สองพี่น้องยังตื่นเช้าและไปรับจ้างทุกสิ่งที่มันจะได้เงิน และไม่ทำผู้ใดเดือดร้อน รวมไปถึงตัวของพวกนางเองด้วย ถึงจะมีเงินแต่พวกนางไม่เคยคิดจะฟุ้งเฟ้อ สองพี่น้องมีเพียงอยากซื้อที่ดิน อยากมีบ้านเป็นของตนเอง พวกนางอยากยืนด้วยสองเท้าและอยู่รอดได้ด้วยสองมือของตัวเองเท่านั้น
หญิงสาวผู้อื่นในโยวโจวพอเข้าสู่วัยสิบสามสิบสี่ปีก็วุ่นวายต้องเตรียมตัวออกเรือนหรือรอแม่สื่อมาทาบทาม ทว่าหวังลี่เจินนั้นมีพี่สาวเช่นหวังลี่จูที่คอยปลูกฝังความคิดของสตรีจากต่างภพที่เจริญก้าวหน้ากว่าโยวโจววแห่งนี้อาจนับหมื่นปีว่า ‘ไร้สามีนั้นไม่ไร้ลมหายใจ ทว่าเจ้าไร้ที่นอนอบอุ่น ไร้อาหาร และน้ำดื่มกินนั่นต่างหากจึงตายแน่แท้’ ซึ่งเด็กหญิงวัยสิบขวบปีจนบัดนี้สิบสี่ปีแล้วจึงไม่ทุกข์ร้อนกับเรื่องบุรุษหรือสามีเลย
เด็กสาวคิดเพียงหนึ่งวันมีข้าวให้กินอิ่ม มีเตียงนอนอบอุ่นที่พี่สาวคอยเป็น ‘หมอนข้าง’ ตื่นมามีงานให้ได้ทำ ได้อยู่กับพี่สาวที่รักนาง ปกป้องนางไม่ห่างแยกจากกัน เพียงเท่านี้ความทุกข์ยากใดในใต้หล้าก็ไม่อาจทำอันใด ‘หวังลี่เจิน’ ผู้นี้ได้อีกต่อไป จะอดจะอิ่มก็ขอเพียงมีอ้อมแขนอบอุ่นของ ‘หวังลี่จู’ เด็กสาวก็ไม่หวั่นไหวต่อบุรุษใดทั้งสิ้น
“เดี๋ยววันนี้เร่งส่งผักสักหน่อยจะได้เหลือเวลาพอไปหาดูที่ดินซึ่งประกาศขายกัน”
ขณะแสงแดดแผดจ้าหวังลี่จูที่เข็นรถลากซึ่งบรรทุกตะกร้าผักจนเต็มอัดแน่นหันไปกล่าวแก่น้องสาวคนเดียวด้วยดวงตาเปี่ยมความหวัง เพราะเมื่อเช้าตรู่หวังลี่จูลองเอ่ยปากขอแบ่งซื้อที่ดินของสองผู้เฒ่า หากแต่ทั้งสองนั้นอยากจะเก็บมันเอาไว้รอบุตรสาวที่ถูกแต่งงานออกไปเป็นอนุภรรยาของเถ้าแก่ร้านขายผ้าในตัวเมืองหลวง เพราะชีวิตอนุภรรยานั้นมิได้แน่นอน หากสามีกับฮูหยินเอกเอ็นดูย่อมอยู่สุขสบาย หากแต่สามีไม่เอาไหนกับฮูหยินเอกใจคอคับแคบชีวิตย่อมอยู่เช่นตกนรกทั้งที่ยังหายใจได้อยู่
