบสี่ปีนับแล้วยังเป็นเพียงเด็กสาวทั้งคู่จะให้เข้มแข็งหยัดยืนต้านรับปัญหาเช่นคนที่เติบโตกว่านี้ได้อย่างไรกันเล่า
…ก๊อก…ก๊อก…ก๊อก…
…เฮือก!!!...เฮือก!!!...
สองศรีพี่น้องต่างผวากายสะดุ้งเฮือกไปตาม ๆ กัน จากนั้นก็ต่างหันไปมองหน้ากันเลิ่กลั่กอย่างคนที่มีความผิดติดตัว แต่วิ่งหนีก็วิ่งกันเท้าแทบพลิกมาพร้อมกัน สุดท้ายด้านหลังชนผนังแล้วนอกจากสู้และเผชิญหน้ากับปัญหายังจะมีหนทางใดให้เด็กกำพร้าสองคนหลบลี้หนีหายไปที่ใดไปได้อีกเล่า?
…แอ๊ด…
หวังลี่จูค่อย ๆ แง้มประตูเปิดออกแผ่วเบา แล้วยื่นใบหน้าแสนจะมอมแมมจากหยาดเหงื่อที่นางตากแดดสู้ลมตรากตรำทำงานหนักมาตลอดทั้งวันออกไปมองดูว่าเป็นผู้ใดที่มาหาตนเองถึงเรือนพักเก่าและโทรมท้ายอารามในเวลาใกล้มืดค่ำ ซึ่งปกติแล้วซือไท่ทั้งหลายจะรวมตัวกันอยู่ในหอพระสวดมนต์กันไปอีกเป็นสองถึงสามชั่วยามโน่นเลย
“เอ่อ...” พอเห็นว่าเป็นหนึ่งในสองคนติดตามข้างกายเหยียนซือไท่ ใบหน้างดงามของหญิงสาวก็ดูซีดเผือดอย่างน่าเห็นใจแล้ว แต่ถึงจะน่าเห็นใจเพียงใดทว่าวันนี้เรื่องใหญ่ไม่น้อยหวังลี่จูคงต้องถูกลงโทษแล้ว
“เหยียนซือไท่กล่าวฝากความมาว่าให้พวกเจ้าอาบน้ำชำระล้างเรือนกายให้สะอาด สวมอาภรณ์ที่สมควรแล้วไปพบเหยียนซือไท่ที่หอพระ”
ซือไท่น้อยเอ่ยกับสองพี่น้องแซ่หวังอย่างเห็นใจ เพราะดันไม่ถูกตาต้องใจผู้ใดในใต้หล้าหมื่นแสนมากมายหวังลี่จูกลับมิได้โชคดีถึงเพียงนั้นกลับถูกสวรรค์ลงโทษนรกลงทัณฑ์ไปถูกตาต้องใจหลิวไทเฮา จนพระนางหมายมั่นปั้นมือว่าต่อให้ต้องเผาทั้งอารามไห่เหมี่ยวสะใภ้คนเล็กจะผิดไปจากหวังลี่จูไปมิได้...ช่างน่าสงสารเหลือใจ...อามิตตาพุทธ...
