ซินเฟยชันกายลุกขึ้นจากแท่นนอนแข็งที่ไม่มีแม้แต่ผ้าปูรอง บาดแผลถูกโบยหายจนเกือบสนิท อาวุโสจ้องมอง ซินเฟยที่พยายามลุกจากแท่นนอน
“เจ้าอย่าเพิ่งลุกจะดีกว่าร่างกายยังอ่อนแอ”
“ข้าดีขึ้นมากแล้ว ขอบคุณอาวุโส”
“ข้า ย่าหนาน เจ้าเรียกข้าว่าอาวุโสย่าหนาน”
“อาวุโสย่าหนาน”
“ข้ารู้ว่าเจ้า เจ็บปวดมากแค่ไหนกับการสูญเสียลูกในท้องไป”ซินเฟยเหม่อมองไปไกล
“จะมีประโยชน์อะไรในเมื่อเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าข้าตั้งครรภ์ลูกของเขา”
“วังหลวงเจ็บปวดหนาวเหน็บ เช่นไรจึงจะหลุดพ้นหลายคนเวียนว่ายหลายคนค้นหา หลายคนต้องการเข้ามีมีชีวิตที่ดีที่นี่”
“ตำหนักเย็นแห่งนี้ยังน่าอยู่เสียกว่า”
“เจ้าไม่เหมาะกับที่นี่”
“อาวุโสท่านยังอยู่ได้ท่านเกรงว่าข้าจะมาช่วงชิงความสงบของท่านเช่นนั้นหรือ อย่าผลักไสข้าเลยข้าไร้หนทางไปแล้วจริงๆ ”
“ข้าอยู่เสียจนชิน มีความสุขในความเดียวดาย นานครั้งถึงจะมีสหายเก่าแวะเวียนมา เจ้าไม่เหมาะกับตำหนักเย็น”
“ข้าทำผิดร้ายแรงวังหลวงยิ่งไม่เหมาะกับข้า”
“เจ้ารู้ดีว่าเจ้าผิดหรือไม่ แต่หากมีคนเชื่อว่าผิดก็ต้องถูกลงทัณฑ์เมื่อลงทัณฑ์ไปแล้วถือว่าความผิดของเจ้าจบสิ้นกันไป หากเจ้าไม่ทำเรื่องผิดพลาดครั้งใหม่การเข้าไปอยู่ในวังหลังอีกครั้งจึงนับว่าไม่ผิดและกระทำได้เพราะเจ้าถูกโบยจนครบร้อยทีไปแล้ว”
ซินเฟยนิ่ง กลับไปเพื่ออะไรกัน ใบหน้าเรียบเฉยของจางหลง ลอยขึ้นมาตรงหน้าเขาไม่รู้ดวยซ้ำว่าซินเฟยมีตัวตน
ท้องพระโรงเมื่อเหล่าขุนนางมากันพร้อมหน้า
“ฝ่าบาทราษฎรตอนนี้สำราญถ้วนหน้า เงินเก็บในคลังมากมายจนไม่อาจะใช้หมดจึงเห็นควรงดจัดเก็บภาษีเสียสามปีจึงจะดี ด้วยฝ่าบาทรงตรากตรำทุ่มเทเป็นเวลายาวนานตั้งแต่ทรงนั่งบัลลังก์จนบัดนี้บ้านเมืองสงบสุข ประชาชนรุ่งเรืองข้าจึงหวังจะให้ฝ่าบาทจากนี้ให้เวลากับตัวเองเสียบ้าง แต่งตั้งฮองเฮามาเนิ่นนานยังไม่มีองค์รัชทายาทไว้สืบบัลลังก์”
จางหลงหลับตาลงช้าๆ เมื่อใต้เท้าฉี หนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ เอ่ยปากต่อหน้าเหล่าขุนนาง ด้วยเห็นว่าจางหลงให้เวลากับราชสำนักและราษฎรเกินไปจนบัดนี้ใกล้จะไร้ผู้สืบทอดบัลลังก์
