Chapter.4 โดนแทง
ทุกคนต่างอลหม่านกับการ(แกล้ง)หมดสติของเจ้าสาว หัวใจเธอเต้นรัวสั่นขณะอยู่ในวงแขนของโลเรนโซ่ผู้ทำสีหน้าตื่นตระหนกเป็นห่วงเป็นใยรีบอุ้มพาเธอขึ้นรถขับไปยังห้องพัก
มีทีมแพทย์รอแสตนด์บายไว้เรียบร้อย มือของเขายังกุมมือเธอไว้ไม่ยอมปล่อย ท่ามกลางเสียงพูดคุยของครอบครัวทั้งสองฝั่งยืนห้อมล้อมรอบเตียง
‘หึ..’
..เสแสร้งเก่งเช่นกัน
“หนูมาโอะพักผ่อนน้อยน่ะค่ะ และเมื่อเช้ายังเล่าให้ดิฉันฟังอีกว่านอนไม่หลับทั้งคืนเพราะตื่นเต้นมาก” มาดามอลิซเซ่อธิบายให้ครอบครัวเจ้าสาวได้คลายความกังวลใจอีกระรอก หลังจากหมอตรวจวินิจฉัยอาการแล้วบอกว่าไม่เป็นอะไรมาก
เหตุที่ต้องแกล้งทำเป็นหมดสติเพราะเธอพูดภาษาญี่ปุ่นไม่เนียนเอาเสียเลย มาดามอลิซเซ่กลัวว่าครอบครัวมาโอะจับได้จึงใช้แผนการนี้ไปพลางๆ แล้วหลังจากนั้นเธอต้องเตรียมเรียนภาษาอย่างหนักหน่วง
เธอนอนแน่นิ่งพยายามกำหนดลมหายใจเข้าออกให้เป็นปกติไปพร้อมกับรับน้ำเกลือเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งเป็นสิ่งที่อึดอัดมาก
จนกระทั่งช่วงเวลาอันแสนทรมานได้สิ้นสุด เมื่อทุกคนอันตรธานออกไปจากห้อง เหลือก็แต่เพียงเขา..
“นี่!”
โลเรนโซ่ยกเท้าขึ้นพาดขอบเตียง ปลายรองเท้าสีดำขัดมันวาวเขี่ยสีข้างเจ้าสาวยิกๆ
‘ไอ้คนนิสัยเสีย!’
ส่วนมือที่จับมือเธอนั้นก็รีบสลัดทิ้งอย่างแรง
“นี่ เลิกแสดงละครได้แล้ว”
วาโยเบ้ริมฝีปากลุกพรวดขึ้นนั่งท่าขัดสมาธิพลางถอนหายใจอย่างโล่งอก
..แต่ไม่โล่งใจ หากต้องอยู่กับโลเรนโซ่เพียงลำพังเช่นนี้
ริมฝีปากชมพูระเรื่อบูดบึ้งเปลี่ยนเป็นคลี่ยิ้มออกช้าๆเมื่อ อดัม พี่ชายของเขาย่างกรายเข้ามา
โลเรนโซ่ยิ่นคิ้วเมื่อเพ่งมองแก้มขวาของเขา “นั่นหน้าไปโดนอะไรมาน่ะ?”
แววตาลอกแล่กของวาโยผู้รู้ดีว่ารอยนี้ได้มาจากไหน ทว่า อดัม กระแอมเป็นเชิงบอกกรายๆว่า ‘อย่าได้ปากเปราะเชียววาโย’
หญิงสาวเป็นอันรับรู้ ก้มต่ำมองมือที่ติดอยู่กับสายน้ำเกลือขณะหูกำลังฟังสองพี่น้องคุยกัน
“ห่วงเรื่องของนายเถอะ” อดัมหยุดยืนที่ปลายเตียง สองมือล้วงกระเป๋ากางเกงสแล็คดำ “เอาล่ะ วันนี้เหนื่อยกันมามากแล้ว นายควรพักเรื่องรังแกเจ้าสาวของนายและกลับบ้านกัน ..โดยไม่ต้องก่อเรื่องอะไรเพิ่มอีก”
วาโยรับฟังแล้วอดไม่ไหวที่จะโพล่งถาม
“ไปไหนคะ?”