กับสองผู้เฒ่ายังแอบคาดหวังอยู่ลึก ๆ ว่าบุตรชายที่หายไปหลายปีอาจย้อนกลับมา นี่แหละหนอ…บิดามารดาต่อให้ลูกชายลูกสาวแยกย้ายเติบโตกล้าแกร่งเพียงใด พวกเขาก็จะรอคอยเป็นกำลังอยู่ด้านหลัง ทั้งยังคงอยากเตรียมที่นอนอบอุ่น เตรียมบ้านที่แสนจะปลอดภัยเอาไว้รอคอย ไม่ว่าลูกชายหญิงเหล่านั้นจากไปอยู่สุขสบายจนหลงลืม สองผู้เฒ่าซึ่งเฝ้ารอพวกเขาอย่างมิอาจทราบได้ว่าในวันใดที่เหล่าลูกหลานเหล่านั้นจะกลับมาเลยก็ตาม แต่สองผู้เฒ่าก็จะไม่หยุดห่วงใยและรอคอยจนลมหายใจสุดท้ายสิ้นสุดลง นั่นแหละพวกเขาจึงหยุดห่วงใยและรอคอย
ดังนั้นพวกนางสองพี่น้องจึงจำเป็นต้องออกไปหาที่ดินซึ่งมีคนอยากจะขายแทน เท้าเรียวก้าวเดินหนักแน่น สองแขนออกแรงลากรถเข็นจนเห็นเส้นเอ็นปูดโปน แต่หวังลี่จูคนนี้ไม่เคยกลัวความลำบากที่มีงานให้ได้ทำ สิ่งที่หญิงสาวจากยุค 2022 กลัวที่สุดก็คือการไร้งานให้ได้ทำจนหยาดเหงื่อไหลซึม แต่เงินที่ได้มาจากหยาดเหงื่อทุกเหวินมันน่าภาคภูมิใจมิใช่น้อย นางจึงพึงใจที่ตลอดทั้งวันแม่ค้าร้านนั้นเรียกใช้พ่อค้าร้านโน้นจองคิวต่อไป
กว่าจะเสร็จงานแล้วเตรียมออกเดินท่องไปยังตรอกที่นางอาศัยถามเหล่าพ่อค้าแม่ขายว่ามีที่ใดต้องการขายที่ดินพร้อมบ้านที่ไม่ใหญ่โตและแพงระยับจนพวกนางจับต้องไม่ถึงบ้าง ซึ่งที่เดินดูมาสามแห่งก็มีแต่ราคาแพงเกินไป ที่ดินก็ไม่เหมาะสมให้เพาะปลูกรวมไปถึงเลี้ยงสัตว์ ที่สำคัญมันแพงจนเงินที่มีอาจซื้อได้เพียงประตูหนึ่งบานของ ‘บ้าน’ เหล่านั้น ไม่ว่าจะยุคใดมิติไหนที่ดินพร้อมบ้านในเขตเมืองหลวงล้วนแพงจนฟังแล้วอยากเป็นลมล้มทั้งยืนทั้งสิ้น
“หรือพวกเราสมควรย้ายไปอยู่ตามบ้านนอก หรือไม่ก็ต้องห่างไกลจากเมืองหลวงกันนะเจินเจิน”
ระหว่างเดินกลับขึ้นภูเขาไห่เหมี่ยวหวังลี่จูก็เอ่ยขึ้นมาอย่างใช้ความคิด เพราะราคาที่ดินในเมืองใหญ่มันแพงเกินไปแถมคับแคบหลังคาเรือนแทบจะเกยกันเรียกได้ว่า ‘แออัด’ ขนาดนั้นถึงมีกำลังซื้อได้ แต่จะเลี้ยงหมู เลี้ยงเป็ด และไก่ เพื่อนบ้านอาจไม่พึงใจนัก แต่นับจากฟื้นขึ้นมาจากความตายได้สี่ปีนางยังไม่เคยไปไหนไกลจากเขาไห่เหมี่ยวเลยนี่แหละปัญหาใหญ่ยิ่ง หวังลี่เจินรายนั้นก็ไม่ต่างจากนางเหมือนกัน
“ไปอยู่ต่างเมืองก็ย่อมไกลจากเมืองหลวง ไกลจากตลาด และบ้านเรือนของเหล่าคนร่ำรวยนะเจ้าคะพี่สาว เราจะทำงานเช่นไร ต่อให้ปลูกผักได้ เลี้ยงเป็ด เลี้ยงไก่ได้ แต่ตลาดที่เราจะขายมันเล่า?”
ที่หวังลี่เจินกล่าวนั้นก็มิใช่ว่านางจะไม่คิด ตรงกันข้ามคิดหนักทีเดียวจึงเลือกจะลองหาซื้อที่ดินให้ไม่ไกลจากเมืองหลวงเกินร้อยลี้ แต่ผลที่ได้ก็เป็นดังที่เห็น เดินหาจนเท้าพุพองก็ยังไม่เจอที่ดินผืนที่เหมาะสมเลย ส่วนที่เหมาะสมเจ้าของก็ไม่ยอมจะขายให้
“เอาเป็นว่าพวกเราลองหาดูให้มันทั่วเขตของมหานครหยวนเฟิ่งแห่งนี้เสียก่อนก็แล้วกัน จะซื้อที่ดินและบ้านอย่างน้อยก็ต้องเลือกให้ดีที่สุด ใจร้อนไปเราอาจจะไม่ได้ของดีดังที่คาดหวังก็เป็นไปได้”
สองพี่น้องพูดคุยปรึกษากันไปเรื่อยมิได้เร่งร้อน ซึ่งพอขึ้นมาถึงบนพระอารามนางชีที่พวกตนเองอาศัยอยู่มาถึงสี่ปีก็ต้องแปลกใจที่เหตุใดวันนี้ผู้คนล้วนมากมาย มีทหาร มีเกี้ยวหลังโตหรูหราแปลกตากับนางกำนัลและขันทีนับได้อาจจะเกินร้อยชีวิต ทั้งสองพี่น้องแซ่หวังจึงต่างหันมองหน้ากันด้วยกิริยาตกใจไม่น้อย แต่บางทีวันนี้อาจมีเชื้อพระวงศ์มากราบไหว้พระหรือสวดมนต์ก็เป็นไปได้ พอคิดได้เช่นนั้นสองสาวพี่น้องแซ่หวังจึงใช้เส้นทางอ้อมอีกด้าน ไม่ต้องการเดินผ่านพวกเหล่าคนใหญ่คนโตย่อมดีกว่า เพราะพวกนางมันเป็นคนต่ำต้อยนั่นเอง
“แม่นางทั้งสองช้าก่อน”
มีขันทีสูงวัยตรงเข้ามาขัดขวางทางของสองพี่น้องอย่างว่องไวผิดกับอายุของเขาอย่างยิ่ง หวังลี่จูเร่งดันน้องสาวเอาไปไว้ด้านหลังอย่างปกป้องเช่นแม่ไก่ปกป้องเหล่าลูก ๆ ของมันก็มิปาน ทำเอาซูเหิงกงกงคนสนิทของไทเฮาออกจะพึงใจกิริยาของเด็กสาวคนเป็นพี่อยู่ไม่น้อย เขาเองก็มีพี่น้องพอมาเห็นความรักที่พี่สาวมีให้แก่น้องราวกับมารดา ซูเหิงนั้นจึงเอ็นดูเด็กสาวตรงหน้าไม่น้อย
“มีอันใดเจ้าคะ พวกเราสองพี่น้องเป็นเพียงผู้อาศัยอารามแห่งนี้เท่านั้น หากท่านหัวหน้าขันทีประสงค์สิ่งใดหรือว่าต้องการให้ข้าน้อยไปรับใช้สิ่งใดเชิญกล่าว...”
