Chapter.3 อดัม อัลเบอโต
‘อดัม อัลเบอโต’ เขาเป็นพี่ชายของโลเรนโซ ชายผู้ลากเธอออกมาก่อนจะถูกย่างสด
“ขะ ขอบคุณค่ะ”
เธอเอ่ยคำขอบคุณเขา แต่ทว่าอีกคนแทบไม่ได้สนใจคำขอบคุณสักเท่าไหร่ นอกจากการยืนจ้องมองน้องชายตัวแสบที่สนใจแต่เปลวไฟเบื้องหน้าไม่ได้สนใจการมาของพี่ชายเช่นกัน
“นี่นายทำบ้าอะไรของนายน่ะ” อดัมเค้นเสียงเบา
“เหอะ ก็จะสั่งสอนให้นังนี่รู้จักสันดานของเจ้าบ่าวไง ไม่มีการสร้างภาพใดๆทั้งนั้น นี่แหละโลเรนโซ่ ถ้ารับไม่ได้ไสหัวออกไป” เขาเอ่ยเสียงดังก้องพลางกางแขนแสดงการต้อนรับแบบเรียกน้ำย่อย
“นายรีบกลับเข้าไปตั้งสติ แล้วเตรียมตัวเข้าพิธีซะ” อดัมเอ่ยเตือนสติน้องชายเสียงรอดไรฟัน
“เหอะ แล้วอย่าลืมบอกนังนั่นให้เตรียมใจตายด้วยล่ะ”
เขาใช้นิ้วชี้วาดที่ลำคอขู่เธอ ก่อนเดินออกไปอย่างอารมณ์ดี
“ขอบคุณนะคะที่ช่วย..
ไม่ทันที่คำขอบคุณอีกครั้งของวาโยจะเอ่ยจบ อดัม ก็บ่นแทรกข้นมาอย่างหัวเสีย
“shitt แล้วอย่างนี้เธอจะเตรียมตัวทันพิธีมั้ยเนี่ย”
เธอยืนตัวสั่นเทิ้ม เริ่มรู้สึกว่าเกาะอกของเธอไม่สุภาพจึงรีบดึงขึ้น แต่ขณะกำลังง่วนอยู่กับการจัดชุดและผมเผ้าอยู่นั้น
เปรี๊ยะ!
เธออ้าปากค้าง เมื่อภาพที่เห็นคือ อดัม ถูก มาดามอลิซเซ่ตบหน้าฉาดใหญ่ เธอยืนนิ่งค้าง ฝั่งซ้ายมีเสียงสัญญาณรถดับเพลิงกำลังเข้ามาระงับไฟในที่เกิดเหตุ ส่วนฝั่งขวา มาดามกำลังเกรี้ยวกราดลูกชายด้วยภาษาอิตาเลียนเดาว่าคงเป็นข้อหาที่เขาควบคุมสถานการณ์ที่ชื่อว่าโลเรนโซ่ไม่อยู่
ก่อนร่างสูงเพรียวเดินจากไปไม่วายปราดสายตาดุมองมาที่เธอ
หญิงสาวรีบก้มหน้างุดลง สายตาลอบมองรองเท้าส้นสูงที่กำลังเดินห่างไปแล้วลมหายใจค่อยๆผ่อนออก
“ฟู่วว”
“เร็วๆสิ เธอไม่มีเวลาแล้ว รีบเข้าไปเปลี่ยนชุด ยังมีงานข้างหน้ารอเธออีกเยอะ สาวน้อย”
มือใหญ่ตบบ่าเล็กแคบก่อนเดินจากไป
หญิงสาวกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก เธอถูกเทรนมาทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นการปรับบุคลิกหรือแม้แต่ต้องจดจำรายชื่อญาติๆของทั้งสองฝั่งที่คุณหนูมาโอะรู้จัก เธอฝึกมานานกว่าสองเดือน ขัดสีฉวีวรรณและกินอยู่สบาย ลำบากกว่านี้ก็เคยผ่านมาแล้ว
จะมาล้มเลิกเพียงแค่นี้ไม่ได้!
แต่ น่าเสียดาย ที่ไม่ได้เรียนรู้การตั้งรับพฤติกรรมของเขา โลเรนโซ่
หญิงสาวยืนถอนใจก่อนก้าวเท้าเดินตามอดัม ผู้มีศักดิ์เป็นพี่ชายของโลเรนโซ่ แต่ดูเหมือนนิสัยจะแตกต่างกันคนละขั้ว
“นี่อะไรกัน!! ฉันคิดว่าจะจบกันที่บนเตียง แล้วไหงดันไปถูกเขวี้ยงลงป่าอย่างนั้นได้ โห้ ดูสภาพเข้าสิ รีบๆปกปิดรอยที่แขนนี่ด้วยนะอย่าให้ญาติฝั่งเจ้าสาวเห็นรอยแม้เพียงเซ็นติเมตรเดียว!!”
มาดามอลิซเซ่วีนขึ้น ชี้นิ้วออกคำสั่ง พร้อมเดินวนไปมา ระหว่างที่บรรดาช่างหน้าช่างผมกำลังเร่งรีบทำให้ทันเวลา
..ไม่มีใครสนใจความรู้สึกเธอเลย
ก็แหงล่ะ เธอมันแค่ตัวแสดงแทน
ไม่มีใครมาใส่ใจความรู้สึกคนที่ต้อยต่ำกว่าอยู่แล้ว
เมื่อทุกอย่างถูกเนรมิตขึ้นใหม่ เธอไร้อารมณ์สดใสแทบไม่ใส่ใจจะลุกไปส่องมองกระจก
หมั่บ
สองมือของมาดามอลิซเซ่คว้าหัวไหล่เธอไว้หลวมๆ เมื่อนึกได้ว่ามีรองพื้นปกปิดร่องรอยการถูกใบข้าวบาร์เลย์แก่จัดถากผิว สองมือเรียวเล็บยาวเฟื้อยรีบกรีดรายถอยออกพร้อมถูฝ่ามือไปมา ใบหน้าโน้มลงจ้องเธออย่างคาดหวัง
“เอาล่ะ ตั้งสติ แล้วเธอต้องทำให้ได้ คนอย่างโลเรนโซ่ไม่กล้าคิดสั้นทำตัวมุทะลุต่อหน้าคุณย่าของเขาแน่นอน”
“ค่ะ”
ไม่น่าเชื่อว่าพิธีการทุกอย่างจะดำเนินผ่านไปด้วยดี เธอขอบคุณสตรีชราผู้ช่วยชีวิตเธอไว้โดยไม่รู้ตัว
นั่นคือ คุณย่าอเล็กซานดร้า ผู้นั่งอยู่บนรถเข็นมองดูหลานชายและหลานสะใภ้กำมะลออย่างเธอด้วยความปลาบปลื้ม
เธอยืนมองญาติทั้งสองฝั่งจากแท่นพิธีเหมือนไม่ใช่งานแต่ง เธอคิดเล่นขำๆเหมือนงานศพไม่ปาน
ทุกคนอยู่ในชุดโทนดำ ซึ่งแน่นอนล่ะคนญี่ปุ่นและโซนแถบนี้เน้นสีดำเป็นสีสุภาพไม่ใช่แค่ไว้อาลัย เธอต่างหากล่ะที่ไม่คุ้นชินลักษณะการแต่งกายหลักสากล นอกจากรู้ภาษาอังกฤษแล้วก็ไม่ค่อยรู้อะไรเลยจริงๆ
หมั่บ
“อุ๊ย”
เธอสะดุ้งจากอาการเหม่อเมื่อโลเรนโซ่กุมมือเธอหลวมๆ
“ไปกันได้แล้ว”
เสียงทุ้มเอ่ยข้างใบหูพาเธอขนลุกซู่แต่ก็จำต้องก้าวเท้า โปรยยิ้มอ่อนเดินลงไปยังทางเดินใจกลางระหว่างญาติทั้งสองฝั่งท่ามกลางกลีบดอกไม้ที่โปรยปราย
เมื่อทั้งสองมาถึงตรงหน้าโบสถ์ ซึ่งเป็นพิธีการโยนดอกไม้
เธอเอี้ยวตัวหันมองผู้คนที่ทำหน้าบึ้งตึงไม่ยินดียินร้ายจะสนใจอยากได้ช่อดอกไม้ของเจ้าสาว ทุกคนยืนทะมึนเหมือนผีดิบ คาดว่าฝั่งเจ้าสาวไม่ชอบลูกเขยสักเท่าไหร่ ส่วนฝั่งเจ้าบ่าวยิ่งหนักทำสีหน้าเหมือนจะบีบคอเธอแน่ถ้าดันโยนดอกไม้ไปโดนตัวพวกเขา
เอาล่ะ
นาทีนี้เธอต้องแกล้งเป็นลมแล้ว
ฟุ่บ
ร่างบางอ่อนเปลี้ยลงนอนกองกับพื้น