แล้วหวังลี่จูกับหวังลี่เจินจะทำอันใดได้ พวกนางเป็นเพียงผู้อาศัย หากทำผิดย่อมหนีโทษไม่พ้นทราบดีว่าการแสดงกิริยา ‘โกยอ้าว’ หนีคนที่มาจากวังหลวงย่อมหาใช่สิ่งดีเลย แต่ผู้ใดจะไม่เสียสติหากมาพบเจอเหตุการณ์เลวร้ายเช่นเดียวกันกับที่หญิงสาวเจอ หญิงสาวกล่าวรับคำแทนน้องสาวน้ำเสียงแผ่ว จากนั้นก็ชวนกันไปอาบน้ำแล้วแต่งกายด้วยอาภรณ์ผ้าดิบสีขาวเก่าไปทางเหลืองเล็กน้อย
ก็นี่แหละอาภรณ์ที่ดีที่สุดของพวกนางสองพี่น้องแล้ว อาภรณ์จะหรูหราไปด้วยเหตุอันใดพวกนางเป็นเพียงหญิงสาวบ้านป่าอาศัยอารามหลวงเป็นที่พักพิง เพียงนำผ้าดิบสำหรับห่อซากศพที่ซักทำความสะอาดอย่างดีแล้วนำมาตัดเย็บพอนุ่งห่มให้อบอุ่นร่างกาย ไม่เปิดเปลือยเนื้อกายให้ผู้ใดเห็นย่อมเพียงพอแล้ว ผ้าแพรพรรณเนื้อดีราคาแพงหวังลี่จูมองว่าไม่จำเป็นเลย เงินที่เหนื่อยยากหามาต้องรวบรวมเก็บเอาไว้สร้างเนื้อสร้างตัวมิใช่มีเอาไว้ซื้อหาอาภรณ์เนื้อดีมาแต่งกายล่อตาล่อใจบุรุษ
“เหยียนซือไท่/เหยียนซือไท่”
พอมาถึงหอพระคัมภีร์ขนาดใหญ่ที่เพียงพวกนางก้าวเข้าไปก็ให้รู้สึกว่าพวกตนเองนั้นตัวเล็กกว่ามดตัวจิ๋วเสียอีก ยิ่งบัดนี้เหล่าซือไท่ไม่ว่าจะเด็กหรือโตไปจนถึงแก่เฒ่าหายจากไปหมดแล้ว สถานที่แห่งนี้ยิ่งดูกว้างใหญ่และวังเวงอย่างยิ่ง
“ไปนำเบาะรองนั่งมาคนละหนึ่งอันแล้วนั่งสงบจิตสงบใจทบทวนความผิดของตนเองให้ดี คืนนี้มิต้องกลับเรือน” น้ำเสียงราบเรียบแต่กลับทำให้หนึ่งหญิงสาวกับหนึ่งเด็กสาวนั้นหวาดกลัวจับใจได้ไม่ยาก สองพี่น้องไปหยิบเบาะรองนั่งมาคนละหนึ่งชิ้นแล้วนำมาวางลงที่หน้าพระโพธิสัตว์ขนาดยักษ์ โดยมีเหยียนซือไท่กับสองผู้ติดตามนั่งหันหลังให้กับองค์พระโพธิสัตว์แต่ดันหันหน้ามาทางด้านนางทั้งสองพี่น้องอย่างกับจะบอกด้วยกิริยาว่าหากเหยียนซือไท่ไม่ลุกจากไป พวกนางก็ต้องทนนั่งก้นเป็นเหน็บกันไปจนกว่าท้องฟ้าด้านนอกจะสว่างไสวไปด้วยแสงแรกของอรุณรุ่ง!
แล้วก็ไม่ผิดไปจากที่สองพี่น้องแซ่หวังคิด พวกนางถูกให้นั่งอยู่ในหอพระคัมภีร์ใหญ่ตลอดค่ำคืนไปพอจวบจนถึงต้นยามเฉิน พวกนางจึงถูกอนุญาตให้ออกจากหอพระคัมภีร์ดังกล่าวได้ ซึ่งกว่าจะลุกขึ้นมาแล้วการเดินแทบจะกลายเป็นเป็ดขาเจ็บเนื่องจากนั่งนานจนเหน็บกิน ทว่าเพียงพวกนางสองพี่น้องแซ่หวังนั้นก้าวเท้าเปล่าเปลือยพ้นธรณีของประตูใหญ่ออกมา หัวเข่าของหวังลี่จูและหวังลี่เจินก็อ่อนจนต้องคุกเข่าลงไปกับพื้นโดยแรง เมื่อภาพตรงหน้าลานกว้างใหญ่ของพระอารามหลวงไห่เหมี่ยวแห่งนี้มีเกี้ยวสีแดงหลังโตจอดรอคอยพร้อมกับทหารองครักษ์ พร้อมด้วยนางกำนัลกับขันทีมากมายร่วมสองร้อยชีวิต โดยที่หน้าเกี้ยวหลังโตมีบุรุษสวมอาภรณ์สีแดงอยู่บนหลังอาชาที่ถูกตกแต่งด้วยผ้าสีแดงเช่นกันนั่งเด่นเป็นสง่าอยู่ด้วยใบหน้าบึ้งตึงไม่น้อย
“หวังลี่จูจงรับราชโองการ”
คนผู้อยู่บนหลังอาชาตัวโตซึ่งพอมีผ้าตกแต่งมัดเป็นโบและพู่ขนาดยักษ์นั้นช่างดูชวนขบขัน แต่สองพี่น้องแซ่หวังกลับมิอาจหัวเราะออกมาได้แม้เพียงครึ่งคำ!
...นรกมันเถอะ!...
ฟังพระราชโองการไปหวังลี่จูก็สบถด่าทอทั้งนรกและสวรรค์ไม่หยุด เพราะมิอาจรู้ว่าตนเองสร้างบาปก่อกรรมหนักอันใดมาจึงต้องมาได้รับตำแหน่ง ‘พระชายาเอก’ ของชินอ๋องจ้าวจวินหลาง เจ้าบุรุษหยิ่งยโสโอหังสมควรตายตรงหน้ากันด้วย นางไม่ได้ข้ามภพมาหวังมีชีวิตยิ่งใหญ่ ไม่อยากข้องเกี่ยวกับราชวงศ์ นางอยากเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา แม้แต่ตำแหน่งพระสนมในวังหลวงนางยังไม่เคยใฝ่ฝัน เพราะที่นางนั้นคิดฝันก็เพียงมีที่ดินหนึ่งผืนไม่ต้องมากมายนับพันหมู่ ขอเพียงสักสิบหรือแค่ห้าหมู่เพียงกำลังของตนเองกับน้องสาวนั้นทำไหว กับบ้านหลังเล็กอบอุ่นหนึ่งหลัง
ทว่านี่นางกลับถูกสวรรค์ชิงชังนรกบงการให้ต้องขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวหลังโตมาด้วยชุดอาภรณ์ที่ตัดเย็บมาจากผ้าห่อซากศพเพียงเท่านั้น หรือนี่จะเป็นด่านเคราะห์หนักที่นางกับน้องสาวต้องเผชิญก่อนจะได้เลื่อนขั้นขึ้นไปเป็นเทพเช่นในนวนิยายกันเล่า?
คำถามทั้งหลายไร้คนจะตอบ เพราะสุดท้ายหวังลี่จูก็ขึ้นมานั่งจับมือกับน้องสาวแน่นบนเกี้ยวเจ้าสาวหลังใหญ่โตมโหฬาร ทั้งที่ในคราวแรกผู้เป็นเจ้าบ่าวนั้นออกคำสั่งให้ทหารองครักษ์ของเขามาจับแยกน้องสาวของนางออกไป ทว่าต่อให้เขาเอาดาบมาจ่อลำคอนางก็ยอมตายแต่ไม่ยอมแยกจากหวังลี่เจิน สุดท้ายจุดจบจึงกลายมาเป็นเช่นนี้
“พี่สาวเงินของพวกเรา? ...”
หวังลี่เจินนั้นยังห่วงทรัพย์ที่พวกนางนั้นใช้แรงงานกับหยาดเหงื่อแลกเอามา ซึ่งหวังลี่จูก็จับถุงเงินพร้อมกำไลหยกและแหวนหยกดึงมันออกมาจากด้านในหน้าอกเสื้อส่งให้น้องสาวได้เห็น ซึ่งหวังลี่เจินจึงค่อยถอนหายใจโล่งอก
“ผู้ใดจะคิดกันว่ากระทำตนเป็นคนดีช่วยสาวงามจากโจรป่าหนึ่งครั้ง พวกเราสองพี่น้องจะซวยอภิมหาซวยเช่นนี้” หวังลี่เจินที่เพิ่งทราบเช่นกันว่าพวกตนนั้นได้ช่วยหญิงงามที่เป็นถึงไทเฮาจากเจ้าสองโจรป่าอ้วนผอม ผู้มีดวงตาไร้แววคิดปล้นผู้ใดไม่คิดดันมาคิดปล้นหลิวไทเฮา สุดท้ายพวกมันได้ตายอย่างสบายไปแล้วที่ต้องรับกรรมหนักกลับเป็นพวกนางสองพี่น้องเช่นนี้
“ลี่จู เจินเจิน”
พอเกี้ยวหลังโตมโหฬารเข้ามาหยุดลงยังลานกว้างที่คนโง่แสนโง่ก็ยังทราบได้ว่านี่คือพระราชวังหลวงแห่งโยวโจว หญิงงามที่พวกนางสองพี่น้องช่วยชีวิตเอาไว้ก็ตรงเข้ามาจับไม้จับมือพวกนางทั้งสองอย่างไม่รังเกียจ ผิดกับฝ่ายคนเป็นเจ้าบ่าวของนางที่ทำท่าทำทางดังพวกนางสองพี่น้องคือซากศพที่ขุดขึ้นมาจากหลุมชวนสยองขวัญก็มิปาน
“ลี่จูถวายพระพรหลิวไทเฮาเพคะ/ลี่เจินถวายพระพรหลิวไทเฮาเพคะ” สองพี่น้องถึงจะมาจากบ้านป่าเมืองเถื่อนแต่ธรรมเนียมเหล่านี้ย่อมทราบดีอยู่บ้าง พลันนั้นสายตาของหวังลี่จูก็เหลือบไปเห็นบุรุษในอาภรณ์สีขาวจนสะท้อนแสงกับดวงอาทิตย์จนความขาวสะอาดนั้นคล้ายกับมีรัศมีเรืองรองออกมาจากรอบกายของอีกฝ่ายได้เช่นนั้น
...มหาเทพ...
ดวงใจของหญิงสาวที่ไม่เคยหวั่นไหวกับบุรุษใดมาก่อนนั้นกลับเต้นแรงจนมันจะทะลุออกมาจากหน้าอกด้านซ้ายของนางเสียให้ได้ ยิ่งเขาเดินใกล้เข้ามาใบหน้าแสนจะหนาเพราะตากแดดสู้ลมมานานถึงสี่ปีก็พลันร้อนวูบวาบไปหมด นี่หรือไม่คืออาการ ‘ตกหลุมรัก’ ของหญิงสาวนางหนึ่งกับบุรุษผู้หนึ่ง เขาหล่อเหลา สะอาดสะอ้าน ใบหน้านั้นแย้มยิ้มเล็กน้อย คิ้วกระบี่เป็นเช่นไรวันนี้หวังลี่จูเพิ่งประจักษ์ แต่ละก้าวที่เขาเดินราวกับเหยียบอยู่บนก้อนเมฆ
...หล่อขั้นเทพมันเป็นเช่นนี้นี่เอง...
หากดวงตาของนางสามารถเป็นรูปหัวใจสีชมพูดังในภาพยนตร์โฆษณาที่นางเคยผ่านหูผ่านตามาจากชาติภพเก่าได้คาดว่ามันคงเป็นไปแล้ว แต่สายตาที่หญิงสาวมอง ‘พี่ชาย’ ของเขาด้วยดวงตาหวานหยาดเยิ้มราวน้ำผึ้งใกล้จะหยดก็ทำเอาจ้าวจวินหลางก้าวเดินมาบังจนโลกสีชมพูของหวังลี่จูมืดมนคล้ายตนเองถูกถีบตกจากดินแดนสวรรค์มาเจอ ‘จอมปีศาจ’ ตัวใหญ่ราวกับยักษ์ยังไม่พอ ใบหน้าเขายังดุดันเสียยิ่งกว่าปีศาจกระทิงก็มิปาน
...อวสานงานหล่อขั้นเทพของข้าแล้ว...
“พบเจอฮ่องเต้ไยจึงไม่คุกเข่าเอาแต่จับจ้องพระองค์ เจ้าอยากถูกตัดแขนตัดขาถูกควักลูกนัยน์ตาหรือไร!!!”
...ฮะ...ฮ่องเต้!!!...
ฮ่องเต้หรือนี่? ไยเขาจึงหล่อเหลาจนนางอยากเสียตัวถึงเพียงนี้ หากไทเฮาจะยกนางให้แก่ฮ่องเต้หวังลี่จูคงจะสุขสันต์ราวกับได้ขึ้นสวรรค์มันทั้งวันยันค่ำเป็นแน่ แต่...
“อย่ากล่าวคำน่ากลัวเช่นนั้นกับน้องสะใภ้เลยอาหลาง นางอยู่เพียงอารามซือไท่ข้าไม่ถือสาหรอก น้องสะใภ้”
...ฮือ...ข้าไม่อยากเป็นน้องสะใภ้เพคะ ข้าอยากเป็นพระสนมของพระองค์...
