ตอนที่ 4

3365 คำ
เรื่องราวที่น้าคายออกมา...                 ในวันที่นั่งรถไปส่งฉันที่เชียงราย ช่วยยืนยันให้ยิ่งมั่นใจว่า การตัดสินใจครั้งนี้ผิดพลาด                 “ถ้าเจออะไรแปลกๆ ไม่ต้องตกใจไป”                 “อะไรนะ” ฉันที่กำลังเหม่อมองทิวทัศน์นอกหน้าต่างรถเมล์...รีบชักสายตากลับมา                 “ถ้าเกิดตอนกลางคืนได้ยินเสียงคนร้อง หรือได้ยินเสียงอะไรแปลกๆ ก็ไม่ต้องตกใจ อยู่เฉยๆในห้อง ไม่ต้องออกไปดู อย่าเพิ่งรีบสอดรู้ ถ้ายังไม่มีใครในบ้านไว้ใจแก”                 “แม่! พูดอะไรน่ะ” ฉันรู้สึกขนลุก...นึกถึงเรื่องผี                 “ฉันไม่อยากรีบพูดก่อนหน้านี้ เพราะกลัวแกตกใจ แต่ไหนๆวันนี้แกก็จะต้องเข้าไปทำงานที่บ้านหลังนั้นเป็นวันแรก ก็เลยอยากจะเตือนๆเอาไว้หน่อย เผื่อเวลาเจอเข้าจริงๆจะได้ไม่ต้องตกใจ”                 “เลิกอ้อมค้อมแล้วเฉลยมาซักที!” ฉันเร่งอย่างร้อนใจ                 “มีข่าวลือมาหนาหูเหมือนกัน...”                 “ว่า...” ฉันเขย่าแขนแม่เลี้ยง รำคาญเต็มทีกับการเริ่มเรื่องอย่างอืดอาด                 “เป็นเรื่องที่เล่ากันมาหลายสิบปีแล้วว่า ในกลางดึกของบางคืน ชาวบ้านที่อยู่ละแวกใกล้เคียงได้ยินเสียงร้องโหยหวน เสียงโศกนาฏกรรม เสียงสะอื้น เสียงแห่งความทุกข์ทรมานดังมาจากคฤหาสน์หลังนั้น”                 “เสียงผีเหรอ มีผีอยู่ในบ้านนั้นเหรอ!” ฉันหน้าซีด                 “ไม่รู้ผีหรืออะไร แต่จากข้อมูลที่เคยฟังมา จากคนใกล้ชิดตระกูลอัครโยธิน คิดว่าน่าจะเป็นเสียงคน”                 “แม่ไปสรุปเอาเองอย่างนั้นได้ไงน่ะ!” เสียงฉันเหมือนคนใกล้ร้องไห้                 “คนตระกูลอัครโยธิน ถ้าไม่ปัญญาอ่อน ก็อาจเป็นโรคประสาท อย่างใดก็อย่างหนึ่ง เพราะบรรพบุรุษมีค่านิยมชอบลงโทษลูกหลานด้วยความรุนแรง และใช้วิธีทารุณกรรมป่าเถื่อน เช่น ล่ามโซ่ ขังในห้องมืด เอาน้ำร้อนลวก หรือไม่ก็ทุบตี”             น้าตาลอย...คงกำลังนึกภาพคนตระกูลอัครโยธิน ทว่าตอนนั้น ฉันกลับมองเห็นแต่ภาพพ่อตัวเอง กำลังซ้อมเด็กชายร่างเล็กๆคนหนึ่ง...โดยเตะเขาอัดเข้ากับกำแพง             “ทำไมต้องทุบตีลูกด้วยล่ะคะ เป็นผู้ดีมีความรู้สูงแท้ๆ กลับใช้วิธีแบบนี้”                 “คงเป็นเพราะพวกเขาเชื่อว่า... การทำแบบนั้นจะทำให้ลูกๆยิ่งแข็งแกร่ง...