ฝ่ายทางเมืองหลวงของโยวโจวนั้นกำลังดำเนินตามแผนการไปได้ด้วยดี ทางด้านสองพี่น้องสกุลหวังก็เดินทางผ่านเข้าไปยังเป่ยฮั่น แต่สุดท้ายแทนที่ทั้งสองจะไปอยู่อาศัยตั้งรกรากที่แผ่นดินเป่ยฮั่น หากแต่คนทางฝ่ายโยวโจวกลับส่ง ‘ข่าว’ ที่ยากจะเปิดเผยให้กับหวังลี่เจินทราบได้ว่าให้นางไปตั้งรกรากที่เป่ยหนิงแทน
แน่นอนว่าหวังลี่จูย่อมจะต้องดื้อดึงเพราะมันแทบจะไปหายใจรดลำคอของจ้าวจวินหลาง หรือจะกล่าวให้ถูกก็คล้ายกับพวกนางพาตนเองไปอยู่ภายใต้ ‘จมูก’ ของสุนัขป่าเลยเชียวนะ ถึงไม่ใช่คนขี้ขลาดแต่นางก็ไม่อยากเสี่ยงภัยถึงเพียงนั้นจึงขอป้องกันเอาไว้ย่อมดีกว่า
ดังนั้น ‘ข่าว’ จึงถูกส่งตอบกลับไปหาคนทางโยวโจวว่าเช่นไรนางก็จะไม่มีทางพาน้องสาวไปเสี่ยงอันตรายภายใต้ปลายจมูกของจ้าวจวินหลางเด็ดขาด! แล้วสุดท้ายหญิงสาวก็คาดว่าคน ‘ทางโน้น’ ก็คงพอจะทราบนิสัยของน้องชายของตนเองดีกว่าผู้ใด จึงยินยอมให้พวกนางเลือกจะซื้อบ้านพร้อมที่ดินสักหนึ่งผืนเตรียมพร้อมที่จะตั้งรกราก และเพาะปลูกผัก ปลูกข้าว กับเลี้ยงสัตว์กันอยู่ที่เป่ยฮั่นได้สมใจ ไม่ต้องไปอาศัยแผ่นดินเป่ยหนิงหนึ่งในหลายแคว้นของโยวโจวให้ได้หวาดผวากินไม่ได้นอนไม่หลับ เพราะพวกนางต้องระแวดระวังภัยจากจ้าวจวินหลางนั้นเป็นบุรุษอำมหิตยากจะวางใจได้เป็นแน่
“ที่ดินผืนนี้ข้าชอบมากเลยนะขอรับ แต่มันออกจะอยู่ภายในเมืองมากเกินไป” เดินดูที่ดินกันมาหลายวันหลังจากมาถึงเป่ยฮั่นแล้วจึงได้เข้าพักโรงเตี๊ยมขนาดกลาง เพราะสองพี่น้องนั้นต่างคิดตรงกันว่าเพียงโรงเตี๊ยมขนาดกลางก็เพียงพอแล้ว พักสถานที่หรูหราก็สิ้นเปลืองไปเสียเปล่า ๆ มิสู้พักในสถานที่ขนาดกลางราคาย่อมเยาแล้วเก็บเงินทั้งหลายเอาไว้ไปซื้อที่ดินย่อมดีกว่ามาก พวกนางสองพี่น้องทราบดีว่าเงินแต่ละเหวินแต่ละอีแปะนั้นหามาได้ยากเย็นเพียงใด พอมีเงินมีทรัพย์ทั้งหวังลี่จูและหวังลี่เจินจึงรู้จักคิดรู้จักใช้ให้บังเกิดความคุ้มค่ามากที่สุด
“สนใจไหมคุณชายหวังทั้งสอง ที่ดินผืนนี้ฮวงจุ้ยนับว่าไม่เลวเลยทีเดียวนะขอรับ แต่หากว่าผืนนี้ยังอยู่ในเมืองเกินไปพรุ่งนี้มีที่ดินอีกแห่งเป็นไร่ชาพร้อมกับมีบ้านหลังขนาดกลางสวยมากทีเดียวขอรับ”