...ผลัวะ!...ตุ๊บ!...
“โอ๊ย!...”
“จ้าวจวินหลาง ไอ้เด็กเสียสติ!”
หลิวไทเฮากำหมัดแน่นต้องข่มใจอย่างหนักที่จะไปตบศีรษะชินอ๋องต่อหน้าลานหน้าพระราชวังหลวง นั่นก็เพราะเจ้าลูกชั่วมันถึงกับใช้เท้าเตะตัดขาตรงข้อพับของหวังลี่จูจนนางทรุดกายคุกเข่าลงไป แต่เพราะเป็นการเตะตัดขาให้ล้มลงไปหัวเข่าของหญิงสาวจึงกระแทกกับพื้นโดยแรง ต่อให้หญิงสาวคิดว่าตนเองหนังหนาหน้าทนเพียงใดแต่หัวเข่าของนางมันบอบบางจึงแตกและได้เลือดกลางแดดของปลายยามอู่เข้าเสียแล้ว
“เรียกหมอหลวงมาเร็วเข้า ผู้ใดก็ได้ตามหมอหลวงมาเดี๋ยวนี้!!!” เสียงของหลิวไทเฮานั้นไม่เบาเลย จากที่เป็นคนถึกทนแต่มารยาของสตรีทุกผู้ล้วนมีเช่นกัน หวังลี่จูเองก็มีไม่น้อยไปกว่าสตรีใด พอเห็นหัวเข่าแตกจนได้เลือดแดงฉานนางก็แสร้งเป็นลมทันที ซึ่งหวังลี่เจินนั้นได้รับสัญญาณจากพี่สาวแล้วจึงเร่งกรีดร้องว่าพี่สาวของตนเองแพ้โลหิตเห็นแล้วจะหมดสติทันที
“มา เจิ้นอุ้มนางเข้าไปด้านในเอง” ที่จ้าวจวินข่ายต้องออกหน้ามาอุ้มหวังลี่จูเอง ก็เพราะว่าในสายตาของทหารองครักษ์หลายร้อยกับขุนนางน้อยใหญ่ไหนจะนางกำนัลและขันทีต่างก็เห็นกันเต็มตาว่า ‘ชินอ๋อง’ ใช้เท้าเตะตัดขาว่าที่พระชายาเอกจนล้มคว่ำ หากยังรอช้าหญิงสาวกับน้องชายของตนเองคงได้ขายหน้าคนทั้งโยวโจวเป็นแน่!
...อร้าย!...นี่สินะที่เขาถึงเรียกว่า ‘สู่ขิต’ ทั้งที่ยังหายใจอยู่...
หวังลี่จูเปิดตาขึ้นข้างหนึ่งพร้อมแอบแลบลิ้นปลิ้นตาให้แก่จ้าวจวินหลางโดยที่แม้แต่หลิวไทเฮาก็ไม่เห็น ส่วนมือเจ้ากรรมก็ลูบไล้ลวนลามหน้าอกตึงแน่นของ ‘ฮ่องเต้’ ไปด้วยความสุขขั้นสุดปล่อยให้ ‘ชินอ๋อง’ โกรธจนหน้าเขียวเป็นพระอินทร์อยู่เพียงผู้เดียวกลางลานกว้างหน้าพระราชวังหลวง โดยมีสายตาของเหล่าขุนนางมองจับจ้องมาราวกับว่าเมื่อครู่เขาเพิ่งไปข่มขืนแล้วสังหารแพะตายกระนั้น!
...บิดามันเถอะ!!!...
นางช่างเป็นปีศาจจิ้งจอกจำแลงมาเสียเป็นแน่ ทั้งพระมารดาของเขา ทั้งเสด็จพี่ของเขาจึงหลงกลนางปีศาจจิ้งจอกหวังลี่จูกันไปจนสิ้น เช่นนี้ยิ่งคิดจ้าวจวินหลางก็คิดแค้นเพราะเห็นกับตาว่านางไม่ได้เป็นลมทว่านางเสแสร้ง นางเจ้ามารยา นางมากเล่ห์ เขาไม่เข้าใจเลยว่าพระมารดาผู้ฉลาด ฮ่องเต้ผู้เป็นพี่ชายซึ่งแสนจะเฉลียวไยจึงมองมารยาร้อยเล่มเกวียนของนางปีศาจหวังลี่จูไม่ออกสักคนเดียว!
“คอยดูนะข้าจะกระชากหน้ากากนางปีศาจร้ายของเจ้าให้ได้หวัง-ลี่-จู” ชินอ๋องหนุ่มคำรามในลำคออย่างสุดแสนจะแค้นใจ แต่ก็แอบโกรธตนเองที่โง่งมไปแสดงกิริยาเหล่านั้นต่อหน้าคนหลายร้อย เรียกว่ายกนี้เขาพ่ายแพ้อย่างหมดรูปสิ้นลายให้แก่นางปีศาจร้ายแซ่หวังผู้นั้นแล้วจริง ๆ เห็นคงเพราะเมื่อวานเขาถูกเสด็จแม่ตบศีรษะจนสมองส่วนดีกระเด็นหายไปแล้วเป็นแน่ วันนี้เขาจึงทำเรื่องโง่เขลาด้วยการไปเตะตัดขาเรียวของสตรีต่อหน้าลานหน้าพระราชวังหลวงเช่นนี้
“ชินหวางเฟยทรงต้องห้ามโดนน้ำไปสักสามถึงเจ็ดวันนะพ่ะย่ะค่ะ” หมอหลวงผู้ซึ่งมาทำแผลที่หัวเข่าทั้งสองข้างของนางเอ่ยปากเตือน เพราะถึงที่เป็นลมนางเสแสร้งแต่เรื่องหัวเข่าของนางแตกนี้เจ็บจริงและแตกจริงมิได้มีการแสดงช่วยแม้แต่น้อย
“ขอบคุณท่านหมอหลวงเจ้าค่ะ”
“โอ๊ะ!...มิกล้า...มิกล้า...ชินหวางเฟยทรงอย่าได้กล่าวเช่นนั้น กระหม่อมมิกล้ารับพ่ะย่ะค่ะ”
...เดี๋ยวนะ? ....
“ข้าคือข้า...ข้ายังไม่ได้แต่งงานกับชินอ๋องเลย พิธีก็ยังไม่ได้ร่วม ผูกผมก็ยังมิได้ทำ เอ่อ...อย่าเพิ่งเรียกข้าด้วยตำแหน่งนั้นเลย” คนยังไม่อยากได้สามี...ไม่สินางไม่อยากได้สามีเป็นเจ้าคนชั่วจวินหลาง แต่นางอยากเสียตัวให้ฮ่องเต้มากกว่า
...สวรรค์เปลี่ยนสามียังทันอยู่ไหม??? ...
“กล่าวอันใดเช่นนั้นกันเสี่ยวลี่ นับจากฮ่องเต้ออกพระราชโองการแต่งตั้งเจ้าไปตั้งแต่เมื่อวานจะกราบไหว้ฟ้าดินเคารพบรรพชนหรือไม่ บัดนี้เจ้าก็คือภรรยาของเสี่ยวหลางแล้ว เจ้าน่ะเป็นสะใภ้ของข้าแล้วนะเสี่ยวลี่”
...ฮือ...สะใภ้ของเสด็จแม่ลี่จูนั้นก็อยากเป็นนะเพคะ แต่...ลี่จูอยากเป็นสะใภ้ใหญ่น่ะ เปลี่ยนได้หรือไม่?!...
หวังลี่จูอยากจะร้องอยากจะตะโกน แต่สถานที่แห่งนี้คือวังหลวง ทำดีย่อมได้ดี ทว่าหากผิดไปเพียงนิดเดียวนางกับน้องสาวอาจจะลำบากจนถึงขั้นได้ไปสู่สุสานแทนที่จะเป็นห้องหอหรือตำหนักชินอ๋องแห่งเป่ยหนิงก็เป็นไปได้ หญิงสาวคิดตกเช่นนั้นก็มีเพียงก้มหน้าเผชิญด่านเคราะห์ใหญ่หลวงในชาติภพนี้ไปให้จงได้ แต่พอคิดถึงหน้าอกแน่นกำยำของฮ่องเต้หวังลี่จูก็ให้เสียดายจนอยากจะเอาศีรษะโขกเหลี่ยมเสาให้ตายเป็นรอบที่สองยิ่งนัก!!!