ในสังคมอันโหดร้าย ไม่ค่อยกลัวอะไร และทนทานต่อความเจ็บปวดทุกชนิด ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่และลูกในตระกูลนั้นก็มักเป็นไปอย่างห่างเหิน เต็มไปด้วยระเบียบ ขาดความยืดหยุ่น มีพี่น้องหลายคน แต่แก่งแย่งชิงดีชิงเด่น ไม่มีใครสักคนไว้ใจได้ เด็กที่โตในสภาพเช่นนั้น ไม่แปลก...ที่จะมีอารมณ์อำมหิต ฝังอยู่แก่นกลางใจ”                 เธอเล่าด้วยเสียงเนิบๆ เหมือนเล่านิทาน....และนิทานของน้ามักเป็นเรื่องชวนขนหัวลุกเสมอ                 “แม่! หนูบอกแม่แล้วใช่มั้ยว่าอย่าบังคับให้หนูไปทำงานที่นั่น แล้วนี่! นี่ตั้งใจจะส่งหนูไปขึ้นเขียงเหรอ จะได้ฮุบสมบัติคนเดียวใช่มั้ย ยัยแม่เลี้ยงใจร้าย!”             “ไอ้เด็กบ้า!” แม่เลี้ยงใจร้ายเอากำปั้นยัดปากฉันไม่ให้พูดต่อ “ไม่เอาขี้เถ้ายัดปากแกให้ตายไปตั้งแต่ตอนเด็กๆก็ดีแค่ไหนแล้ว ให้แกโตมาเป็นภาระฉัน กวนประสาททุกวี่วันแบบนี้”                 “อู๋อะไอ้เอื้อใอแอ้อีกแอ๊วววว” ฉันกัดกำปั้นน้าแรงๆจนเธอต้องรีบดึงออก                 “ปัดโธ่ ไอ้เด็กโง่ แม่ก็ขู่ให้แกกลัวไปอย่างนั้นล่ะ แกก็รู้ว่าแม่ชอบเล่นอย่างนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว” เธอดึงกำปั้นออกไปสำรวจรอยฟัน และตบหัวฉันเป็นการลงโทษอีกหนึ่งที                 “แต่เรื่องที่แม่เล่าเมื่อกี๊ มันต้องมีมูลแน่ๆ ถ้าไม่มีเค้าโครงเรื่องจริง แม่ไม่เล่าให้หนูฟังหรอก”                 “เรื่องนั้น ฉันได้ยินมาจะเป็นสิบปีแล้วมั้ง จากคนแก่ๆที่เคยทำงานรับใช้ตระกูลอัครโยธินมานาน มันเป็นเรื่องของรุ่นปู่ กับรุ่นพ่อแม่ เดี๋ยวนี้สมัยใหม่แล้ว คงไม่มีเรื่องอย่างนั้นเกิดขึ้นอีก”                 “ตกลง วันนี้...แม่จะส่งหนูเข้าไปในคฤหาสน์คนโรคจิตจริงๆเหรอ” ฉันหันรีหันขวาง มองหาทางหนีทีไล่ ไม่น่าเลือกนั่งติดหน้าต่างเลย หนีไม่สะดวก!             “แกก็ทนๆทำงานไปเหอะ ปีเดียวก็ได้เงินแสนแล้ว มีที่ไหนให้ค่าตอบแทนเยอะขนาดนี้ ปีเดียวแกสบายไปตลอดศก อยากเรียนไปจนจบปริญญาเอกก็เรียนไปเลย ตามสบาย”                 เมื่อเอาเงินเข้าล่อ...  ฉันก็เริ่มสงบลงเล็กน้อย แต่ฉันไม่ใช่คนงกหรอกนะ                 “แกอยู่นั่น ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไรเลย กินฟรี อยู่ฟรี เก็บตังค์อย่างเดียว มีที่ไหนจะหาเงินได้สบายเท่านี้อีก ลองคิดดูสิ”                 “แต่ถ้ามันมีอะไรไม่ชอบมาพากลในบ้านหลังนั้นล่ะ”                 “ถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากล ก็รีบลาออก