เด็กสาววัยเพียงสิบแปดปีแถมยังข้ามภพทะลุมิติมาย่อมพูดจากับคนภายในวังหลวงไม่เป็น แต่หวังลี่จูนั้นก็พยายามอย่างยิ่งที่จะกล่าวให้ฟังดูอ่อนน้อมอย่างสุดความสามารถ
“มิทราบว่าแม่นางน้อยทั้งสองใช่แม่นางแซ่หวังหรือไม่?” คราวนี้หวังลี่จูหันไปมองหน้าน้องสาวเล็กน้อย แต่จะให้ปฏิเสธคงยากแล้ว เพราะสายตาของเด็กสาวเหลือบไปเห็นเหยียนซือไท่นั้นออกมายืนรับรองใครบางคนอยู่ มองได้ว่าคนผู้นั้นเป็นบุรุษร่างกายสูงใหญ่แต่งกายดีมากทีเดียว หากโกหกคงไม่รอดเป็นแน่ คาดคิดทบทวนอยู่ภายในใจครู่หนึ่งหวังลี่จูจึงหันไปแย้มยิ้มนอบน้อมแล้วกล่าวออกไปว่า...
“มิผิดเจ้าค่ะ พวกเราทั้งสองพี่น้องมีแซ่หวัง ข้าหวังลี่จู ส่วนด้านหลังของข้านี้คือหวังลี่เจินเป็นน้องสาวเจ้าค่ะ” นางยังคงความนอบน้อมไม่เปลี่ยน เพราะคนเราจะผิดหรือถูกหากเจอคนใหญ่โตอ่อนน้อมเข้าไว้คงส่งผลดีกว่าทำตนแข็งกร้าวอยู่ดี
“ซูเหิงคารวะชินหวางเฟยหวังพ่ะย่ะค่ะ”
“!!!”
“!!!”
สองพี่น้องต่างถอยหลังจนแทบล้มทั้งยืนเมื่อขันทีเฒ่าทรุดลงคุกเข่าแล้วกล่าวคำเช่นนั้น ไม่พอเขายังก้มศีรษะลงไปแนบกับพื้นดิน หันไปมองรอบกายทหารทั้งหลายกับนางกำนัลและขันทีอ่อนวัยต่างก็ทำกิริยาเดียวกับท่านขันทีแซ่ซูนามว่าเหิง เด็กสาวกับหญิงสาวต่างก็ตกใจจนแทบจะเป็นลมหงายหลังล้มลงไปศีรษะฟาดพื้นกันทั้งคู่
พวกนางมิใช่คุณหนู ตลอดมามีแต่ต้องก้มศีรษะให้ผู้อื่น พอในวันนี้กลับมีคนนับร้อยกว่าชีวิตมาคุกเข่าพร้อมกล่าวคำคารวะพวกนางด้วยตำแหน่งชินหวางเฟยจะไม่ให้พวกนางตกใจจนแทบหมดสติได้อย่างไร
“จะยืนทึ่มทื่อรอช้าอยู่ไยเร่งกล่าวให้พวกเขาลุกขึ้นสิ!” เสียงดุดันขุ่นเข้มตวาดก้องมาจากด้านหน้าอารามของซือไท่ทั้งหลาย ทำเอาหวังลี่จูกับหวังลี่เจินสะดุ้งเฮือกแล้วหันหน้าประสานสายตาต่อกันด้วยสายตาทั้งมึน ทั้งงงงันและตกใจรวมไปถึงไม่เข้าใจอันใดทั้งสิ้น พวกนางเพิ่งกลับมาจากตลาดเช่นทุกวัน ทว่าพอมาถึงแล้วต้องเจอเหตุการณ์เช่นนี้ พวกนางคิดว่าเป็นผู้ใดก็ยากจะตั้งตัวและทำใจยอมรับได้เช่นกัน
“มะ...หมายความว่าเช่นไรกัน? ...นี่มันคือสิ่งใดกันเจ้าคะ???” หวังลี่จูกว่าจะควานหาลิ้นกับน้ำเสียงของตนเองก็ผ่านไปอีกเป็นครู่ใหญ่ ให้ตายอีกพันครั้งนางก็มิอาจจะทำใจยอมรับได้ว่าบัดนี้กลับมีทหาร นางกำนัล และขันทีมากมายมาคุกเข่าก้มศีรษะแล้วเรียกกันว่า ‘ชินหวางเฟยหวัง’ แล้วเป็นแซ่หวังคนใดคือชินหวางเฟยเล่า?
“หากเจ้ามีแซ่หวัง นามว่าลี่จูก็เป็นเจ้า ที่จะเป็นพระชายาเอกของข้า”
“!!!”
“!!!”
สองพี่น้องถึงกับตาโตปากอ้าค้างกว้างจนหากมีไข่เป็ดหนึ่งฟองย่อมยัดเข้าไปได้หมดฟองเสียเป็นแน่ ‘พระชายาเอก’ อันใดกัน? แล้วชินหวางเฟยแซ่หวังนี่คือสิ่งใด พวกนางสองพี่น้องกำลังเผชิญหน้ากับความฝันพร้อมกันอยู่ใช่หรือไม่?
“มะ...ไม่...ข้าเอ่อ...ข้าไม่ใช่พระชายาเอกแล้วยิ่งไม่ใช่ชินหวางเฟยแซ่หวังอันใดนั่นทั้งสิ้น พวกท่านมาผิดที่แล้ว” ในที่สุดหวังลี่จูก็พบลิ้นกับน้ำเสียงของตนเอง นางเร่งระรัวลิ้นปฏิเสธอย่างไม่คิดมากอันใดทั้งสิ้น เสร็จแล้วนางก็จับจูงมือของน้องสาววิ่งหนีทันที ไม่สนใจแล้วว่าทางด้านหลังจะบังเกิดเสียงเอะอะอึงมี่อันใดทั้งสิ้น
“พี่สาวนี่มันเรื่องอันใดกัน?” พอวิ่งกลับมาถึงเรือนนอนของตนเองแล้วปิดประตูแน่นหนาก็ทรุดลงไปนั่งหอบหายใจที่พื้นด้วยกันทั้งคู่ หวังลี่เจินจับมือของพี่สาวแน่น หวังลี่จูเองก็หันมาโอบกอดน้องสาวเอาไว้แนบแน่น หากเรื่องดังกล่าวมันเกิดขึ้นจริง คนแซ่หวังผู้นั้นคือตัวของนางจริง หญิงสาวก็ไม่มีวันทอดทิ้งน้องสาวไปเด็ดขาด
“ไม่รู้เช่นกัน แต่ข้าจะไม่มีวันทอดทิ้งเจ้าไปที่ใดเด็ดขาด เราทั้งสองจะไม่มีวันแยกจากกันเป็นแน่” หวังลี่จูกล่าวออกมาอย่างมั่นคง ถึงนางเองจะไม่ทราบอันใดเลย ไม่ทราบทั้งสิ้นว่าวันนี้เกิดอันใดขึ้น มันจะเป็นความเข้าใจผิดก็ดี เป็นเรื่องจริงก็ช่าง เช่นไรนางก็จะไม่ยอมเข้าวัง และจะไม่ทอดทิ้งน้องสาวเด็ดขาด
ทางด้านชินอ๋องจ้าวจวินหลางที่ถูก ‘พระชายาเอก’ วิ่งหนีไปต่อหน้าต่อตากลับเป็นฝ่ายอ้าปากค้างแทนบ้างแล้ว ก็เกิดมาจนบัดนี้ยี่สิบห้าปี เป็นบุรุษชาตินักรบมิเคยเลยเพียงหนึ่งครั้งที่จะมีสตรีใดวิ่งหนีตนเองราวกับเขานั้นคือปีศาจน่าหวาดกลัว เป็นสุนัขป่ากระหายโลหิตเช่นนี้ ทั้งที่ตัวของเขาเป็นถึงน้องชายคนเดียวของฮ่องเต้ ทั้งยังยกขบวนสมเกียรติมารับนางไปตบแต่งเข้าวัง แต่หวังลี่จูนั้นกลับสวมเท้าสุนัขโกยอ้าว วิ่งหนีเขาและคนของเขาไปไกลจนไม่เห็นฝุ่นเช่นนี้
“เอ่อ...ชินอ๋องแล้วเช่นนี้พวกเราต้องทำเช่นไรต่อไปพ่ะย่ะค่ะ”
ซูเหิงกงกงหันไปถามผู้เป็น ‘ว่าที่เจ้าบ่าว’ ที่มัวแต่ยืนอึ้งตกตะลึงตาค้างมองตามทิศทางที่ว่าที่ ‘เจ้าสาว’ วิ่งหนีหายไปกับบรรยากาศใกล้ค่ำด้วยน้ำเสียงเกรงอกเกรงใจ ไม่ทราบเช่นกันว่าตนเองจะต้องทำอย่างไรต่อไป ก็คนที่จะเป็นเจ้าสาววิ่งหนีไปแล้ว ก็เกิดมาจนแก่ชราวัยถึงหกสิบปีก็ยังไม่เคยพบเจอเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อนเลย
“จะให้ทำอย่างไรเล่า นางวิ่งหนีไปแล้วก็คงหมายความว่านางปฏิเสธไม่อยากแต่งงานกับเปิ่นหวาง เช่นนั้นเราก็กลับวังเท่านั้นน่ะสิ ไป...กลับ!!!”
กล่าวจบจ้าวจวินหลางก็ก้าวสวบสาบตรงไปยังอาชาคู่ใจ ก่อนจะโหนเรือนกายแกร่งขึ้นหลังของมันแล้วกระตุกบังเ**ยนมุ่งหน้ากลับวังหลวงไปพบกับมารดาและพี่ชายอย่างอดจะสาแก่ใจหนึ่งส่วนที่เหลืออีกเก้าส่วนคือเสียหน้าอย่างมากเสียไม่ได้ แต่จะแสดงออกไปย่อมเสียกิริยาของชินอ๋องเช่นเขาเป็นแน่ ดังนั้นชายหนุ่มจึงควบขี่อาชากลับไปอย่างองอาจมิเสียกิริยาสักน้อยให้ผู้ใดได้สงสัยหรือทราบอารมณ์ของชินอ๋องหนุ่มว่าเขานั้นรู้สึกเช่นไร
...ปัง!...
“แล้วเจ้าก็ปล่อยให้พวกนางวิ่งหนีไป!?” หลิวไทเฮาตบโต๊ะด้านข้างกายดังปังสนั่นจนนางกำนัลและขันทีรับใช้ใกล้ชิดผวาไปทั่วหน้า อย่าได้กล่าวเพียงนางกำนัลและขันที แม้แต่ฮ่องเต้จ้าวจวินข่ายเองยังสะดุ้งไปด้วยเลย แต่ก็อดใจหัวเราะออกมาพรืดใหญ่ไม่ไหว ก็จะมีสตรีสติดีที่ใดบ้างที่วิ่งหนีเกี้ยวเจ้าสาวจากตำหนักชินอ๋อง เพราะแม้แต่สกุลใหญ่ทั้งหลายล้วนพยายามอย่างยิ่งที่จะได้ขึ้นเกี้ยวดังกล่าว อย่าได้เอ่ยถึงว่าเป็นเกี้ยวตำแหน่งชินหวางเฟยเลย ขอให้เป็นเพียงเกี้ยวของพระชายารองหรืออันดับสามหรือสี่จนถึงห้า สกุลใดต่างก็อยากขึ้นเกี้ยวกันทั้งสิ้น แต่สตรีแซ่หวังกลับวิ่งหนี!
“มิใช่ความผิดของกระหม่อมนะเสด็จแม่ นางไม่เต็มใจ เช่นนั้นที่จะรับนางเป็นพระชายาเอกก็ยกเลิกไปเถิด”
...ผลัวะ!...
“โอ๊ย!...เสด็จแม่ตบศีรษะข้าด้วยเหตุอันใด!!!” ผู้ใดจะคาดคิดกันว่าหลิวไทเฮาจะตบศีรษะชินอ๋องเช่นนี้ ชายหนุ่มหันซ้ายแลขวาจึงค่อยโล่งใจนึกได้ว่านี่คือห้องหับมิดชิดระหว่าง ‘ครอบครัว’ มิได้ไปอยู่ท่ามกลางนางกำนัลและขันทีหรือเหล่าองครักษ์ มิเช่นนั้นจอมทัพใหญ่คงสิ้นคุณค่ากลายเป็นเพียงสุนัขทรงเลี้ยงของหลิวไทเฮาอย่างแน่นอน
“ตบไล่ความโง่เขลาของเจ้าเช่นไรเล่าจวินหลาง” หลิวไทเฮาออกอาการเกรี้ยวกราดไม่รักษากิริยาอันใดมันแล้ว ก็ดูเจ้าลูกโง่มันทำเสียก่อน สตรีดีคู่ควรกลับดวงตาไร้วี่แววกลับมองไม่เห็น แต่มารยาสตรีตื้นเขินของหลวนจิ้งอวี่มันกลับเห็นเป็นดีงามไปเสียได้
“เอ่อ...เสด็จแม่ตบศีรษะอาหลางเช่นนั้นพอดีพอร้ายสมองของเขากระเด็นหล่นหายไปอีก จากที่โง่เขลาเรื่องสตรีเพียงสิ่งเดียว เขาอาจโง่เขลาเบาปัญญาจนแม้แต่นำทัพยินหลางซื่อก็มิได้นะเสด็จแม่”
“!!?” ตกลงนั่นพี่ชายของเขาแท้จริงใช่หรือไม่??? จ้าวจวินหลางหันไปมองฮ่องเต้จ้าวจวินข่ายคล้ายจะด่าอีกฝ่ายทางสายตาว่าไม่ช่วยเหลือก็จงอย่ามาทับถมจะได้หรือไม่!?
“ฝ่าบาท!” คราวนี้ผู้ที่สะดุ้งเฮือกใหญ่กลับเป็นฮ่องเต้หนุ่มอีกครั้ง ภายในใจคิดว่าตนเองจะหลุดพ้นแล้วทีเดียว ทว่าเพียงแลเห็นสายตาของหลิวไทเฮา จ้าวจวินข่ายนั้นก็ทราบทันทีว่าตนเองก็มิอาจรอดพ้นไปจากปัญหายิ่งใหญ่นี้ของพระมารดาเช่นกัน
“ในเมื่อเจ้าสุนัขป่าโง่เขลามันสิ้นปัญญาจะไปรับพระชายาเอกเข้าวังได้ คราวนี้ก็ต้องเป็นฮ่องเต้ที่ต้องลงมือแล้ว”
...ซวยอันใดเช่นนี้...
จ้าวจวินข่ายคิดภายในใจแต่ เพราะตำแหน่งฮ่องเต้มันค้ำลำคอจึงเสียกิริยาสบถออกมามิได้ ทั้งที่ภายในใจนั้นคิดว่าภรรยาก็มิใช่ของเขา แต่ยังต้องมาคอยเดือดร้อนคิดหาวิธีทำเช่นไรสตรีเสียสติสองพี่น้องแซ่หวังจะไม่วิ่งหนีเกี้ยวเจ้าสาวจากตำหนักชินอ๋องได้อีกเช่นนี้
“เค่อหานกงกงมาพบเจิ้นเดี๋ยวนี้”
“เค่อหานมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ร่างราชโองการออกไปว่า....”
หลิวไทเฮาได้ฟังเช่นนั้นจึงค่อยยิ้มเต็มใบหน้า ก็ถึงขนาดฮ่องเต้ออกพระราชโองการลงไป เช่นไรคนทั่วแผ่นดินจะมีผู้ใดขัดพระราชโองการไปได้ เจ้าลูกชายคนโตของนางนี่ฉลาดสมกับเป็นฮ่องเต้ ไม่เหมือนไอ้เจ้าลูกสุนัขจวินหลางที่ไม่ได้ความอันใดเอาเสียเลย เพียงไปรับพระชายาเอกกลับทำสตรีวิ่งหนีไปทราบไปถึงไหนนางคงอับอายไปห้าหมื่นชาติเสียเป็นแน่!!!