นายหน้าผู้ทำหน้าที่พาเด็กชายกับเด็กหนุ่มสกุล ‘หวัง’ ที่ดูแล้วไม่ถึงกับร่ำรวยมาก แต่ก็มีสง่าราศีไม่ธรรมเลยทีเดียวเขาจึงทุ่มมเทพาทั้งสองท่องเที่ยวดูที่ดินผืนงามพร้อมบ้านหนึ่งหลังซึ่งคุณชายใหญ่หวังบอกจุดประสงค์ว่าเขาไม่ต้องการ ‘บ้าน’ หลังใหญ่มากนัก เพราะเด็กหนุ่มคนพี่เน้นนั้นต้องการความเป็นส่วนตัว แล้วยังต้องห่างไกลจากเมืองหลวงของเป่ยฮั่นอีกด้วย
ซึ่งนับจากเด็กหนุ่มนั้นมาถึงเมืองติดชายแดนระหว่างเป่ยหนิงกับเป่ยฮั่นแล้ว หวังลี่จูนั้นก็ตั้งหน้าตั้งตาออกสอบถามนับจากวันแรกที่พวกนางมาถึงแคว้นเยี่ยแห่งนี้ โดยการอาศัยสอบถามนายหน้าจากตัวของเถ้าแก่ของโรงเตี๊ยมขนาดกลางแห่งนี้ ซึ่งเถ้าแก่นั้นก็ช่วยแนะนำนายหน้าค้าที่ดินที่เป็นทหารคนสนิทของเขามาให้กับเด็กหนุ่มสองพี่น้องสกุลหวังด้วยความเต็มอกเต็มใจ
“ขอข้าปรึกษากับน้องชายดูอีกครั้งก็แล้วกันนะท่านลุงเฝิง พรุ่งนี้จะให้คำตอบแน่นอนขอรับว่าจะไปดูไร่ชาแห่งนั้นกับท่านลุงอีกหรือจะเลือกที่ดินผืนนี้ดีขอรับ”
หวังลี่จูเดินดูที่ดินพร้อมบ้านหลังขนาดกลางอย่างที่พวกนางต้องการอยู่พอดี หากแต่พื้นดินออกจะมากไปสักหน่อย อีกสิ่งพวกนางก็ไม่อยากได้ที่ดินอยู่เขตเมือง พวกนางอยากได้ที่ดินภายในหมู่บ้านห่างไกลสักหน่อย แล้วอีกสิ่งที่ดินแปลงนี้กว้างขวางเกินไปพวกนางสองพี่น้องก็พลันหวาดเกรงไปว่าอาจจะทำไม่ไหวเพียงเท่านั้น
“ได้สิขอรับคุณชายหวัง หากตัดสินใจเช่นไรก็แจ้งข้าได้เลยรั บรองว่าข้าจะช่วยต่อรองราคาให้สมน้ำสมเนื้อไม่ถูกค้ากำไรเกินควรแน่นอนขอรับ แต่ข้าขอกระซิบว่าไร่ชาดังกล่าวสวยมากที่ดินก็ผืนกำลังพอเหมาะมีบ้านที่เพิ่งสร้างใหม่ราคายังถูกมากกว่าผืนที่เรามาดูกันวันนี้อีกเป็นครึ่งแนะขอรับ”
นายหน้าค้าที่ดินสูงวัยเอ่ยด้วยความหวัง เพราะถึงจะมองดูว่าเด็กหนุ่มทั้งสองจะยังเยาว์วัย แต่สง่าราศีของเจ้าสองพี่น้องกลับโดดเด่นจนน่าจะเป็นบัณฑิตเสียมากกว่าจะเป็นเพียงเด็กหนุ่มที่อยากจะปลูกผักทำสวนทำไร่ แต่เขาอายุปูนนี้แล้วขอเพียงขายที่ดินผืนดังกล่าวตาม ‘ใบสั่ง’ ได้ ค่านายหน้าเป็นกอบเป็นกำย่อมเป็นของตนเองทั้งนั้น ที่สำคัญมิใช่เพียงจะได้ค่านายหน้าจากเจ้าเด็กหนุ่มสองคนผู้นั้นแต่ยังมีบุคคลใน ‘เงามืด’ ที่คอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลังที่จะ ‘จ่าย’ ให้เขางดงาม เพียงแค่ ‘แนะนำ’ ให้สองพี่น้องสกุลหวังไปซื้อไร่ชาบนภูเขาผืนดังกล่าวได้ ตลอดชีวิตที่เหลือเขาเลิกอาชีพนายหน้าไปเลยก็อยู่ได้อย่างสบายเลยทีเดียว แต่หลายวันนี้เขาจำเป็นจะต้องเสแสร้งพาสองพี่น้องไปดูที่ดินหลายแห่งให้สมจริงสมจังยากจะถูกสงสัยได้เพียงเท่านั้น
“ขอบคุณท่านลุงเฝิงมากนะขอรับ” หวังลี่จูหรือบัดนี้คือหวังต้าหรงกับหวังต้าลู่กล่าวขอบคุณและล่ำลากับนายหน้าค้าที่ดินสูงวัยเรียบร้อยจึงตรงกลับขึ้นไปบนห้องพักชั้นสามแล้วจึงเปิดหน้าต่างทอดสายตามองไปยังทิวทัศน์ในยามบ่ายแก่จัดจนใกล้ยามเย็นด้วยกิริยาขบคิดอย่างหนัก
“พี่ใหญ่ท่านกำลังคิดสิ่งใดหรือ” หวังลี่เจินเองก็เดินตามมายืนทอดสายตามองลงไปจากชั้นสามดูความเป็นไปของชีวิตของชาวเมืองแห่งนี้ที่ผู้คนเดินสวนกันไปมา แล้วยังมีรถม้ากับรถลากเป็นระยะ ถึงไม่ได้มีคนเนืองแน่นเช่นโยวโจวแต่แคว้นเยี่ยก็นับว่าสงบสุขไม่น้อย
“กำลังคิดว่าอยากจะลองไปดูไร่ชาที่หมู่บ้านนอกเมืองอีกสักแห่ง เจ้าคิดเห็นเป็นประการใดน้องเล็ก”
ทั้งสองคนพี่น้องต่างได้ตกลงกันว่านับจากเข้าสู่เป่ยฮั่นนั้นแล้วเปลี่ยนตัวตนใหม่เป็น ‘หวังต้าหรง’ กับ ‘หวังต้าลู่’ ก็จะเรียกแทนกันโดยฝ่ายหวังลี่จูนั้นเป็น ‘พี่ใหญ่’ แล้วทางด้านของหวังลี่เจินนั้นจึงได้เป็น ‘น้องเล็ก’ เพื่อง่ายต่อการพูดคุยไม่หลุดนามจริงของกันและออกไปให้เป็นที่น่าสงสัยของคนรอบข้างนั่นเอง
“อันที่จริงที่ดินผืนที่เราไปดูในวันนี้ข้าก็ชอบมากแล้วนะ แต่คิดอีกหน่อยลองไปดูไร่ชาอีกแห่งก็คงไม่เสียหาย อย่างน้อยไร่ชาก็คงมีต้นชาให้เราได้เก็บผลผลิตได้บ้าง กับพื้นที่แห่งนั้นอยู่กลางหุบเขาข้าคิดว่าพวกเราจะชีวิตได้ง่ายกว่าอยู่ในเมืองก็เป็นไปได้”
สองพี่น้องในคราบของหนุ่มน้อยต่างคนต่างยืนเอนกายพิงกับกรอบหน้าต่างคนละฟากฝั่ง ทอดสายตาต่างคนต่างมองไปในจุดหมายที่ต่างกัน ส่วนความคิดนั้นต่างคนก็ต่างคิดกันไปคนละทาง แต่ที่เหมือนกันก็คือพวกนางต่างคนต่างก็คิดแต่เพียงจะปกป้องกัน คิดแต่จะให้อีกฝ่ายมีแต่ความสุข ส่วนของตนเองจะทุกข์ยากลำบากเพียงใดต่างคนต่างก็ไม่มีผู้ใดหวาดกลัวทั้งสิ้น
“พี่ใหญ่ข้ารักท่านมากนะ” ต่างอยู่ในความคิดของตนเองกันจนท้องฟ้าด้านนอกกลายเป็นสีส้ม นกกาพากันโบยบินกลับรวงรัง กลับเป็นหวังลี่เจินที่ตรงเข้าไปกอดเอวอรชรของคนเป็นพี่สาวเอาไว้แล้วก็เกลือกกลิ้งใบหน้าเล็กแต่หวานละมุนละไมไปมากับหน้าอกที่อาจจะไม่ได้ตึงแน่นเช่นบุรุษดังคำกล่าวของสหายหลายนาง แต่หวังลี่เจินนั้นกลับพึงใจและอบอุ่นเหลือเกิน ไม่เคยมีความคิดว่าหน้าอกบุรุษใดจะอบอุ่นและรักใคร่อีกทั้งยังพร้อมจะเสียสละปกป้องนางอย่างโง่เขลา ยอมหักแต่ไม่ยอมให้ชีวิตของนางต้องสุขเพียงกาย ทว่าภายในใจกลับอกไหม้ไส้ขมตรอมตรมยากจะหายจวบจนสิ้นอายุขัยตายลงไปอย่างหาความสุขไม่ได้อีกตลอดชีวิต
“เด็กโง่ กลัวอันใดกันมีพี่ใหญ่อยู่เจ้าย่อมปลอดภัยตลอดไป หิวแล้วกระมังไป อาบน้ำให้ชื่นใจแล้วค่อยลงไปกินข้าวกันที่ด้านล่างกัน” หวังลี่เจินรู้สึกผิดกับคนเป็นพี่สาวยิ่งนักที่นางนั้นหันไปร่วมมือกับหลิวไทเฮา ยิ่งคิดเด็กสาวที่ในสายตาของพี่สาวนางยังคงเป็นเด็กน้อยเสมอก็เหมือนกับตนเองทรยศหักหลังพี่สาว แต่บุรุษป่าเถื่อนเช่นจ้าวจวินหลางนั้นไม่เหมาะสมกับคนดีเช่นหวังลี่จูเลยสักนิด
นางยอมโง่เขลาและยินดีจะกลับไปเป็นพระสนมของฮ่องเต้ จะกลับไปเป็นสตรีของฝ่าบาท โดยมีเวลาให้นางได้อยู่กับพี่สาวต่อไปอีกสามปี เพียงแค่อิสระสามปีนี้เด็กสาวก็พอใจแล้ว พอใจที่จะได้อยู่กับพี่สาวอย่างสาวชาวบ้านธรรมดา ถึงระยะเวลาสามปีแสนสั้น หากแต่นางจะขอใช้มันให้คุ้ม แล้วตลอดชีวิตที่เหลือนางยินดีจะกลับไป ‘ติดคุก’ จะกลับไปเป็นสตรีที่ยากจะมีใจซื่อมือขาวสะอาดไม่เปื้อนคราบโลหิต และคงไม่มีหวังลี่เจินผู้เป็นน้องเล็ก ที่จะแอบอยู่เพียงด้านหลังและคอยให้พี่สาวปกป้องนางไปตลอดชีวิตอีกแล้ว
“พี่ใหญ่ข้าขอโทษนะ” เด็กสาวพึมพำให้กับแผ่นหลังแสนจะบอบบางของหวังลี่จูที่กล่าวแก่นางว่าให้รอ ส่วนนางจะลงไปตามเสี่ยวเอ้อร์ให้พวกเขานั้นนำน้ำอุ่นมาเติมพร้อมถังไม้สำหรับอาบน้ำ เป่ยฮั่นอากาศค่อนข้างหนาว การอาบน้ำทุกวันนับว่าเป็นความสิ้นเปลืองอย่างหนึ่ง ดังนั้นทั้งสองพี่น้องจึงตกลงกันว่าจะอาบน้ำเช่นนี้เพียงสามวันหนึ่งครั้ง ส่วนอีกสองวันพวกนางจึงค่อยเลือกวิธีเช็ดตัวทำความสะอาด นอกเหนือจากว่าในช่วงที่พวกนางเป็นระดูเท่านั้นจึงค่อยอาบน้ำทุกวันได้
ช่างน่าขำไม่น้อยคนพี่ยอมแลกเปลี่ยนกับฮ่องเต้ ส่วนคนน้องที่ดูเหมือนเด็กสาวไร้เดียงสาเสมอกลับมีดวงใจแกร่งกล้าขนาดไปเอ่ยปากต่อรองกับหลิวไทเฮา หากพวกนางทราบว่าตนเองถูกหลิวไทเฮากับฮ่องเต้เล่นตลก คาดว่าพวกนางคงเจ็บปวดไม่น้อย โอวหยางเผยเหิงนั้นยืนกอดอกเฝ้าสังเกตการณ์ ทุกการเคลื่อนไหว หนึ่งฮ่องเต้ทรงทราบ สองหลิวไทเฮาจะต้องได้ทราบว่าภายในหนึ่งวันสองพี่น้องสกุลหวังกินข้าวกี่คำ ดื่มน้ำชากี่ถ้วย ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องพวกนี้ล้วนต้องถูกเขารายงานออกไปทุกกระเบียดนิ้ว
ชายหนุ่มเฝ้ามองเด็กสาวสองคนที่เหมือนหนูตัวน้อยถูกปล่อยออกมาให้วิ่งเล่นจนพวกนางนั้นมัวแต่หลงระเริงสุดท้ายก็ต้องถูก ‘ต้อน’ กลับเข้ากรงไปให้พญาราชสีห์ได้รอกลืนกินเป็นอาหารสาสมใจในท้ายที่สุดอยู่ดี
“พวกนางช่างน่าสงสารจริง ๆ “ สตรีซึ่งแต่งกายกลมกลืนไปกับชาวบ้านของดินแดนเป่ยฮั่น ทว่าจะปกปิดอย่างไร ‘กลิ่นอายสังหาร’ และกลิ่นคาวของโลหิตกลับยังเข้มข้นยากจะฝังกลบได้มิดชิดอยู่ดี
“ก่อนจะสงสารพวกนาง เจ้าสมควรสงสารตนเองกับข้าก่อนเถิดหลี่ซู” โอวหยางเผยเหิงหันไปพูดกับ ‘หัวหน้าหลี่’ องครักษ์ที่หลิวไทเฮาวางใจมากเกินผู้ใด ซึ่งเหตุการณ์ภายในวันนั้นบนทางลงเขาไห่เหมี่ยว หากไม่ใช่เป็นหลิวไทเฮาส่งสัญญาณห้ามเอาไว้ นางคงลงมือก่อนที่เด็กสาวทั้งสองจะได้ลงมือ แต่เพราะมันคือ ‘แผน’ สาวงามช่วยหญิงชรานางจึงไม่อาจขัดคำสั่งได้ จึงต้องปล่อยให้สองพี่น้องสกุลหวังอวดฝีมือกันไป หาไม่เรื่อง ‘แต่งงานตอบแทนบุญคุณ’ คงยากจะสำเร็จเสียเป็นแน่!
...หลิวไทเฮาหาใช่สตรีธรรมดาที่ใดกัน หาไม่นางจะยืนหยัดอยู่ในวังหลวงมาร่วมสามสิบปีได้อย่างไรกันเล่า?...