แล้วหนีกลับบ้าน”                 “หนูคงได้หนีออกตั้งแต่อาทิตย์แรกแน่เลย”  ฉันกล่าว                 “แม่ก็คิดงั้นแหละ เพราะแกมันเป็นคนมีความอดทนซะที่ไหน แกมันก็เป็นคนอ่อนแอ อ่อนปวกเปียก เหมือนๆกับคุณชายใหญ่ของบ้านหลังนั้นน่ะแหละ” เค่นเสียงหัวเราะในลำคอ... เป็นเสียงหัวเราะที่บาดไปถึงในหัวใจ  เธอชอบพูดจาทำร้ายจิตใจฉันเสมอ                  ฉันเงียบ สะบัดหน้าไปทางอื่นเพื่อแสดงความไม่พอใจ ที่ยอมเรียกว่าแม่ก็ดีถมไปแล้ว อายุก็ห่างกันไม่เท่าไหร่ คอยดูนะ... พอเก็บเงินได้ จะรีบหนีครอบครัวบ้าๆแบบนี้ ไปให้ไกลที่สุด เท่าที่จะทำได้เลย                 ระหว่างกำลังพร่ำบ่นในใจ เมื่อมองออกไปนอกกระจก  เห็นป้ายที่เขียนไว้ว่า                 ‘เชียงราย 10 k.m.  ’                 ...ความรู้สึกเศร้า ทำให้หันกลับไปมองหญิงสาวที่จำใจเรียกว่าแม่อีกครั้ง                 นับจากวันนี้... จะไม่ได้เห็นหน้ากันอีกนาน... คงคิดถึงน่าดูเลย ******************                 “ต่อจากนี้ ดูแลตัวเองให้ดีล่ะ”                 คือคำสุดท้ายของแม่เลี้ยง... ก่อนจะปล่อยให้ฉันบินเดี่ยว                 นี่เป็นครั้งแรกในชีวิต ที่ฉันต้องบินเดี่ยว โดยปราศจากเพื่อน...และแม่เลี้ยงเป็นเวลานานถึงหนึ่งปีดีดัก งวดนี้ฉันขอติดรถขนส่งคนงานโรงงานผลไม้กระป๋อง เพื่อเข้าไปในคฤหาสน์เหมือนครั้งที่แล้ว                 แต่เนื่องจากพายุเข้าเมื่อคืน ถนนดินเกิดหลุมบ่อ รถกระบะจึงเด้งตูมๆตลอดทาง ฉันกลิ้งไปกลิ้งมาประหนึ่งตุ๊กตาล้มลุก คนงานทั้งหญิงชายหัวเราะรื่น ฉันดีใจที่ช่วยสร้างความบันเทิงให้เขา ผ่อนคลายความเครียด ก่อนเข้าไปในโรงงานสีดำทะมึนหลังนั้น โรงปุ๋ยเก่าสร้างด้วยไม้ผุพังหลังใหญ่  ราดำจับขึ้นเต็มผนัง...งอกเงยแผ่ขยายทั่วผนังโรงงานคล้ายเส้นเลือดสีดำบนใบหน้าศพ ด้านข้างคือซากปรักหักพัง และตอไม้สีดำเหมือนถ่าน                 ฉันยอมตายดีกว่า... หากจะให้เข้าไปทำงานที่นั่นตลอดทั้งชีวิต                 “ถึงคฤหาสน์แล้ว ใครจะลงก็ลงไป!”                 คนขับหยุดรถหน้าทางแยก ทางแยกอีกทางเป็นถนนคอนกรีตสีขาว ซึ่งขนาบข้างด้วยต้นสนสูงปลายยอดโค้งเข้าหากัน คือถนนทางเข้าคฤหาสน์ ที่ฉันแอบให้สมญาว่าอุ้งมือยักษ์สีเขียว             ฉันขอบคุณพวกคนงานเป็นภาษาพื้นเมือง แล้วโดดลงจากรถ ฉันคิดว่าควรจะทำท่าเท่ห์ๆให้พวกเขาดู ให้สมกับเป็นลูกชาวสวนที่ปีนต้นไม้เก่ง ปรากฏว่าพื้นดินมันลื่ม ฉันจึงหกคะเมนไม่เป็นท่า                 ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ...คราวนี้เสียงหัวเราะดังสนั่น ต่อเนื่อง และยาวนาน                 พวกเขาต่างชี้มาที่ฉัน ซึ่งนั่งจุ่มปุ๊กอยู่ในบ่อโคลน แม้รถแล่นไปไกลแล้ว เสียงหัวเราะก็ยังดังมา                 “บ้าฉิบ” ฉันสบถ ดูไม่น่ารักเลย แต่ไม่มีใครเห็นนี่นา                 ฉันเดินเข้าไปตามถนนสายนั้น...เบื้องหน้าคือแสงสว่างสีขาว เมื่อออกไปสู่ทางนั้น ฉันจะพบประตูทางเข้าคฤหาสน์  ใจเต้นตึกๆ ตื่นเต้นเหลือเกิน ฉันจะได้พบเจออะไรต่อจากนี้นะ เดาไม่ออกเลยจริงๆ                 ออด... ออด...                 ฉันกดกริ่ง... นานพอสมควรกว่าจะมีคนออกมารับ                 คราวนี้ไม่ใช่ชายชราๆ แต่เป็นสาวใช้วัยรุ่น คนที่ฉันเจอเมื่อเดือนก่อน                 “อ้าว เธอนั่นเอง สวัสดีจ้ะ” ฉันทักเธอเหมือนเป็นคนรู้จักกัน แต่สาวใช้คนนั้นกลับชักสีหน้าเย็นชาใส่ฉัน และพูดเสียงห้วนๆ                 “คุณรินทร์บอกให้เข้าไปในบ้าน”                 “จ..จ้า” ฉันรู้สึกแย่มากกับกิริยาของเด็กคนนี้ เธอดูเหมือนจะอายุแค่ 14-15 เท่านั้นเอง แต่พูดจากับฉันไม่ดีเลย                 เมื่อเข้าไปในบ้าน...ฉันถอดรองเท้าเปื้อนโคลนไว้ก่อนจะเหยียบลานหินแกรนิตสีขาว สาวใช้คนนั้นหันมามองกระโปรงเปื้อนๆของฉัน และเบะปาก                 “มาแล้วเหรอพริมา!” เท้าใครคนหนึ่งโผล่พรวดมาตรงหน้าฉัน ระหว่างฉันกำลังนั่งยองๆถอดรองเท้า                 “เฮ่ยยย!” ฉันจะดุ้งโหยง และเมื่อเห็นว่าเป็นคุณธีรไนย ก็รีบยกมือไหว้ ปรับสุ้มเสียงให้เป็นปกติ                 “ส..สวัสดีค่ะ”                 “กำลังรอเธออยู่พอดีเลย” เขายิ้มอ่อนๆ...ก่อนหลุบตาลงมองชายกระโปรง “ไปหกล้มที่ไหนมาเนี่ย”                 “ฉ..ฉันหกล้มที่หน้าทางเข้าน่ะค่ะ พอดีถนนมันลื่น”                 “ช่วงนี้ฝนตกส่งท้ายฤดูหนาว เวลาเดิน...ต้องระวังๆหน่อยนะ” เขายื่นมือให้ฉันจับ เพื่อจะดึงให้ลุกขึ้นอย่างอ่อนโยน ท่าทางของเขานุ่มนวล มือของเขาก็อ่อนนุ่ม เขาพาฉันเดินเข้าบ้านอย่างเนิบนาบ ดูคล้ายฉันได้ควงเจ้าชายคนหนึ่ง ในเทพนิยาย และเขากำลังจะพาฉันไปเต้นรำ                 “ทุกคนกำลังรอที่จะได้รู้จักคุณ” เขาหันมายิ้มอีก ดวงตากลม กลีบปากบาง...สีชมพูอ่อนบนใบหน้ารูปไข่ เขาหน้าตาดี...แต่ไม่ทำให้ฉันตะลึง เพราะรู้สึกว่าโครงหน้าเขาละมุนจนดูเหมือนหญิงสาวมากกว่าชาย                 “พี่ไนยคะ” เสียงหนึ่งดังขึ้น... เป็นเสียงที่ทำให้ฉันใจหายวาบ มือที่วางอยู่บนแขนของธีรไนย ร่วงฮวบลงข้างลำตัวทันที                 ร่างสูงโปร่ง...ในชุดกระโปรงยาวลากพื้น ค่อยๆเยื้องย่างผ่านเข้ามาในคลองสายตา                 คือธีรดานั่นเอง ดวงตาสีดำเหลือบเงินของเธอ มองมาที่ฉัน อย่างมีเลศนัย                 “มาแล้วหรือจ๊ะ พริมา”  เธอเรียกฉันอย่างสนิทสนม...พลางแย้มยิ้มน่ารัก  แต่ฉันไม่หลงกลอีกแล้ว ความน่ากลัวของเธอวันนั้นได้จับใจ                 “น้องๆคนอื่นพร้อมหรือยัง” ธีรไนยถามน้องสาว ธีรดาพยักหน้า...ตายังจับจ้องที่ฉัน                 “ไม่ต้องพร้อมมากหรอกค่ะ” มิรินทร์ปรากฏตัวทางด้านหลัง ฉันรีบหันขวับไปมอง เห็นเธอเดินเข้ามาในชุดสูทสีขรึม ทรงผมตัดสั้นเข้ากับรูปหน้า เธอสวยแต่ดูเคร่ง ความเจ้าระเบียบในแววตา ทำให้เสน่ห์ขาดหายไป                 “แค่พี่เลี้ยงเด็กเอง แนะนำสองสามนาทีก็พอแล้ว”                 เธอพูดเหมือนฉันไม่สำคัญ และฉันก็ยอมรับโดยสดุดี...ว่าตนเองไม่สำคัญจริงๆ                 “เดี๋ยวใครจะอธิบายวิธีการทำงานให้พริมาฟัง” ธีรไนยถามภรรยา...เห็นในแววตาเขาที่มองเธอ ฉันรู้สึกเหมือนเขาคุยกับผู้ร่วมงานมากกว่าคนรัก                 “รินทร์เองค่ะ” เธอยกมือ และเร่งเขาโดยการรุนหลังเบาๆ “รีบเข้าไปกันเถอะ เดี๋ยวน้องๆต้องรีบไปทำงานต่อ เสียเวลามากแล้ววันนี้”                 “ตกลง...” ธีรไนยหันมาพยักหน้าให้ฉัน                 ฉัน...จึงเดินตามเจ้านายทั้งสาม คือ  ธีรไนย ธีรดา และมิรินทร์ เข้าไปในห้องรับแขกพร้อมกัน ได้รู้ว่าด้านหลังบันไดคือประตูไปสู่ห้องโถงขนาดใหญ่ ที่มีโซฟาสีขาวตั้งเรียงอยู่                 เมื่อฉันปรากฏตัว...ลูกชายที่เหลือทั้ง 4 คนของตระกูลอัครโยธินก็ลุกขึ้น                 ฉันก้มหน้าทันที! ไม่กล้าสบตาพวกเขา                 “แนะนำทีละคนนะ สำหรับธีรไนยเธอคงรู้จักแล้ว คุณธีรไนย เป็นลูกชายคนโตของตระกูล และเป็นคนสำคัญที่สุด เพราะเขาต้องดูแลน้องๆทุกคน ไม่ว่าใครจะทำอะไร ต้องมาขออนุญาตจากเขาก่อน”  มิรินทร์แนะนำสามีตนเองก่อนเป็นอันดับแรก เน้นย้ำคำว่า ‘สำคัญที่สุด’ อย่างชัดถ้อยชัดคำ ถึงแม้สีหน้าและแววตาของทุกคนในบ้านขณะนั้น ยกเว้นธีรดา บอกใบ้ให้ฉันรู้ว่า...