“หลังจากนี้ไปอีกสามวันข้าพระองค์เห็นควรจัดงานเฉลิมฉลอง ความรุ่งเรืองของแคว้นเรา”
“แล้วแต่ท่านจะเห็นสมควร ข้าเองก็อยากจะพักเสียบ้างหลังจากที่ละเลยไม่ได้มาเนื่นนาน”
“เป็นเพราะราษฎรเรียกร้องว่าอยากชมพระบารมีของฝ่าบาท กระหม่อมจึงเห็นว่าจะจัดให้มีการโปรยทาน ด้วยเหรียญทองเพื่อให้ราษฎรนำไปเป็นเหรียญนำโชค ในคืนวันงานจะให้ฝ่าบาทโปรยทานตรงลานหน้ามุขสูงของประตูด้านหน้าวังหลวง”
ซินเฟยถือไม่กวาดกวาดลานหน้าตำหนักเย็นไปมา อาวุโสย่าหนานนั่งเย็บชุดสวยให้กับซิยเฟย
“เจ้าลองมาสวมชุดนี้ดู”ชุดสีขาว ถูกเย็บขึ้นด้วยความปราณีตลายปักและริมขอบสายผ้าสีแดงตัดกันชัดเจนฝีมืองดงามยิ่งกว่าชาววัง ซินเฟยจ้องมองด้วยความซาบซึ้งใจ
“ลองสวมดู”ซินเฟยสวมชุดนั้นได้พอเหมาะพอดี สีขาวพริ้วไหวอ่อนหวานทำให้ดูผุดผาด สีแดงตัดกันนั้นส่งให้ใบหน้าที่งดงามอยู่แล้วยิ่งงามสง่าดุจพญาหงส์
“ความจริง อาวุโสไม่ต้องเหนื่อยทำให้ซินเฟย”
“พรุ่งนี้มีงานเฉลิมฉลองเจ้าไม่ต้องอุ้ดอู้อยู่ที่นี่”
ซินเฟยมีสีหน้าเศร้าสร้อยหากฮองเฮาเจอซินเฟยเข้าจะว่าอย่างไรกัน อาวุโสย่าหนานเหมือนจะอ่านใจออก
“ไม่ต้องกลัวเจ้ารับโทษไปแล้ว เหมือนคนใหม่ตอนนี้เจ้าไม่มีมีโทษทัณฑ์ใดใดติดตัว จะกลัวไปใย อีกอย่างพวกเขาไม่ได้มีบัญชาให้เจ้าถูกกักตัวอยู่ในตำหนักเย็นเหมือนข้า แต่เจ้าถูกนำมาทิ้งไว้ เพราะคิดว่าเจ้าต้องตายอย่างแน่นอนต่างหากเจ้าไม่ตายจึงถือว่าพวกเขาไม่อาจกล่าวโทษต่อเจ้าได้อีกแล้ว”ซินเเฟยยิ้ม เริ่มมีความมั่นใจขึ้นมาบ้าง
“ซินเฟยขอบคุณอาวุโสย่าหนาน”
“ข้าจะ บันดาลให้เจ้าเป็นคนใหม่ต่อแต่นี้ลืมเรื่องเลวร้ายที่ผ่านมา ระหว่างนี้เที่ยวให้สนุก ลืมเรื่องราวทุกอย่างแล้วทิ้งมันไว้ที่ตำหนักเย็นนี่เสีย”
“อาวุโสท่านดีกับข้าเหลือเกิน”
“ข้าเต็มใจทำให้เจ้าอาจเป็นเพราะข้าถูกชะตาเจ้าหรืออาจเป็นเพราะสวรรค์ที่พาเจ้ามาพบข้า”ซินเฟยคุกเข่าลงเบื้องหน้าประสานมือคารวะ อาวุโสย่าหนานโอบกอดด้วยความรักใคร่
“ข้าเคยมีลูกสาวหากยังอยู่อายุก็คงเท่ากับเจ้าหน้าตาของนางก็คงงดงามเช่นเจ้า”ซินเฟยซบหน้าลงบนตัก
“ข้าไม่ถามว่าลูกสาวของท่านจากไปเช่นไรไม่ใช่ข้าไม่อยากรู้ แต่ข้าอยากให้ท่านรักข้าแบบนี้แม้จะดูเห็นแก่ตัวก็ตาม”
อาวุโสย่าหนานยิ้มอ่อนโยน ครั้งแรกที่เห็นซินเฟย เกิดความสงสารจนแทบจะหลั่งน้ำตาในเมื่อเป็นผู้อื่นหากถูกโบยถึงร้อยไม้คงจะกลั้นใจตายไปเสียตั้งแต่ยังไม่ครบห้าสิบไม้
ซินเฟยเช่นไรจึงมีน้ำอดน้ำทนเพียงนั้น
"นับว่าเป็นวาสนาที่ได้พบกับเจ้าให้ได้คลายเศร้าโศกไปได้บ้าง"
ซินเฟยยิ้ม มารดาจากซินเฟยไปตั้งแต่สามขวบบิดาแม้เป็นขุนนางแต่ก็ไม่ได้มีตำแหน่งสูงส่งอะไรเป็นเพียงขุนนางชั้นผู้น้อยพอได้เบี้ยหวัดเลี้ยงดูครอบครัว ซินเฟยจึงอาสาเข้ามาคัดตัวนางในด้วยกิริยาอ่อนหวานและมีความอดทนเป็นที่สุดจึงผ่านการคัดตัวนางในที่แสนจะยากเย็นมาได้ ด้วยใบหน้าที่งดงามจึงถูกคัดเลือกเป็นสนมโดยไทฮองไทเฮา เข้ามาอยู่ฝ่ายในแต่ก็นั่นแหละ ซินเฟยเป็นสนมอยู่ในวังหลวงใช้ชีวิตเรียบง่าย จนกระทั่ง
“สนมซินเฟย วันนี้ต้องไปปรนนิบัติฝ่าบาทด้วยป้ายชื่อของเจ้าถูกเลือกขึ้นมาในค่ำคืนนี้”เสียงขันทีเสี่ยวซาน ขันทีข้างกายฝ่าบาทดังขึ้น ทำเอาจิตใจที่สงบช่วงเวลาเกือบขวบปีที่ผ่านมากลับรู้สึกว่าใจเต้นไม่เป็นจังหวะ
การฝึกสอนจากฝ่ายในว่าด้วยเรื่องการปรนนิบัติฝ่าบาทก็ลืมเลือนไปเกือบสิ้นเมื่อเวลาผ่านมาใกล้จะครบปีเต็มทีแล้วก็ยังไม่เคยต้องเข้าไปปรนนิบัติ ทั้งๆ ที่ถูกสอนเรื่องของการปรนนิบัติฝ่าบาททั้งยามหลับและยามตื่น
แม้กระทั่งการอุ่นเตียงการให้กับฮ่องเต้บอกแม้กระทั่งต้องทำตัวเช่นไรจึงจะถูกใจฮ่องเต้
ซินเฟยหาจำได้ไม่ก็ทุกอย่างล้วนเกิดขึ้นกระทันหันอีกทั้งความกลัวและความตื่นตระหนกมีมากเสียจนหูอื้อตาลายจำบทเรียนต่างๆ เหล่านั้นไม่ได้สักนิดยามที่ต้องถูกทาบทับอยู่บนแท่นนอนกับฮ้องเต้หนุ่มที่ใบหน้าหล่อเหลา ร่างกายกำยำเช่นจางหลง ถึงเวลานั้นมาจริงๆ มือไม้เย็นเฉียบ แทบจะทรงกายไม่อยู่เมื่อถูกอุ้มไปวางบนแท่นนอน ความทรงจำตอนนั้นจะว่าไม่จำ กับฝังลึกในจิตใจ ความรู้สึกอบอุ่นกับ ความอ่อนโยน ที่ยังจำได้ดีอีกทั้งรอยจุมพิตที่หน้าผากเหมือนกับรักเหลือเกินยามที่จางหลงลุกจากแท่นนอน ซินเฟยยังจำได้แม่นยำ