“ก็ไปอยู่เรือนหอของเธอกับโลเรนโซ่ไง”
“คือ จะให้ฉันอาศัยอยู่กับ..เอ่อ เจ้าบ่าว ไม่เอาค่ะ ฉันขอร้องล่ะอย่าเอาชีวิตฉันไปเสี่ยงตายเลย” เธอพนมมืออ้อนวอนขอเสียงสั่น
“ชิ” คนรับฟังทำได้แค่กรอกตาพร้อมสบถออกมา
“อย่างกับฉันอยากอยู่กับเธอนักล่ะนังโง่” พื้นที่บ้านออกจะกว้างขวางหากไม่ต้องการเจอหน้าทั้งชาติภายใต้หลังคาเดียวกันก็ยังได้ และที่สำคัญ ควรถามเขาเถอะว่าจะอยู่บ้านหรือเปล่า
“เอาล่ะ” ร่างใหญ่ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง “ถ้าหล่อนไม่อยากอยู่ด้วย พี่ก็รับเลี้ยงไว้แล้วกันนะ” อดัมอ้าปากเตรียมปฏิเสธ
เขารีบแทรก
“ก็ไหนว่าไม่อยากให้ฉันก่อเรื่องทำร้ายยัยนี่อีกล่ะ? นะ พามันไปอยู่ด้วยเลย แฟร์ดี”
พอน้องชายเดินผิวปากออกไปจากห้องแล้ว คนเป็นพี่ยืนกุมขมับอย่างคิดไม่ตก
อดัมวกกลับมาเพ่งแววตาดุใส่วาโย “หยุดมองฉันด้วยสายตาซาบซึ้งอย่างนั้นได้แล้ว ฉันไม่ใช่ฮีโร่ของเธอ ทุกอย่างที่ฉันทำเพราะคำสั่งของแม่”
“ค่ะ หนูรู้” เธอก้มต่ำ ตอบรับเสียงอ่อน
“รู้แล้วก็รีบตามสามีเธอไปซะ” เขาย่างสามขุมเข้ามาใกล้หญิงสาว ฉวยจังหวะที่เธอเผลอดึงสายน้ำเกลือออกให้วาโยอย่างง่ายดาย
ฟึ่บ
“โอ๊ย”
“ไม่เจ็บ ดูสิ ไม่มีเลือด”
“เอ่อ..?” นั่นสิ เธอไม่เจ็บจริงๆด้วย
หญิงสาวโค้งศีรษะให้ก่อนเดินลงเตียงออกไปตามเจ้าบ่าวผู้ไม่แยแสเธอเลยสักนิด
อันที่จริง หากเลือกระหว่างโลเรนโซ่ กับ อดัม เธอคิดว่าอยู่ร่วมชายคากับผู้พี่ยังรู้สึกปลอดภัยกว่า
เมื่อนึกถึงการกระทำอันป่าเถื่อนของโลเรนโซ่แล้ว หญิงสาวสลัดศีรษะขับไล่ภาพเหตุการณ์อันชั่วร้าย ว่าแล้วเธอจึงหยุดฝีเท้า หันกลับไปต่อรองกับอดัม
“อันที่จริง หนูทำความสะอาดบ้านได้ดีเลยนะคะ เป็นคนสวน คนรับใช้หรือจะเป็นบอดี้การ์ด หรืออะไรก็ได้ ขอแค่ได้อาศัยอยู่บ้านคุณ”
เมื่อคนฟังเงียบ แววตาคมดุเพ่งจ้องมองเธอตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า คงประเมินและตัดสินไปแล้วว่าเธอชอบเขา จึงรีบกลับคำ
“เอ่อ อยู่เรือนหอก็ได้ค่ะ” ว่าแล้วหญิงสาวรีบเดินดุ่มๆเปิดประตูออกไป
เสียงของโลเรนโซ่จงใจพ่นออกมาดังๆหวังให้พี่ชายได้ยินขณะที่เขากำลังจับมือทักทายกับ‘โซฟียา’ ภรรยาของอดัม ผู้มีสะโพกดินระเบิดแต่เอวคอด ผิวสีแทน ใบหน้าสวยสมบูรณ์เสียจนวาโยมองตะลึงค้าง
“ผมกับภรรยาก็กำลังหาที่ดินเนอร์กันอยู่พอดี หวังว่าคุณและพี่ชายจะไม่รังเกียจผมและภรรยานะครับ” โลเรนโซ่มองโซฟียาด้วยแววตาแพรวพราวจนผู้เป็นสามีอย่างเขากระแอมขัดการสนทนาเบาๆ
“อะฮึ่ม มีอะไรกันหรือเปล่า?”
เขาจำใจต้องรีบปล่อยมืออกจากพี่สะใภ้อย่างเสียดายก่อนเดินไปอธิบายกับพี่ชายด้วยท่าทียียวนกวนประสาท
“พอดีผมกับเมียกำลังหาที่ดินเนอร์ เลยอยากฝากท้องที่บ้านพี่ชายสักมื้อจะว่าอะไรไหมครับ”
วาโยประเมินคนทั้งสามแล้วขบตรองอยู่ในใจ
‘ไอ้นี่ แอบรักพี่สะใภ้ใช่ไหมนะ?’
“ใช่มั้ยมาโอะ”
เธอสะดุ้งวาบเมื่อโลเรนโซ่เรียกเธอเสียงดุจึงรีบไหลไปตามน้ำ
“ออ ค่ะ ใช่ค่ะ”
“นายหาเรื่องจะทิ้งเมียไว้ที่บ้านฉันต่างหาก” เขาเอ่ยกับน้องชายเสียงเบา
หมั่บ
โซฟียาเดินนวยนาดเข้ามาควงแขนสามี เธอขยับริมฝีปากบวมเจ่อด้วยสุ้มเสียงออดอ้อน “นะคะคุณ เราจะได้ทำความรู้จักกับมาโอะให้มากขึ้นไงล่ะคะ นะคะ”
อดัมกรอกตาขึ้นด้านบน จำใจเดินตามเกมส์ของโลเรนโซ่อย่างเลี่ยงไม่ได้
บรรยากาศภายในสวนใจกลางคฤหาสน์หลังใหญ่ของอดัมกับโซฟียา สามีภรรยาผู้ใช้ชีวิตครอบครัวร่วมกันมากว่าสองปีแต่ไร้วี่แววจะมีทายาท เจ้าของบ้านจัดเตรียมอาหารและเครื่องดื่มไว้พร้อมพรั่ง ทั้งนักดนตรีไวโอลีนชื่อดังที่โซฟียาโปรดปรานยังยืนทำหน้าที่ขับกล่อมบรรเลงได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
วาโยกวาดสายตามองดูรอบๆในใจเต้นเร่าให้กับความเลิศหรูทุกตารางนิ้ว อีกใจกำลังสะกดตัวเองว่าเธอก็ใช่คนธรรมดาเสียที่ไหน เธอคือคุณหนูมาโอะ อย่าได้เผลอทำตัวตื่นเต้นกับบรรยากาศโดยรอบนี้เด็ดขาด เธอโปรยยิ้มอ่อนให้กับโซฟียาอย่างเป็นมิตร ทว่าหล่อนกลับเบ้ปากเล็กน้อยชนิดที่ชายทั้งสองไม่รู้เท่าทัน มีแต่ผู้หญิงเท่านั้นที่มองกันออก
นอกจากจะนั่งเท้าคางพลางจิบไวน์ขณะฟังเสียงไวโอลีนแล้วเธอยังจับสังเกตเห็นแววตาที่หล่อนลอบมองดูโลเรนโซ่อยู่บ่อยๆ ส่วนผู้เป็นสามีก็มัวสนใจกับการลิ้มรสอาหารมากกว่าเครื่องดื่มมึนเมา เขากำลังใช้ส้อมและมีดหั่นเนื้อแกะย่างกับซอสพอร์ชินีเข้าปากและเคี้ยวตุ้ยๆ
‘คนอะไร ขนาดทานอาหารยังดูดี ดูน่าเกรงขาม’
เธอชื่นชมอดัมภายในใจ
พอกลับมามองที่สามี..
“แค่กๆ”
ควันบุหรี่ตัวบ่อนทำลายบรรยากาศโขมงคลุ้งออกจากปากโลเรนโซ่ และจงใจพ่นใส่หน้าเธอเต็มๆ
หญิงสาวเบือนหน้าออกอีกทาง ซึ่งประจวบเหมาะกับจังหวะที่เธอเห็นบอดี้การ์ดคนหนึ่งยืนหันหลังห่างจากโต๊ะอาหารประมาณสามวากำลังล้วงเอาวัตถุบางอย่างออกมา
ชั่วพริบตานั้น ไวกว่าเธอที่เตรียมส่งเสียงร้องทักเสียอีก บอดี้การ์ดผู้ทรยศกระโจนเข้าหาอดัมอย่างรวดเร็ว
“ห๊ะ!”
แต่ทว่า ..วาโยถลาตัวล้มทับกลายเป็นโล่กำบังให้
ฉั่บ!