คำ ‘สำคัญที่สุด’ ที่มิรินทร์เพิ่งพูดนั้น ไม่เป็นความจริง                 “และคนที่สอง คือ ธีรนันท์ ลูกชายคนที่สองของตระกูล ทำหน้าที่เป็นผู้บริหารบริษัท AK-FRUIT จบการตลาดมาจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ เขาเป็นความภาคภูมิใจของพวกเรา”             ฉันเงยหน้ามอง...เห็นผู้ชายใส่แว่นคนนั้น รู้สึกว่าหน้าตาเหมือนในหนังสือพิมพ์ไม่ผิดเพี้ยน รีบไหว้เขา แต่ชายร่างสูงราวเสาโทรเลขคนนั้นไม่รับไหว้ฉัน เพียงมองด้วยสายตาเฉยเมย ก่อนจะยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู                 “ลูกชายคนที่สามของบ้าน คือ ธีรเมธ” มิรินทร์ผายมือไปยังผู้ชายร่างสัดทัด...ตัวไม่สูง ผมหยักศก ผิวค่อนไปทางแดง เขาจัดเป็นคนหน้าตาดี แต่น้อยที่สุด...ในหมู่ลูกชายทั้งหมด หลังกวาดตามองผ่านเพียงแวบเดียว                 เมื่อฉันยกมือไหว้ คนชื่อธีรเมธก็รับไหว้ฉันเพียงลวกๆ และยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเหมือนกับพี่ชายคนที่สอง อีกทั้งชุดสูทที่เขาใส่....ก็ยังดูคล้ายกับพี่ชายคนที่สองด้วย                 “นี่คือคุณ ธีรดา ที่เธอรู้จักดีแล้วจากเมื่อวันสัมภาษณ์ น้องรดาเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวในบ้านหลังนี้ เธอทำหน้าที่ดูแลตาธีรพลหลังจากคุณแม่ได้เสียไป และก็ดูแลเรื่องการบ้านการเรือนของที่นี่”                 มิรินทร์พูดพลางหันไปยิ้มธีรดา เจ้าหญิงคนงามก็แย้มรอยยิ้มน่ารักตอบ                 “ลูกชายคนที่สี่ของบ้าน คือธีรดนย์” มิรินทร์ชี้ไปที่ชายคนหนึ่ง ซึ่งยังนั่งอยู่กับโซฟา ไม่ได้ลุกขึ้นเหมือนผู้ชายคนอื่น  เขาเงยหน้ามองฉัน...เพียงนิดเดียวก็รีบตวัดสายตาลงต่ำตามเดิม                 ผู้ชายคนนี้หน้าตาดีที่สุดในบ้าน เพียงแวบเดียวที่มอง...ฉันก็รู้สึกว่าเขามีบางอย่างเป็นพิเศษ มีพลัง...ดังไฟธนูแล่นปักอก เพียงแวบเดียว ที่ดวงตาทรงเสน่ห์ คมวาว ดังเกล็ดงูพิษ...ได้จ้องมาทางฉัน                  หน้าแดงซ่านขึ้น...โดยฉันไม่ได้ตั้งใจให้มันเกิดขึ้น และภาวนาไม่ให้มีคนสังเกตเห็น                 “ธีรดนย์นี่เค้าเพิ่งเรียนจบมหา’ลัยมาหมาดๆ ตอนนี้กำลังฝึกงานที่บริษัทเป็นผู้ช่วยนันท์อยู่”                  “และคนสุดท้ายนี่คือลูกชายคนที่ห้าของบ้าน คือธีรเจต” มิรินทร์ชี้ ให้เห็นคนที่ดูตลกสุดในบ้าน หัวเขาฟูฟ่อง...เหมือนสิงโต อย่างกับใส่วิกไว้ เขาสูงกว่าฉันประมาณสิบเซนต์  กำลังยิ้มร่า...เห็นเขี้ยวเสน่ห์วับแวว                 “ไหว้ผมสิ มัวยืนนิ่งอยู่ทำไม” เขาเร่งฉันให้ไหว้                 ฉันรีบไหว้ทันทีด้วยความเชื่อง เพียงเท่านั้น ธีรดาก็รีบเดินเข้าไปหยิกท้องแขนเขา แทนการลงโทษ                 “โอ๊ยยยย” เขารีบสะบัดแขนออก...ใบหน้าที่กำลังยิ้มบึ้งตึง                 “ทีหลังไม่ต้องไหว้ตาเจตย์นะ” ธีรดาหันมาบอกฉัน “เขาอายุน้อยกว่าเธอ อายุแค่ 16 เท่านั้นเอง เขาเป็นเด็กแก่แดดประจำบ้าน เด็กเกเรที่วันๆเอาแต่ก่อเรื่องวุ่นวาย”                 “ชิ่!” ธีรเจตสะบัดหน้าไปทางอื่น มือไขว้หลัง ทำปากขมุบขมิบ                 มิรินทร์กระแอมเล็กน้อย...ก่อนจะเริ่มแนะนำสมาชิกในบ้านต่อ                 “ส่วนลูกชายคนที่หก คือธีรพล น้องชายคนเล็กของบ้านที่ฉันกำลังจะพาเธอขึ้นไปพบเขาบนห้องนอนถัดจากนี้”              เมื่อมิรินทร์พูดจบ... เสียงถอนหายใจจากธีรนันท์ ชายใส่แว่นที่หน้าตาฉลาดสุดในบ้านก็ดังขึ้น ราวเป็นสัญญาณว่าให้ทุกคนแยกย้ายตัว พี่น้องทุกคนเดินกระจาย จากกันไปคนละทิศ               มีบางอย่างหายไป...                 “ลูกชายคนที่เจ็ดล่ะค่ะ” ในที่สุด ฉันก็พูดออกมา                 ทุกคนหันขวับมาจ้องฉัน!             ฉันรีบก้มหน้าลง...รู้สึกว่าทำพลาดไปอีกแล้ว                 “เมื่อกี๊ถามว่าไงนะ” เสียงธีรนันท์ดังขึ้น เพิ่งได้ยินเสียงเขาเป็นครั้งแรก ทรงอำนาจ เด็ดขาดและห้วน                 ฉันรู้สึกว่า...ฉันพูดชัดเจนไปแล้วตั้งแต่ทีแรก การที่เขาถามกลับมาอีก ส่อถึงสัญญาณไม่ค่อยดีเท่าไหร่  ก็ในเมื่อทั้งน้า ทั้งเพื่อนๆ ทั้งชาวบ้านทั่วไป ทุกคนต่างบอกเป็นเสียงเดียวว่าบ้านหลังนี้มีลูกชายเจ็ดคน กับลูกสาวหนึ่ง แล้วทำไมตอนนี้ พวกเขาทำเหมือนไม่มีอีกคนอยู่ด้วย                 “พี่รินทร์คะ พาคุณพริมาขึ้นไปพบตาพลเถอะค่ะ เดี๋ยวทางนี้รดาจัดการเอง” เสียงธีรดา...ดึงสายตาของผู้ชายทุกคนในบ้าน...ให้คลายไปจากฉัน ช่วยชีวิตกันไว้ได้มากเลยทีเดียว                 “จ้ะ น้องรดา” มิรินทร์รับคำ...ก่อนตวัดสายตาดุๆมาทางฉัน เหมือนมองตัวก่อเรื่อง “ตามมา!”                 ฉันหน้าเจื่อน รีบเดินตามมิรินทร์ที่เดินฉับๆขึ้นบันไดด้วยอาการหวาดวิตก เมื่อไปถึงขั้นบันไดขั้นสุดท้าย ฉันก็หันลงไปมองธีรดาด้วยสายตาเป็นห่วง                   มาถึงห้องของธีรพล...                 มิรินทร์เคาะประตูเล็กน้อย และส่งเสียงอ่อนหวาน…หวานไม่ชวนคาดคิด ว่าจะได้ยินจากผู้หญิงที่ดูเคร่งเครียดตลอดเวลาอย่างเธอ                 “พลจ๋า... เปิดประตูให้พี่รินทร์เข้าไปหน่อยนะลูก”                 เงียบ... ไม่มีเสียงตอบ                 “พลจ๋า... งั้นให้พี่รินทร์เข้าไปน้า”                 เงียบ...                 วังเวงชอบกล...ฉันเริ่มสงสัย ว่ามีเด็กอยู่ในห้องจริงหรือเปล่า                 “พล” มิรินทร์ตัดสินใจผลักประตูเข้าไปในห้องที่มืดสนิท...จนดูราวไม่ใช่ห้องเด็ก เมื่อแสงจากภายนอกสาดเข้าไปกระทบดวงตาสีขาว วาวเหมือนตาแมว ฉันถึงกับสะดุ้งโหยง!                 มิรินทร์กดเปิดไฟ...                 ไฟในห้องสว่างขึ้น เผยให้เห็นว่าดวงตาวาววามเมื่อครู่ เป็นเพียงดวงตาอันไร้เดียงสาของเด็กคนหนึ่ง                 “ทำไมไปนั่งกอดเข่าอยู่ตรงนั้นอีกแล้วจ้ะ ฝันร้ายอีกหรือ”                 เด็กผู้ชายอายุประมาณ 10 ขวบ นั่งซุกอยู่ตรงซอบหลืบระหว่างเตียงกับผนังห้อง หน้าตาซีดเซียวคล้ายคนป่วย ปากเล็กจิ้มลิ้มเป็นสีชมพูอ่อนๆ ดวงตาดำสนิทสีเหล็กจ้องมองมาที่ฉันอย่างไม่ไว้วางใจ                 “ธีรพลจ๊ะ นี่คือพริมา เขาเป็นพี่เลี้ยงคนใหม่ ที่จะมาดูแลหนู” มิรินทร์ผายมือมาทางฉัน ก้าวเดินช้าๆเข้าไปในห้อง และฉันเดินตาม                 “หวัดดีจ้า” ฉันโบกมือ...และยิ้มให้เด็กน้อย  แต่เขาไม่ยิ้มตอบ                 “ธีรพลจ๊ะ ไหว้พี่เขาสิจ๊ะ” มิรินทร์แย้มยิ้มอย่างอ่อนโยน                 “ไป...ให้พ้น” เสียงรอดไรฟันดังขึ้น  ฉันฟังไม่ถนัด                 “ไปให้พ้น!” เขากรีดร้องออกมา...                 ฉันผงะ...ถอยหลังไปด้วยความกลัว                 “อย่าทำอย่างนี้ ตาพล!” มิรินทร์พยายามดุ แต่เสียงฟังดูเหมือนกำลังกลัวเด็กคนนั้นมากกว่า                 “เอ่อ... คือ... พี่ไม่ได้มาทำร้ายหนูนะจ๊ะ” ฉันพยายามเกลี้ยกล่อม                 “ผมไม่ต้องการพี่เลี้ยง” เขากรีดอีก...คราวนี้กระโดดขึ้นมายืนบนเตียง จ้องฉันโกรธเกรี้ยว ตาขวาง เหมือนปีศาจตัวเล็ก และเขาทำให้ฉันกลัว เริ่มลังเลถอยหลัง                 “พล! นั่งลง อย่าโวยวายสิจ๊ะ” มิรินทร์พยายามจะโผเข้าไปกอดเขา แต่เด็กน้อยสะบัดตัวออก                 “ไป! ไป! ไป! ออกไป!”                 ...แล้วเขาก็คว้าโคมไฟหัวเตียง ขว้างสุดแรงมาที่ฉัน             เพล้ง!             โคมไฟแตกเป็นเสี่ยงๆ เข่าทรุดฮวบลงกับพื้น และเลือดสีแดงเหมือนแอปเปิล หยดลงบนพื้นหินแกรนิตสีขาว  
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม