ตอนที่ 5

4724 คำ
            “ใครก็ได้! ไปเอาผ้าพันแผลมาเร็ว” ...เสียงของคุณมิรินทร์ดังผ่านมากระทบหู                 ในทัศนียภาพที่มืดบอด มองไม่เห็นสิ่งใดนอกจากผ้าเช็ดตัวผืนย่อม ที่ปิดบังใบหน้าส่วนบนไว้ทั้งหมด                 “เกิดอะไรขึ้น!” นั่นคือเสียงธีรดา...เจ้าหญิงของบ้าน ตามมาด้วยเสียงฝีเท้าๆคนวิ่งขึ้นบันได                 “ตาพลน่ะสิ ก่อเรื่องอีกแล้ว” มิรินทร์พยุงแขนข้างขวาของฉัน ขณะที่มืออ่อนนุ่มของใครอีกคน ปรี่เข้ามาประคองแขนข้างซ้าย                 “พาลงไปข้างล่างก่อน” สองสาวช่วยกันพยุงฉัน กึ่งเดินกึ่งวิ่งลงบันได                 ฉันไม่เจ็บ ไม่รู้สึกอะไรบนหน้าผากทั้งนั้น เพียงแค่ชาๆ แต่สิ่งที่จะทำให้ฉันตายก็คงเป็นเพราะการลากทึ้งของผู้หญิงทั้งสอง คุณมิรินทร์...ภรรยาของธีรไนย กับธีรดา...ลูกสาวคนเดียวของตระกูล พวกเขาไม่รู้ว่าการวิ่งลงบันไดโดยมองไม่เห็นทางนั้น สร้างความหวาดเสียวให้คนเดินมากแค่ไหน                 “ก้าวดีๆ ระวังสะดุด” เสียงอ่อนโยนผู้ชายที่คุ้นหูดังขึ้น ฉันจำได้แม่น...ว่าเป็นเสียงของธีรไนย             เมื่อพยุงฉันลงมาถึงข้างล่างได้เสร็จสมบูรณ์ หย่อนลงโซฟาเรียบร้อย มิรินทร์ก็ดึงผ้าขนหนูที่ปิดหน้าปิดตาฉันออก เผยให้ทุกคนในห้องโถงเห็นว่า หน้าผากฉัน มีเลือดโกรก และเส้นผมดำสนิทเปื้อนเลือด ติดเป็นกระจุกๆ ชวนสยดสยอง                 “เจ็บหรือเปล่า  พริมา” คุณธีรไนยค่อยๆปาดผมที่ปรกใบหน้าฉันออก                 “ไม่ค่ะ ไม่เจ็บเลย” ฉันละล่ำละลักตอบ... มองไปรอบห้องด้วยดวงตาที่เกือบจะพร่า เห็นว่าสมาชิกของตระกูลอัครโยธินทุกคน ที่ฉันเห็นเมื่อครู่ก็ยังอยู่ครบ                 “ทำไมเกิดเรื่องขึ้นได้” ธีรนันท์...หนุ่มร่างสูงโปร่ง ยืนกอดอกถามมิรินทร์ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด                 “ไม่รู้สิ อยู่ๆแกก็ลุกขึ้นมากรีดๆ แล้วก็ขว้างโคมไฟใส่พี่เลี้ยงคนใหม่” มิรินทร์ตอบ                 “ไอ้เด็กบ้า! สันดานชักจะเสียขึ้นทุกวัน” ธีรเมธ ชายหนุ่มผมหยักศกผิวค่อนไปทางแดงโวยออกมา                 “มีเรื่องวุ่นๆให้ต้องเสียเวลาทำงานอีกแล้ว” ธีรนันท์บ่นอย่างหัวเสีย...ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู                 “พี่นันท์จะไปทำงานก่อนก็ได้นะคะ เดี๋ยวทางนี้รดาจัดการเอง” เจ้าหญิงของบ้านเสนอความเห็น                 “ไม่ได้หรอก คนมาเจ็บในบ้านเราแบบนี้ ต้นเหตุก็เป็นคนของเราด้วย” ธีรนันท์เอ่ยเสียงหนักแน่นก่อนหันมาพูดกับฉัน “หวังว่าเธอคงไม่ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ คงไม่เอาเรื่องขึ้นโรงขึ้นศาลหรอก...ใช่มั้ย”                      ใจฉันแฟบลง เมื่อรู้ว่าเขาไม่ได้เป็นห่วงฉัน แต่เป็นห่วงชื่อเสียงของตระกูลมากกว่า                 “ไม่ค่ะ... ฉันไม่ทำอย่างนั้นหรอก”                 “ธีรพลนิสัยแย่ขึ้นทุกวันๆ” ธีรเมธบ่นอย่างหัวเสีย.... “ต้องทำอะไรสักอย่างให้มันรู้สำนึกบ้าง”             “ก็ตาพลมันยังเด็กอยู่นี่นา จะเอาอะไรกับมันนักหนา” มิรินทร์โพล่ง มือสาละวันอยู่กับการใช้สำลีจุ่มแอลกอฮอล์ เช็ดแผลให้ฉัน                 “พี่รดาพูดแบบนี้มาตั้งแต่มันอายุ 5 ขวบ จนตอนนี้เด็กเสียคนไปแล้ว” ธีรเมธออกโรงว่าด้วยอารามหงุดหงิด                 “เอาน่า  ค่อยอบรมมันไปก็ได้ ปล่อยผู้หญิงจัดการไป เราเป็นผู้ชาย มีเรื่องอื่นให้คิดมากกว่านั้นเยอะ”                 เมื่อธีรนันท์ออกเสียงปราม ธีรเมธก็เงียบ อาการหงอคล้ายไม่ว่าธีรนันท์พูดอะไรออกมา เขาก็เชื่อหมด                 จากโซฟาฝั่งตรงข้าม...ฉันเห็นธีรเจต กับธีรดนย์นั่งอยู่ด้วยกัน ธีรเจตจ้องหน้าฉันด้วยแววตาอยากรู้อยากเห็น ในขณะที่ธีรดนย์...จ้องมองฉันด้วยสีหน้านิ่งสงบ เดาไม่ถูกว่าเขาคิดอะไร                 ฉันหลบเขา...แม้ใจจริงอยากสบตา รู้สึกว่ายิ่งมอง...ชายหนุ่มตรงหน้าก็ยิ่งมีเสน่ห์                 “มาวันแรกก็เกิดเรื่องซะแล้ว หวังว่าคงไม่รีบลาออก ใช่มั้ยจ๊ะ พริมา” เสียงเย็นๆของธีรดาดังขึ้น ขณะที่ใช้กรรไกรตัดฉับ ส่วนเกินของผ้าพันแผล...ร่วงลงพื้น คมกรรไกรห่างจากตาฉันเพียงนิดเดียว                 “ไม่ค่ะ... ฉันไม่ลาออกหรอก” ...รีบตอบ                 ฟื่ดดดด! ธีรดากระชากกระดาษกาวออกจากแกน  แล้วแปะบนหน้าผากฉันอย่างไม่นุ่มนวลนัก                 “ดีนะ แผลไม่ลึกมาก ไม่ต้องส่งโรง’บาลเหมือนพี่เลี้ยงคนที่แล้ว” มิรินทร์บ่นอุบกับธีรดา                 ฉันขนลุก...นี่แสดงว่าฉันไม่ใช่คนแรก เคยมีคนต้องเข้าโรงพยาบาลเพราะเด็กคนนั้นด้วย                 “ทำแผลเสร็จแล้วใช่มั้ย” ธีรนันท์ถาม...เมื่อเห็นมิรินทร์เก็บอุปกรณ์ปฐมพยาบาล                 “เจ็บมั้ย พริมา” ธีรไนยลูบหัวฉัน                 ตลอดเวลาที่ทำแผล...เขาคอยอยู่ใกล้ๆไม่ห่าง แต่ฉันไม่ได้คิดแม้สักน้อย ว่าเขารู้สึกกับฉันเกินคำว่าเมตตา...ที่มีต่อเพื่อนมนุษย์คนหนึ่ง                 เขาเป็นคนใจดี...เหมือนเทวดา ท่ามกลางพวกพี่น้องคนอื่นๆ...ที่ดูใจคอคับแคบ                 “ฉันพร้อมจะทำงานต่อแล้ว” ฉันรีบลุกขึ้นยืน...เพื่อให้ทุกคนเบาใจลง                 “เอาล่ะๆ ในเมื่อไม่เป็นไรแล้ว ผมก็ขอตัวไปทำงานก่อนนะ” ธีรนันท์กล่าวกับฉัน ก่อนหันไปผงกหัวให้ธีรดากับมิรินทร์เล็กน้อย แล้วก้าวฉับๆออกไปจากคฤหาสน์ โดยมีธีรเมธ คอยวิ่งตามต้อยๆ                 “ดนย์...” ธีรดาหันไปพูดกับหนุ่มที่หล่อสุดในบ้าน “ไม่มีอะไรแล้วล่ะ รีบตามพี่ๆไปทำงานเถอะ”                 ธีรดนย์ลุกขึ้น...เดินช้าๆไปที่ประตูคฤหาสน์ ฉันลอบมองตามเขา รู้สึกว่ากิริยาเขาเชื่องช้าไม่ต่างจากธีรไนย หากแต่ผู้ชายคนนี้... คนที่ชื่อธีรดนย์ ไม่ได้ดูอ่อนโยนเหมือนธีรไนยพี่ชายคนโต แต่เขาช่างเย็นชา  และดูว่างเปล่ากว่า...ไร้อารมณ์ความรู้สึก คล้ายทั้งร่างเขา ถูกหลอมขึ้นมาจากน้ำแข็ง ไม่มีเลือดเนื้ออยู่ภายใน                 “เจต!” ถึงคิวธีรดา...หันมาหาน้องชายวัยรุ่นตัวเฮี้ยวบ้าง  เขายังคงจดๆจ้องๆฉันอย่างสนใจ คล้ายกำลังมองของเล่นใหม่                 “ตาเจต!” ธีรดาเดินมาดึงหูเขา...เพื่อให้สนใจฟังเธอบ้าง “วันนี้มีเรียนพิเศษไม่ใช่เหรอ ไม่รีบไปล่ะ”                 “น่าเบื่อ” เขาสะบัดหัวเพื่อให้มือพี่สาวหลุดจากหู มองหน้าค้อนก่อนจะเดินเชิ่ดไปที่ประตูคฤหาสน์                 “พี่ไนยไปส่งเจตหน่อยสิคะ ให้แกไปเองเดี๋ยวก็โดดเรียนอีก” ธีรดาหันไปหาพี่ชายคนโต                 “อ้อ ได้ๆ งั้นเดี๋ยวพี่ขอตัวก่อนนะ” เขาพูดกับน้องเสร็จ...ก็หันมาหาฉัน “ผมขอตัวก่อนนะครับ”                 ฉันยิ้มตอบ... มองจนกระทั่งเขาวิ่งลับหายไปจากประตูคฤหาสน์                 “สามีฉันก็เป็นอย่างนี้ ใจดีกับทุกคน” มิรินทร์พึมพำกับตัวเอง แต่ฉันรู้ว่าเธอตั้งใจให้ฉันได้ยิน                 เธอเก็บของสักพัก...ก็หันไปหาธีรดา “เดี๋ยวพี่ขึ้นไปดูธีรพลหน่อยนะจ๊ะ”                 “ค่ะ... เชิญเลยค่ะ” ธีรดาผายมือไปที่บันได                       แล้วฉันก็สังเกตเห็นว่า...ธีรดาเอาแต่จ้องมอง พี่สะใภ้ของตนเดิน ตึก ตึก ตึก... ขึ้นบันไดไปทีละขั้นๆ จนกระทั่งถึงประตูห้องธีรพล                  ในทันทีที่มิรินทร์ปิดประตู ...ปึ้ง!   ธีรดาก็หันขวับมาจ้องฉัน ราวกับรอเวลานี้มานานแล้ว             “เป็นไงบ้าง มาทำงานวันแรกก็เกิดเรื่องขึ้นมากมาย”                 “รู้สึกไม่ค่อยดีเลยค่ะ” ฉันตอบ... นึกว่าเธออยากรู้จริงๆ                 “แน่นอนอยู่แล้วว่าต้องรู้สึกไม่ดี” เจ้าหญิงผู้แสนอ่อนหวาน...เฉพาะเมื่ออยู่ต่อหน้าพี่น้องทุกคน เยื้องย่างมานั่งไขว่ห้าง ยังโซฟาตรงข้ามฉัน “ถ้าฉันเป็นเธอ ฉันคงรู้สึกไม่ดี และคง...จะรีบลาออกจากที่ทำงานทันที”                 ฉันเงียบ... รู้ว่าเธอต้องการอะไร ถึงได้พูดแบบนั้นออกมา                 “ถ้าฉันเป็นเธอ...” ธีรดายิ้มมุมปาก ไล้นิ้วมือบนพื้นผิวโซฟาเล่น “คงไม่ทนอยู่ที่นี่ต่อแน่”             “ฉันอยากลองดูให้ถึงที่สุดก่อนน่ะค่ะ ถ้าไม่ไหวจริงๆค่อยลาออก” ฉันตอบตามตรง ด้วยเสียงเศร้า             “ไม่เข้าใจ ว่าเธอจะแสร้งทำเป็นคนดีไปทำไมนักหนา” เธอพึมพำเสียงเบาๆ แต่ฉันได้ยิน                 “ค..คุณ ว่าอะไรนะคะ”                 “เปล่านะ ฉันไม่ได้พูดอะไรเลย” เธอยิ้มเยื้อน...ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้                 “ฉ..ฉัน ขอตัวกลับขึ้นไปดูคุณธีรพลดีกว่า” ฉันรีบลุกขึ้น หันหลังเตรียมจะเดินไปที่บันได                 “ถ้าเป็นคนดีจริง เมื่อรู้ว่ามีคนเกลียดถึงขนาดนี้ คงไม่ด้านหน้ากลับมาหรอก” เธอพึมพำอีก                 ฉันหันขวับ...ไปจ้องเธอ และเธอยังคงทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้                 “ในเมื่อพูดถึงขนาดนั้น ทำไมคุณไม่ไล่ฉันออกเลยล่ะคะ” ฉันถามเธอ...                 “ฉันไม่มีอำนาจไล่ใครในบ้านออก และไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะไล่เธอออกด้วย ถ้าทำอย่างนั้นพี่ๆจะสงสัย แต่ฉันก็สงสัยเธอเหมือนกันนะ ว่าทำไมทั้งที่ฉันอยากให้เธอออกจากบ้านมากขนาดนี้ ...แต่เธอก็ยังอยู่  ถามจริงเธอคิดวาตัวเองจะมีความสุขในบ้านหลังนี้ได้เหรอ” เธอถามกลับมา                 “ฉันแค่…อยากได้เงิน” ฉันพึมพำบ้าง...                 “แล้วเป็นไง น้องชายฉันหล่อมั้ย” จู่ๆ...ธีรดาก็พูดเสียงดังขึ้น                 ฉันหน้าซีดขึ้นอย่างคนตกใจ ถามเธอ... “หมายความว่าไงคะ!”                 เธอกระตุกมุมปากข้างหนึ่ง...ยิ้มอย่างกำชัย ก่อนปางบางจะคลี่ออก เพื่อพูดชื่อนั้น...                 “ธีรดนย์”                 “อ...อะไรนะคะ” ฉันรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก                 “เมื่อกี๊... ฉันเห็นเธอ หน้าแดง ตอนที่จ้องเขาด้วยล่ะ”             หัวใจสูบฉีดเลือดพุ่งขึ้นหัว... แผลที่ตอนแรกเพียงชา เริ่มปวดขึ้นมาหนึบๆ                 “ไม่ต้องอายหรอก ใครๆก็ชอบธีรดนย์กันทั้งนั้น เขามีเสน่ห์นี่นา”                 “ฉันไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นแน่” ...พูดอึกอัก ตาหลุบลงต่ำ                 “ฮึ่” เธอแค่นเสียงหัวเราะ เดินนวยนาดไปที่ประตูเข้าห้องครัว ทิ้งประโยคหนึ่งไว้ ก่อนหายตัวไปในนั้น                 “เลิกใส่หน้ากากไร้เดียงสาซะที รู้มั้ย  ว่าน่ารำคาญ จนทำให้ฉัน...จะอ้วก” ******************                 ผ่านไปหลายชั่วโมง..คุณมิรินทร์ยังคงนั่งอยู่ในห้องนอนของเด็กน้อย เพื่อเกลี้ยกล่อมเขา ให้หันมาทำความรู้จักกับฉัน             “พลจ๊ะ... พลหันมาหน่อยสิ หันมามองพี่คนนี้หน่อย”                 เด็กดื้อคนนั้นยังคงหันไปทางอื่น เวลาผ่านไปนาน เขาไม่ขยับตัวแม้แต่น้อย ฉันสงสัยว่าเป็นคนจริงหรือเปล่าอะไร คุณมิรินทร์ดูเพลียเต็มที เธอหาว...ก่อนจะลุกจากเตียง ที่มีธีรพลนั่งกอดเข่า หันหลังให้อยู่อีกด้านหนึ่ง                 “เฮ่ออ แย่จัง วันนี้คงจะไม่สำเร็จหรอก ปล่อยไว้แบบนี้ก่อนก็แล้วกัน”             ขณะนั้น...สาวใช้ประจำบ้านได้ยกถาดอาหารขึ้นมา นอกจากถาดข้าวต้มสองถ้วยแล้ว ยักมีขนมปังลูกเกด เธอวางถาดข้าวไว้ตรงโต๊ะกลมหน้าห้อง ก่อนจะเริ่มรินน้ำดื่มจากเหยือกลงบนแก้วเปล่าสองแก้ว                 “นี่ข้าวต้มกุ้งของเธอ ส่วนนี่ของธีรพล” มิรินทร์คุยกับฉัน...ยกชามข้าวต้มให้ ก่อนจะหันไปถามสาวใช้ “แล้วยาสมุนไพรของตาพลล่ะ น้องรดายังทำไม่เสร็จเหรอ”             “คุณรดาบอกว่าช่วงนี้งดไว้ก่อนค่ะ สมุนไพรที่จะใช้เคี่ยวมันหมด คงต้องรออีกสักพักกว่าหมอยาจะส่งยามาให้” สาวใช้ตอบ โค้งเล็กน้อย ก่อนออกไปจากห้อง             “ฉันต้องป้อนข้าวให้เขามั้ยคะ” ฉันถาม... นั่งกอดเข่าอยู่ห่างๆที่ประตู ในท่าทีเตรียมพร้อมจะหลบหลีกได้ทุกเมื่อ หากมีข้าวของลอยหวือมา                 “ไม่ต้องหรอก เขากินข้าวเองได้ แต่เธอต้องคอยกำกับให้เขากินยานะ เพราะเขาไม่ค่อยชอบกินยา” มิรินทร์พูดเสียงเหนื่อยหน่าย             “ยาของเขาจะมีทั้งยาแผนปัจจุบันและสมุนไพร ยาแผนปัจจุบันฉันจะวางไว้ที่หัวนอนเขา ถ้าหมดเธอก็มาเบิกได้ แต่สำหรับยาสมุนไพร น้องรดาจะเคี่ยวสดๆทุกวัน แล้วจะให้เครือยกขึ้นมาเสิร์ฟเธอที่ห้อง สำหรับเรื่องยานี่ ธีรพลเขาจะดื้อมาก ถ้าเขาออกฤทธิ์เยอะๆไม่ยอมกินจริงๆเธอก็มาเรียกฉันที่ห้องละกัน”             “ยาแผนปัจจุบันของเขามีอะไรบ้างคะ” ฉันตาโต เมื่อเหลือบเห็นกระเป๋าบรรจุยาที่หัวเตียง...มีแผงยามากมายวางทับกันจนแทบจะล้นออกมานอกกระเป๋า                 “มีเยอะแยะไปหมด ทั้งยาโรคกระเพาะ เม็ดนี้ให้กินก่อนอาหาร เม็ดสีเหลืองกินหลังอาหาร” มิรินทร์หันไปรื้อกระเป๋าและค่อยๆอธิบายวิธีการใช้ยาต่างๆให้ฉันฟัง เริ่มตั้งแต่ยาแก้โรคกระเพาะ ยาแก้ภูมิแพ้ ยาแก้ไข้ และอื่นๆอีกมากมาย                 “สำหรับวันนี้ เธอก็คอยกำกับให้เขากินยากับข้าวเย็นนะ ยานี่สำคัญมาก ต้องกินทุกวัน แต่สำหรับข้าวเย็นนี่...ถ้าเขายังไม่กินตอนนี้ก็ไม่ต้องเป็นห่วงอะไรมาก เพราะเดี๋ยวตอนดึกๆ... เขาหิว ก็จะตื่นขึ้นมากินเอง เธอก็อยู่ในห้องนี้ไป คอยจับตาดูเขา อย่าให้เขาทำอะไรที่เป็นอันตราย”                 “หน้าที่ของฉัน นอกจากคอยดูให้ทานข้าวกับทานยาแล้ว ยังมีอะไรอีกบ้างคะ”                 “ไม่มีอะไรมาก” มิรินทร์ยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่ดูคล้ายๆจะเวทนาสงสาร...พี่เลี้ยงคนใหม่อย่างเธอ “ตาพลเป็นเด็กที่ทำอะไรเองได้ทุกอย่าง ไม่ว่าอาบน้ำหรือกินข้าว เธอไม่ต้องอุ้มเขา ไม่ต้องบอกว่าเขาควรจะทำอะไร และทางที่ดี ไม่ต้องชวนเขาคุย เพราะเขาเป็นเด็กที่ไม่ต้องการเพื่อน บางวันเขาจะขลุกตัวอยู่แต่ในห้อง บางวันก็จะลุกขึ้นมาวิ่งเล่นแบบไม่รู้เหน็ดเหนื่อย เธอก็มีหน้าที่คอยตามเขา ต้องตามตลอด อย่าให้คลาดสายตาแค่นั้นเอง”                 ฉันกลืนน้ำลายเอือก...สิ่งที่มิรินทร์พูด ฟังดูไม่ยาก แต่ทำไมฉันรู้สึกเหมือนยาก                 “แล้วฉัน...จะนอนที่ไหนคะ”                 ฉันรีบถาม... ก่อนที่คุณมิรินทร์จะเดินหายไปจากประตูอีกคน                 “ก็นอนกับเขาน่ะแหละ” มิรินทร์เหลือบตามองฉันนิดหนึ่ง ก่อนจะก้าวเดินออกไป “...ถ้าเขายอมนะ”                 ฉันได้ยินประโยคสุดท้ายไม่ถนัดนัก หันกลับมาหาธีรพล เห็นเขาค่อยเหลือบสายตาขวางๆมาจ้องฉัน                 “สวัสดีจ้ะ พี่ชื่อพริมานะ” …รีบยิ้มให้ทันที                 เด็กน้อยไม่ยิ้มตอบ...เขาเหลือบตามองกองผ้าก็อตที่แปะอยู่บนหน้าผากฉัน                 “อ้อๆ ไม่เป็นไรแล้วล่ะ ไม่เจ็บเลยแม้แต่นิดเดียว” ฉันจับหัวตัวเอง ก่อนจะเดินหวาดๆไปหยิบถาดข้าวมาวางข้างเตียง “เรามากินข้าวกันเถอะจ้ะ”                 เขาหลุบตาลงต่ำ...แล้วเริ่มหันหลัง ไม่สนใจจานข้าวแม้แต่น้อย                 “โห  ไม่กินเหรอ อร่อยนะเนี่ย” ฉันรีบยกถ้วยข้าวต้มของตัวเองมานั่งกิน เผื่อจะทำให้เขารู้สึกหิวบ้าง                 แต่เขาไม่สนใจ...                  หลายชั่วโมงผ่าน...     ฉันกินข้าวของตัวเองจนหมด เดินเล่นไปมาทั่วห้อง  นอนกลิ้งเกลือกบนพื้น ขึ้นไปนั่งโยกเก้าอี้โยกเล่น หยิบตุ๊กตาลิงไขลานในห้องมาหมุนๆ ปล่อยมันเต้น หัวเราะ คล้ายว่าเป็นบ้าอยู่คนเดียว                 เด็กน้อยไม่สนใจฉันเลย...                 “คุณธีรพลคะ” ฉันเริ่มทนความเงียบไม่ไหว...จึงชวนเขาคุยอีก “คุณธีรพลไม่อาบน้ำเหรอคะ”                 เขายังคงหันหลัง...                 “งั้นขอพี่เข้าไปอาบน้ำก่อนนะคะ เหนียวตัวจะแย่แล้ว”                 เขายังอยู่ในท่าเดิม... นั่นคือกอดเข่าและหันหลังให้ฉัน                 ฉันถอนใจ เปิดกระเป๋าเดินทาง หยิบเสื้อนอนและผ้าเช็ดตัว ก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำ              พลันเมื่อเห็นห้องน้ำ ก็ต้องร้องออกมาเสียงดังๆ “โอ้โห!”   ห้องน้ำสวยเหลือเกิน... พื้นหินสีขาว ผนังปูนสลักลวดลาย อ่างน้ำหินหรูหราวางอยู่ชิดหน้าต่างระบายอากาศ                 เป็นห้องน้ำ...ชนิดที่ทำให้อยากนอนเล่นทั้งวัน หากไม่กลัวปอดบวม ฉันจึงใช้เวลาขลุกอยู่ในห้องน้ำนานพอควร ก่อนจะออกมาด้วยสีหน้าแช่มชื่น สายน้ำเย็นคลายความเหน็ดเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง                 ธีรพลหลับไปแล้ว...                 แม้เขายังนั่งอยู่ในท่าเดิม  แต่คอกลับเอนตกไปอีกด้าน เขาคงผล็อยหลับ...ไปตอนที่ฉันอาบน้ำ                 ฉัน มองหน้าธีรพลตอนหลับ...  เขาเป็นเด็กที่น่ารักมาก อาจเฉพาะในยามพริ้มตาหลับ และเห็นเพียงขนตาดำยาวเป็นแพแทนดวงตากราดเกรี้ยว ฉันเดินเข้าไปจับตัวเขา...อย่างเบาที่สุด ราวสิ่งที่อยู่ในมือนั้นคือแก้วล้ำค่า ค่อยๆเอนตัวเขาราบลง ให้เขานอนในท่าที่เหมาะสม ก่อนจะห่มผ้าให้                   เอนตัวลงข้างเขาบ้าง  เริ่มคิดโน่นคิดนี่ก่อนนอนตามปกติวิสัย  นอนก่ายหน้าผาก คิดถึงหน้าธีรดาและปริศนาที่แก้ไม่ตก พยายามทบทวนว่าฉันทำอะไรผิดไปหรือ... เขาถึงเกลียดฉันถึงขนาดนั้น   แต่นึกเท่าไหร่ก็ไม่ออก ว่าทำผิดพลาดไปตอนไหน ธีรดาเอง...ก็ดูเหมือนจะชอบฉันด้วยซ้ำในตอนพบหน้าครั้งแรก แต่ไม่รู้อะไรเข้าสิงเธอ หลังจากเป็นลมสลบ  เมื่อตื่นขึ้นอีกครั้ง...จากนางฟ้า ก็กลายเป็นแม่มดไปโดยพลัน                 นอกจากเงินจำนวนอักโขที่จะนำไปเป็นทุนการศึกษาแล้ว...                 ปริศนาข้อนีเอง...เป็นอีกสิ่งที่ชักจูง...ให้ฉันตัดสินใจกลับมายังที่นี่อีกครั้ง                 ******************                 “พริมา...” เสียงเรียกหนึ่ง... ดังมาจากมวลอากาศขาวเลือนราง                 ยามเช้า...ในสวนแอปเปิล มักมีหมอกลงจัดเสมอ             “แม่จ๋า” ฉันวิ่งไล่ จนมาถึงตัวเจ้าของเสียง...กอดเอวแน่น ซับน้ำตากับกระโปรงสีแดงสด                  แต่นั่นไม่ใช่แม่หรอก... ฉันรู้... เป็นเขาต่างหาก  เขาในชุดสีแดงสดของแม่ เขากำลังเล่นเป็นแม่อยู่ เขาทำอย่างนี้ทุกครั้งที่เห็นฉันร้องไห้                 “พริมา ลูกรัก อย่าร้องไห้เลยนะ” ไม่เพียงใบหน้าเท่านั้น แม้แต่เสียง...ก็ยังเหมือน                 “แม่จ๋า... เมื่อไหร่จะหายป่วย เมื่อไหร่จะออกจากโรง’บาล” ฉันถาม...                  “ต้องรอไปก่อนน้า รอคุณหมอบอกว่าให้ออกเมื่อไหร่ ก็คงออกได้” เขาตอบ...                 “แม่จ๋า.. เอ๊ย! ไม่เอาแล้ว” ฉันเปลี่ยนจากเรียกเขาว่าแม่ เป็นชื่อนักร้องที่กำลังดังแทน “คุณแองจี้คะ ช่วยร้องเพลงอัลบั้มใหม่ให้ฟังหน่อย”                 เขายิ้ม...และเริ่มร้องเพลงให้ฉันฟัง เขาเลียนเสียงเธอ แต่ร้องได้ไพเราะกว่านักร้องคนที่ฉันพูดถึงอีก  นอกจากจะเลียนแบบแม่แล้ว เขายังเลียนแบบดาราดังๆได้หลายคน เหมือนทั้งเสียง เหมือนทั้งกิริยาอาการของพวกเธอ เขาคืออัจฉริยะตัวจริง  มีเขาเพียงคนเดียว...คอยอยู่เคียงข้าง  ไม่ต้องดูทีวีทั้งวันเลยก็ได้                 พฤกษ์.... พี่ชายของฉัน...                 เขาเริ่มจับฉันเหวี่ยงเล่น ฉันหัวเราะ หมุนไปหมุนมารอบตัวเขา  มึนหัวไปหมด ในที่ชุดฉันก็ลอยหวือ หลุดจากมือเขา แล้วตกตุ้บ! ลงบนพื้นที่แข็ง...และเย็น เหมือนกับหินอ่อน                 …                 “โอ๊ย!” ฉันสะดุ้งรีบเงยหน้าขึ้นจากพื้นแข็งๆนั่น เจ็บระบมไปทั้งหน้าผาก นี่ฉันกลิ้งตกเตียงมาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย                 “กล้าดียังไง!”  เสียงกรีดร้องอันโกรธเกรี้ยวดังขึ้น                 ฉันรีบยกตัวขึ้น...เห็นดวงตาวาวๆของธีรพลในความมืด เขาจ้องฉันด้วยแววตาเกลียดชัง ส่งเสียงขู่ฟ่อๆบอกเป็นทำนองให้รู้ว่า...คนที่ถีบฉันตกเตียงมาเมื่อครู่นี้ คือเขาเอง                 “คุณธีรพลคะ...” ฉันทำท่าเหมือนจะคลานขึ้นเตียงอีกรอบ แต่เขาตวาดแว้ด!             “กล้าดียังไงถึงขึ้นมานอนข้างผม  ออกไป! ออกไปเดี๋ยวนี้เลย ไป!”                 เขาระดมทุบหมอนใส่หน้าฉัน ฉันรีบปัดป้อง พยายามร้องห้าม “เดี๋ยวสิคะ ใจเย็นสิคะ คุณธีรพล”             “ออกไปเดี๋ยวนี้! ไป!”                 “แต่ข้างนอกปิดไฟมืดหมดแล้ว คุณไม่ให้ฉันนอนในห้องนอน แล้วจะให้ฉันนอนที่ไหนคะ” ฉันถอยไปชิดมุมหนึ่งของห้อง บอกเป็นเชิงให้สงบศึก และเขาก็ขว้างหมอนมาใส่หน้าฉัน                 “ออกไปนอนที่ระเบียง! ไป! ไปเดี๋ยวนี้เลย”                 “ต..แต่” ฉันยังพูดไม่จบ เขาก็กรีดร้อง ดังแสบแก้วหู จนฉันกลัวว่าพี่ชายพี่สาวเขาจะตื่นกันทั้งบ้าน                 “ไป... ฮือออออๆๆๆๆ ไปๆๆๆๆ”                 ฉันกอดหมอน ลนลานคลานไปนอกระเบียง แล้วรีบดึงม่านปิดทันที                  “ฮึ่กๆ ฮึ่กๆ” เสียงสะอื้นของเด็กน้อยเบาลงเรื่อยๆ จนกระทั่งเงียบไปในที่สุด                 ฉันนั่งน้ำตาซึม...กอดหมอนอยู่ตรงระเบียงอันเย็นเฉียบ พยายามข่มใจยิ่ง ไม่ให้ร้องไห้                 ทำไมมันลำบากนักนะ... ไหนน้าบอกจะได้มาอยู่สบายๆไง รู้งี้คอยดูแลพ่อขี้เมา เก็บขวดเหล้าเปล่าไปขาย ยังได้ตังค์สบายกว่านี้อีก                 บรู๋ววววว... บรู๋วววววว... เสียงหอนคำรามของสัตว์  ดังโหยหวนมาจากป่าทะมึนเบื้องหน้า เมฆบนฟ้าสีดำ ก่อนตัวเป็นรูปร่างประหลาด ก่อนตัวเป็นทรงกลมซ้อนหลายชั้น คล้ายพายุหมุน...กำลังจะคลืนคลานลงมา ดูดกลืนทุกสรรพสิงบนโลก ทุกอย่างภายนอกนั้นวังเวง ลมเย็นกรีดเฉือนลงเนื้อ ยุงกระหายหลายตัวรุมตอมฉัน                 เลือดเหมือนจะเหือดไป...ด้วยความกลัว                 “เฮ้!” เสียงที่ดังขึ้นทางด้านขวา ทำให้ฉันสะดุ้งร้อง กรี๊ดดดด!             “ใจเย็น นี่ผมเอง!” หัวสิงโตโผล่ออกมาจากมุมมืดของระเบียงห้องข้างๆ “กรี๊ดไม่ดูตาม้าตาเรือเลย”                 หน้าซีดเผือดอยู่...ค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีแดง ด้วยความอาย                 “คุณธีร...” ฉันนึกชื่อไม่ออก...บ้านนี้มีพี่น้องหลายคนที่ชื่อคนต้นด้วย ‘ธี...’ ทำให้จำสับสน                 “เจต” เขาต่อเอง... “ผมชื่อธีรเจต เป็นน้องคนรองสุดท้องของบ้าน เรียกผมสั้นๆว่าเจตก็ได้”                 “ค่ะ.. คุณเจต นี่... คุณยังไม่นอนเหรอคะ” ฉันชวนคุยอย่างประดักประเดิด                 “นอนแล้ว แต่ตื่นมาเข้าห้องน้ำกลางดึก เลยออกมาชมวิวซักหน่อย” เขาตอบพลางยิ้มเห็นเขี้ยวเสน่ห์ “แล้วคุณล่ะ ออกมาทำอะไรที่ระเบียงกลางดึก”                 “ฉันมานั่งชมวิวน่ะค่ะ” ฉันโกหก                 “ยุงไม่ตอมแย่เหรอ”                 “ค...ค่ะ” ไม่อยากบอกว่าธีรพลไล่ฉันออกมาข้างนอก                 “เข้าไปนอนเถอะ นี่มันดึกมากแล้วนะ” เขาทำเสียงดุใส่ฉัน...ทั้งที่อายุแค่ 16             “เอ่อ...ฉัน” ไม่รู้จะโกหกว่าอะไร เลยตอบไปว่า “ฉันชอบนอนที่ระเบียงน่ะค่ะ เย็นดี”                 “พิลึกคน” เขาขมวดคิ้ว                 “แหะๆ เฮ้อออ อากาศดีจัง” ฉันเสแสร้งไป  ทั้งในใจอยากร้องไห้                 “กะนอนตรงนี้จริงๆเหรอ”                 “ค่ะ เย็นสบายดีออก” ฉันตบหมอนปุบๆ แล้วเอนตัวลงนอน แสร้งทำเป็นหาว “ฮ้าววว ง่วงแล้วล่ะ”                 “จะเอาผ้าห่มกับยากันยุงมั้ย” เขาถามแววตาเป็นห่วง                 “เอ่อ ถ้าได้...ก็ดีเหมือนกัน” ฉันตอบอึกอัก                 เขาหายกลับเข้าไปในห้อง ก่อนจะออกมานอกระเบียงอีกครั้ง ยื่นผ้าห่มและยากันยุงให้ฉัน และแทนที่เขาจะกลับเข้าไปนอนในห้อง กลับหย่อนตัวลงบนม้าโยกที่วางอยู่บนระเบียง...ที่อยู่ใกล้ๆกับระเบียงห้องที่ฉันอยู่                 “เป็นไงบ้าง มาอยู่ที่นี่คืนแรก” เขาเอนม้าโยกเล่น เกิดเสียงดังกึกกักๆ             “ตื้นเต้นดีค่ะ ที่นี่ใหญ่มาก และก็สวยด้วย” ฉันเอนหลังนอนบนแผ่นหิน ลากผ้าห่มมาปิดจนถึงคอ                 “จำชื่อพี่น้องทั้งหมดได้ยัง” เขาถาม...                 “โอยย ยังจำชื่อได้ไม่หมดเลยค่ะ แต่ถ้าหน้าตาก็พอจำได้บ้าง” ฉันพยายามนับนิ้ว และนึกชื่อเขาทีละคน                 “เรียงลำดับถูกหรือเปล่า” ดูหนุ่มน้อยจะสนุกกับการเล่นเกมส์ปริศนา                 “เดี๋ยวนะคะ คุณธีรไนยเป็นพี่คนโต ถัดมาคือคุณธีรนันท์ และถัดมาอีกคน คือคุณธีรดา”                 “ผิดแล้ว!” เขาชี้หน้าฉัน...ยิ้มสีหน้าสะใจ “พี่เมธมาก่อนพี่รดาต่างหาก”                 “อ้าว เหรอคะ...”                  “ผมจะสอนวิธีจำให้คุณนะ”                 “เอาสิๆ” ฉันรีบลุกขึ้นนั่ง...อยากรู้มาก                 “ท่องกลอนช่วยจำนี่ไว้...”เขากระแอมเล็กน้อยก่อนจะเริ่มท่องให้ฟัง                 “มองไปในฟ้านั้น  เมฆและดาวดลใจให้ลืมเจ็บ  เก็บพลังคืนกลับ สู่ชีพอีกครา”                 “แล้วมันช่วยจำตรงไหนคะ” ฉันเบิกตาฉวน                 เมื่อเห็นฉันยังไม่คลายความสงสัย เขาก็วิ่งกลับเข้าไปในห้องตัวเอง หยิบกระดาษกับปากกาออกมาเขียนกลอน ขีดเส้นใต้คำแต่ละคำ ก่อนจะม้วนเป็นแท่งเล็กๆ แล้วโยนมาให้ฉัน มองไปในฟ้านั้น ขอเมฆดาว ดลใจเธอลืมเจ็บ เก็บพลังคืนกลับ สู่ชีพ...อีกครา                 ขณะฉันกำลังหรี่ตาอ่านกลอนในความมืด เขาก็เอ่ยถาม... “เข้าใจยัง...”                 “อ๋อๆ เข้าใจแล้ว” ในที่สุด ฉันก็ร้องออกมา  “ในฟ้านั้น ก็คือคุณธีรไนย กับ ธีรนันท์ และท่อนที่เขียนว่า  ขอเมฆดาว ก็คือ ธีรเมธ กับธีรดา  ดลใจให้ลืมเจ็บ  ก็คือ  ธีรดนย์กับธีรเจต ส่วนเก็บพลังคืนกลับ ก็คือ ธีรพล”                 “ฮ่าๆ หัวไวดีนี่” เขาเอ่ยชม                 “ขอบคุณมากนะคะ ฉันจำได้แล้ว และเรียงลำดับได้ด้วย”                 “คุณเป็นคนแต่งกลอนนี้เองเหรอคะ...”             “ไม่ใช่หรอก” เขาโบกมือ...  “พี่ชายคนหนึ่ง ช่วยคิดกลอนช่วยจำให้ผม ตอนเด็กๆผมค่อนข้างจะโง่มาก จำชื่อพี่ชายคนที่เขียนกลอนให้ได้แค่คนเดียว ส่วนคนอื่นๆ ผมเรียกผิดๆถูกๆ สลับกันเสมอ”             “ขอบคุณมากค่ะ ฉันพอจะจำได้แล้ว” ฉันลุกเดินไปที่ริมระเบียง ส่งเศษกระดาษคืนให้เขา             “คุณเอาไปเถอะ” เขาดันมือฉันกลับ “ผมตั้งใจจะเขียนให้คุณน่ะแหละ”                 ระหว่างที่เขายื่นมือมาให้ ฉันสังเกตเห็นสร้อยทองแดงเล็กๆผูกบนข้อมือเขา ความรู้สึกแปลกประหลาดผุดขึ้น...โดยอธิบายไม่ได้ ฉันจ้องมันไม่วางตา ก่อนจะเอ่ยถามว่า                 “สร้อยข้อมือนี้... คุณไปได้มาจากไหนคะ”                 “เก็บได้ ในซากไฟไหม้เมื่อหลายปีที่แล้ว” เขาตอบ...ผินหน้า มองไปยังท้องฟ้าเหนือระเบียง                 “ไฟไหม้!” ดวงตาเบิกเพลิง “ไฟไหม้ที่นี่แหละ ตรงโรงงาน”                 “นานรึยังคะ” ฉันนึกถึงซากปรักหักพังข้างโรงงานเก่า และตอไม้ดำๆ...หงิกงอคล้ายซากศพ ที่เห็นเมื่อวันขอติดรถคนงานเข้ามา                 “ผมจำความไม่ได้หรอก ฟังจากคนอื่นเล่า ก็ประมาณ... สิบสี่ปีได้” ดวงตาเขา...เริ่มวาบแววลังเล                 “สิบสี่ปี” ฉันนับนิ้ว... “ถ้านานขนาดนั้น คุณก็อายุแค่สองขวบเองนี่นา”                 “ฮ่าๆ จริงๆแล้ว คนที่เก็บสร้อยคอนี้ได้ไม่ใช่ผมหรอก เป็นพี่ชายผมต่างหาก เขาไม่เอาแล้ว ก็เลยให้ผม”                 “คนไหนคะ...” ฉันนึกถึงหน้าตาของพวกเขาเหล่านั้น ธีรไนย ธีรนันท์ ธีรเมธ...และธีรดล             กึกกัก... กึกกัก... กึกกัก...  เพียงเสียงม้าโยกที่ดัง  ไม่มีเสียงตอบจากเขา                 “ฮ้าวววว” เขาปิดปาก...หาวเสียงดัง ก่อนจะลุกขึ้นจากม้าโยก                 “ง่วงจนเริ่มพูดไม่ค่อยรู้เรื่องแล้ว  ผมไปนอนก่อนดีกว่านะ...”                 “อ้อ ค่ะ ตามสบายเลย” ฉันผายมือเชิญ...รู้สึกใจหายเล็กน้อย ที่เพื่อนคนแรกกำลังจะไปแล้ว                 “พรุ่งนี้เจอกันนะ” เขาหันมายิ้ม...ขณะเปิดประตูระเบียง “บาย”                 โบกมือเล็กน้อย ก่อนจะปิดประตูลง ปึ้ง!             ธีรเจษไปแล้ว...              เมฆดำ คลี่กระจายบนฟ้า...                  ทีนี้...ก็เหลือฉันเพียงลำพัง ในค่ำคืนอันมืดมิด หนาวเย็น และแสนเดียวดายเช่นนี้  
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม