“งั้นขอเชิญคุณ...มาทำงานในบ้านเราได้ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป”
เขายิ้มละไม ท่าทางของเขาดูไม่ใช่ลักษณะของชายเจ้าชู้ แต่เป็นลักษณะของผู้ชายที่นิสัยดี มีความอ่อนโยน และละเมียดละไมกับผู้หญิง
“ต...แต่ ฉัน ยังเรียนหนังสืออยู่เลยนะคะ ต..ต้อง รอให้ปิดเทอมก่อน” ฉันตอบพลางหลุบตาลงต่ำ เพราะรู้สึกว่าสายตาของภรรยาเขาที่จ้องมายังฉัน ไม่ค่อยมีวี่แววของความเป็นมิตร
“งั้นรอให้ปิดเทอมก่อนค่อยมาทำงานก็ได้ บ้านหลังนี้พร้อมต้อนรับคุณเสมอนะครับ” เขายังพูดไม่ทันจบ แม่บ้านก็วิ่งกระหืดกระหอบลงมาจากบันได แจ้งข่าวว่า...
“คุณธีรไนยคะ คุณรดาฟื้นแล้วค่ะ”
“ฟื้นแล้วเหรอ!” เขากล่าวเสียงดีใจ ก่อนจะหันมาหาฉัน “เดี๋ยวขึ้นไปหาธีรดากับผมก่อนนะ ไปบอกเขาซะหน่อยว่าผมตกลงใจรับคุณเข้าทำงาน เขาต้องดีใจแน่”
ว่าแล้ว...คุณธีรไนยก็จูงฉันขึ้นบันได มีภรรยาของเขารีบวิ่งตามมาติดๆ จ้องมองมือของเขาที่กุมอยู่รอบข้อมือฉัน ดูเธอเป็นห่วงสามีมาก ห่วง...จนน่ากลัว
“รดา... พี่เข้าไปได้ยัง” เขาเคาะประตูเล็กน้อยพอเป็นพิธี
“ค่ะ...” เสียงเย็นๆตอบกลับมา เพียงเท่านั้น ธีรไนยก็ผลักประตูเข้าไป
ในห้องนอนสีครีม ประดับวอลเปเปอร์ลายดอกไม้ คล้ายห้องนอนเจ้าหญิง ธีรดานั่งพิงหมอนอยู่บนเตียงนอนใหญ่ สีขาวสะอาดเอี่ยม สีหน้าเธอซีดเหมือนที่นอน ดวงตาหลุบลงต่ำ มองมือที่ประสานกันแน่นบนตัก
“รดา... คุณพริมาเขาไม่เป็นไรแล้วล่ะ”
ธีรดาเหลือบตาขึ้นมองฉันเล็กน้อย ก่อนจะหลุบลงไปตามเดิม
“ค่ะ...”
“พี่มันไม่ได้เรื่องเลยเนอะ ขับรถแย่จริงๆ อาทิตย์ที่แล้วขับรถชนแมวตาย อาทิตย์นี้ก็ขับรถคนอีก ดีนะที่เขาไม่ตายเหมือนแมว” เขาพูดจาอ้อนน้องสาวอย่างน่ารัก และดึงมือข้างซ้ายของเธอมากุม
“พี่ไนยต้องระวังๆให้มากกว่านี้นะคะ”เสียงเธออ่อนโยน มือข้างขวา...วางทับมือเขา...ที่กุมมือซ้ายเธอ
“รดา...” ธีรไนยหันมาหาฉันอีกรอบ “พี่ตกลงจะรับคุณพริมาเข้าทำงานแล้ว เพื่อเป็นการไถ่โทษที่ขับรถชนเขาบาดเจ็บวันนี้”
“ลุงเภาบอกว่าน้องรดาชอบเด็กคนนี้มาก จริงหรือเปล่าจ๊ะ” มิรินทร์ยืนพิงประตู กอดอกถามราวกับจะขอความแน่ใจ สำหรับผู้หญิงคนนี้...ในแววตาเธอ ดูเหมือนไม่เคยไว้ใจอะไรในโลก
ธีรดาเหลือบตาดูฉัน ยิ้มบางๆ ก่อนจะกล่าวประโยคที่ไม่มีใครคาดคิด
“ค่ะ ลุงเภาพูดไม่ผิดหรอก แต่ขอรดาคุยกับพริมาสองต่อสองในห้องนี้ได้มั้ยคะ”
คำขอของเธอสร้างความฉงนฉงายให้เกิดในใจของทุกคน แต่ธีรไนยก็ยอมทำตามความต้องการของน้องสาว เขาพูดจากับเธอสองสามประโยค ก่อนจะเดินไปที่ประตู โดยลากมิรินทร์ออกไปด้วย
เมื่อประตูปิดลง...
ความอึดอัดก็เกิดขึ้น เพราะฉันรู้สึกได้ว่า...ธีรดาที่เห็นในตอนนี้ เป็นคนละคนกับเจ้าหญิงแสนสวยที่ทำขนมให้ฉันกินเมื่อตอนบ่าย ผู้หญิงที่นั่งอยู่บนเตียงในขณะนี้ดูเฉยชา และไร้ชีวิต แววตาที่มองก็ว่างเปล่า
“ฉันอยากให้เธอไป...”
“อะไรนะคะ” ฉันคิดว่าตัวเองได้ยินไม่ถนัด
“ไปจากบ้านหลังนี้ซะ แล้วไม่ต้องกลับมาอีก” เธอพูดดังขึ้น... คราวนี้ฉันได้ยินชัดเจน
วูบแรก...รู้สึกมึนงง ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ยืนตัวแข็งอยู่ที่ประตู
แต่วูบต่อมา...ฉันก็พยายามจะตั้งสติ และทบทวน...ว่าตนทำอะไรผิด
“ฉ...ฉัน ไม่เข้าใจ”
ธีรดาหันขวับ...ตวัดดวงตาเย็นชามาจ้องฉัน พูดด้วยเสียงเย็นเยียบ
“ไม่จำเป็นต้องเข้าใจ ฉันแค่ไม่ต้องการเธอ ไม่อยากเห็นหน้าเธออีก แค่นี้คงพอแล้วสำหรับคำตอบ”
“ฉันไม่ต้องการเธอ!” ผู้หญิงคนนั้นยื่นคำขาด
ฉันทำอะไรผิดงั้นหรือ เรื่องที่ฉันวิ่งทะเล่อทะล่าไปถูกรถชน หรือว่าเป็นเพราะฉันพูดจาอะไรไม่ดีก่อนออกจากบ้าน ฉันสับสน จับต้นชนปลายไม่ถูก อะไรทำให้อยู่ดีๆ คนที่ถูกชะตากันแต่แรกพบ แปรเปลี่ยนเป็นไม่ถูกชะตา และเกลียดชังกันถึงเพียงนี้
“ฉันไปก็ได้ค่ะ” ฉันรู้สึกว่าขมับข้างขวากระตุกนิดๆ เป็นอย่างนี้ทุกครั้งที่เครียด
“แต่ ขอเหตุผลหน่อยได้มั้ยคะ”
“ไม่มีเหตุผลอะไรทั้งนั้น อยู่ดีๆฉันก็เกลียดเธอ” ดวงตาสีดำเหลือบน้ำเงิน ตวัดมาทางฉัน เหมือนลูกแก้วบรรจุแสงวามแห่งความเกลียดชัง
“ฉ..ฉัน ทำอะไรผิดหรือคะ” ฉันรู้ว่าตัวเองกำลังจะร้องไห้
“เธอไม่ได้ทำอะไรผิด ความเกลียดของฉันไม่มีเหตุผล ตอนนี้ฉันรู้อย่างเดียวว่าไม่ต้องการ ให้เธออยู่บ้านหลังนี้” ริมฝีปากแดงบางของเธอคลี่เผยอเพียงเล็กน้อยขณะพูด เห็นฟันขาววาววับ เสียงเย็น...เบาเท่ากระซิบ ขณะพูด...เธอจ้องฉันตาขวาง ดูไม่ต่างจากการท่องบ่นคำสาปแช่งของแม่มด
“ดังนั้นเธอ จงออกไปซะ แล้วบอกพี่ธีรไนยว่าเธอเปลี่ยนใจ ไม่อยากทำงานที่นี่เอง”
“ค่ะ...” น้ำตาแห่งความกลัวเกือบจะไหลหยาด แต่ฉันรีบหันหลังเสียก่อน “ฉันจะทำตามที่คุณต้องการ”
...
ฉันเปิดประตู... และออกไปพบคุณธีรไนย
“ฉันคงไม่มาทำงานที่นี่แล้วค่ะ”
“อ้าว ทำไมล่ะ” สีหน้าเขาตื่น
“ฉันแค่รู้สึกว่าตัวเองไม่เหมาะสมกับที่นี่ คงเป็นพี่เลี้ยงเด็กที่ดีไม่ได้” ฉันพูดตะกุกตะกัก ท่าทางมีพิรุธไงชอบกล แต่ทำไงได้ ฉันเป็นคนโกหกไม่เก่ง
“เธอมีงานอื่นรองรับแล้วเหรอ” มิรินทร์...ภรรยาของธีรไนยเริ่มซักบ้าง ด้วยความประหลาดใจ
“ยังไม่มีค่ะ แต่ฉันคิดว่าฉันจะลองไปหางานใหม่ดู”
“เธอถูกคุณรดาว่ามาเหรอ” คุณมิรินทร์เลิกคิ้วขึ้น จับจ้องฉันราวจะจับผิด
“ป...เปล่านะคะ” ฉันรีบส่ายหน้าเป็นพัลวัน “แค่ร้องไห้เพราะตื้นตันที่พวกคุณดีกับฉันน่ะค่ะ แล้วก็เริ่มรู้ตัวด้วยว่าตัวเองเป็นพี่เลี้ยงเด็กที่ดีไม่ได้ ปีที่แล้วที่ไปเลี้ยงลูกของญาติ ยังทำเขาตกต้นไม้ เกือบเข้าโรงพยาบาล”
ฉันคงเป็นคนโกหกห่วยสุดในโลก เพราะขณะที่ฉันพล่าม ไม่มีใครฟังเลย ธีรไนยกับมิรินทร์เอาแต่จ้องหน้ากัน พึมพำพูดคุย ก่อนที่ธีรไนยจะหันมาหาฉันใหม่
“เกิดอะไรขึ้นในห้องนั้นเหรอ”
“ม...ไม่มีอะไรจริงๆค่ะ คุณธีรดาแกแค่ถามว่าฉันตกใจมั้ยที่แกป่วย และขอให้ฉันมาทำงานที่นี่ แต่ฉันรู้สึกว่าตัวเองไม่เหมาะสมกับงานนี้เอง ก็เลยปฏิเสธไปน่ะค่ะ” ฉันรีบโบกไม้โบกมือ
“ถ้าเป็นด้วยเหตุผลนั้นล่ะก็ ผมไม่อนุญาตให้คุณปฏิเสธนะ” ธีรไนยจ้องเข้ามาในตาฉัน
ฉันหลบตาเขา ก้มหน้ามองเท้าตัวเอง
“ผมขอนะ... ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นในห้องนั้น ขอให้คุณทำเหมือนทุกอย่างยังปกติ แล้วกลับมาทำงานที่บ้านหลังนี้ตามเดิม”
“แต่ฉัน แต่...” ฉันไม่อยากทำงานที่นี่แล้วโว้ย... คือสิ่งที่อยากตะโกนออกไป
“เธอดูเป็นเด็กซื่อๆนะ ไม่เหมือนคนใช้ เอ๊ย พี่เลี้ยงหลายๆคนที่เคยเข้ามาอยู่ที่นี่ พวกนั้นดูไก่แก่แม่ปลาช่อน ไว้ใจไม่ได้ ธีรพลก็ไม่เคยชอบใครเลยซักคน” มิรินทร์เริ่มเอ่ยบ้าง น่าแปลก...ถึงตรงนี้เธอเริ่มมีใจเข้าข้างฉัน
ไม่รู้ช่วงที่เขาสองคนอยู่ด้านนอกด้วยกัน ธีรไนยได้พูดอะไรกล่อมเธอหรือเปล่า
“ตัวเล็กๆ ดูเหมือนเด็กด้วยกัน ธีรพลอาจจะชอบ” คุณมิรินทร์ถอยห่างออกไปก้าวหนึ่ง แล้วกวาดตาสำรวจรูปร่างฉัน “เธอสูงเท่าไหร่เนี่ย”
“ร..ร้อย ร้อยห้าสิบค่ะ”
“สูงกว่าเด็กสิบขวบแค่นิดเดียว” มิรินทร์ลูบคาง หันไปมองหน้าสามี“พี่ไนยก็คิดอย่างนั้นใช่มั้ยคะ”
เมื่อธีรไนยพยักหน้า... มิรินทร์ผู้เป็นภรรยาก็พยักหน้าตาม
“ตกลง งั้นพอโรงเรียนปิดแล้ว เธอรีบเดินทางมาทำงานเลยนะ ที่นี่ขาดพี่เลี้ยงมานานแล้ว ฉันกับรดาค่อนข้างลำบาก มีเธอมาช่วยก็คงจะดีขึ้น”
…สั่งการเสร็จสรรพ ทั้งที่ฉันยังไม่ทันตอบตกลงด้วยซ้ำ ฉันอ้าปากค้าง
ทั้งสองคนเดินลงไปส่งฉันที่หน้าประตูบ้าน ฉันมัวลังเลอยู่ ตั้งใจว่าจะบอกพวกเขาอีกครั้ง ว่าฉันไม่กลับมาทำงานแล้ว
“นี่ เอาไป ค่ารถกลับบ้าน” มิรินทร์ควักแบงค์วางลงในมือฉัน
“ไม่ได้ค่ะ ฉันไม่รับหรอกนะคะ” ฉันรีบยัดแบงค์กลับ
“เอาไปเถอะนะครับ ถึงไม่กลับมาทำงานก็ไม่เป็นไร ถือว่าเป็นค่าทดแทนที่ผมขับรถชนคุณ” ธีรไนยยัดเงินใส่กระเป๋าสะพายของฉัน โดยเพิ่มแบงค์สีม่วงเพิ่มเข้ามาอีกใบ
“ย...เยอะเกินไปแล้ว... ถ้ารับเงินมาเยอะขนาดนี้ฉันก็เปลี่ยนใจไม่ได้น่ะสิคะ”
ฉันหน้าตาเหลอหลา แต่พวกเขายิ้ม ดูเหมือนจงใจจะทำให้ฉันรู้สึกกระดากในใจจนต้องกลับมาที่นี่อีก
“ลุงเภาๆ” ธีรไนยกวักมือเรียกชายชรา
“อะไรครับ”
“ช่วยขับรถไปส่งคุณพริมาที่ท่ารถด้วยนะ เธอจะกลับเชียงใหม่” ธีรไนยส่งกุญแจให้
“เชิญครับ” ชายชราผายมือเชิญฉัน
ฉันเดินไปขึ้นรถอย่างงุนงง โฟล์กรุ่นเก่าแล่นออกจากคฤหาสน์ ผ่านถนนทางที่ล้อมด้วยต้นสน สนแต่ละด้าน สูงและใหญ่ ปลายสนโน้มเข้าหากัน สอดประสานคล้ายนิ้วมือของยักษ์สีเขียว โอบอุ้มถนนเส้นนี้ไว้ ถนนที่เป็นทางออกของคฤหาสน์ ที่คนแทบทั้งเมืองโจษขานกันว่า ‘คฤหาสน์ลับแล’
รถที่มีลุงชราเป็นคนขับแล่นอืด ผ่านถนนคดเคี้ยว ที่ตัดเลาะไปตามสุมทุมแมกไม้ และป่าดิบอันสลับซับซ้อน
“ทำไมคฤหาสน์หลังนี้ถึงตั้งไกลจากชุมชนนักล่ะคะ” ฉันถาม... ชวนคุยขับไล่ความเงียบอันวังเวง
“ที่ต้องมาตั้งไกลในป่าก็เพราะว่าเมื่อก่อน ที่นั่นเคยใช้เป็นโรงงานทำปุ๋ย หากตั้งอยู่ในชุมนุมชนกลิ่นเหม็นคงจะรบกวนชาวบ้านชาวช่องมากเลยทีเดียว” เขาตอบ...
“เปลี่ยวลึกอย่างนี้ เวลาจะออกจากบ้านพวกเขาทำยังไง” ฉันหมายถึงพี่น้องทั้งหมด 8 คนของตระกูล
“พวกเขาแต่ละคนมีรถ”
“มีคนขับรถมั้ยคะ”
“ไม่มี... ในบ้านหลังนั้น คนนอกที่เหลืออยู่ มีแค่สามคน คือผม แม่บ้าน และสาวใช้” เขาตอบห้วนๆ เหมือนไม่อยากให้ถามอะไรมากนัก
บรรยากาศภายนอกมืดครึ้มหดหู่ แต่จินตนาการของฉันยังเจิดจ้า
แม่เลี้ยงของฉันบอกว่าอัครโยธินเคยมีช่วงที่รุ่งโรจน์อยู่เหมือนกัน ช่วงชีวิตที่สว่างไสว คฤหาสน์สีขาว เปล่งประกายเมื่อแดดตกกระทบ ตอนพวกเขายังร่ำรวย... ตอนที่ผู้เป็นพ่อของลูกทั้ง 8 คน...ยังไม่ตาย
แต่เมื่อพ่อของพวกเขาตาย ตระกูลก็ร่วงสู่จุดอับ คฤหาสน์ไร้คนดูแล สาวใช้ คนสวน คนรถทยอยลาออกเกือบหมด กระทั่งเหลืออยู่แค่นั้น แค่บ้านโทรมๆ สวนรกๆ กับคนแก่สองคนที่ยังอยู่ด้วย...โดยไม่ขอรับเงินค่าจ้าง
ครืนนน... ครืนนน.... ฟ้าเบื้องบนร้องคำราม
ฝนลงเม็ดแล้ว กระทบกระจกรถ ดังเปาะแปะๆ ฉันรู้สึกคล้ายกึ่งตื่นกึ่งฝั่น ความรู้สึกเช่นนี้ ไม่ต่างกับเมื่อ 14 ปีก่อนเลยแม้แต่นิดเดียว
******************
เมื่อฉันตัดสินใจ เล่าเรื่องความแปลกประหลาดที่อุบัติขึ้นในบ้านหลังนั้นให้น้าฟัง ทุกอย่างเป็นไปตามคาด น้านั่งตาลอย...ฟังฉัน เหมือนฟังเด็กเล่านิทาน ดูไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่
“สรุปว่า... ในบ้านหลังนั้น แกได้พบสมาชิกแค่สามคน” น้าถาม
“คุณธีรดา คุณธีรไนย และก็ภรรยาเขา ชื่อมิรินทร์”
“ในบ้านนั้นมีลูกตั้ง 8 คน แกเจอแค่สอง แล้วอีกตั้ง 6 คนหายไปไหน”
“ตอนนั้นทั้งคฤหาสน์เงียบมาก พวกเขาคงไปทำงาน ไม่มีใครอยู่บ้าน”
“ยังมีเด็กขี้โรคอยู่ในบ้าน อีก 1 คน แกไม่ได้เจอเลยเหรอ”
“แม่หมายถึง...”
“คุณธีรพล” แม่เลี้ยงจุดบุหรี่สูบ มวนที่สองแล้วเมื่ออยู่ต่อหน้าฉัน แต่คงเป็นมวนที่สิบกว่าของวัน
“เด็กคนนั้นไม่ค่อยไปเรียนหนังสือ ซ้ำฉันหลายปี อ้างว่าขี้โรค”
“อยากรู้จังว่าเด็กคนนั้นจะหน้าตาเป็นไง นิสัยเป็นไง ถ้าร้ายมากหนูก็ไม่ไหวหรอกนะ” ฉันเท้าคาง ตาลอย และบ่นพึมพำๆ “แต่คงหน้าตาดีอยู่หรอก ผมคงสีดำ ตาคงสีเหล็ก เพราะพี่ชายพี่สาวเขาก็มีผมกับตาสีนั้น”
“สิ่งที่ทำให้คนในคฤหาสน์หลังนั้น ยิ่งเป็นที่สนใจของชาวบ้าน ก็คงจะเป็นเพราะรูปร่างหน้าตาที่มีลักษณะพิเศษผิดไปจากคนทั่วไป พวกเขา...นอกจากจะมีดวงตาสีเหล็ก...คือดำเหลือบน้ำเงินแล้ว ยังมีผมดำคิ้วสีดำสนิทซึ่งตัดกับผิวขาวซีดไร้สีเลือด และเป็นเหมือนๆกันหมดทั้ง 7 คน”
ฉันไม่แปลกใจ ที่น้าจะรู้อะไรต่อมิอะไรมากมาย ไม่ใช่แค่ตระกูลอัครโยธินเท่านั้น ตระกูลผู้ดีทุกคนในภาคเหนือ น้ารู้หมด... เพราะทำงานเป็นคอลัมน์นิสให้กับหนังสือพิมพ์ใหญ่ แต่ฉันไม่อาจคุยโม้ใครว่าน้าทำงานอะไร เพราะเรื่องที่น้าเขียน อาจนำภัยมาสู่ตัวได้ น้าจึงต้องทำตัวลึกลับ ซ่อนตัวใต้หน้ากาก แห่งนามปากกา
“ตระกูลนั้น...เป็นที่นินทาให้สนุกปากของคนทั้งเมือง ถ้าแกไปอยู่เชียงราย จะได้ยินคำนินทาเยอะกว่านี้ บางคำนินทาก็ดูเป็นเรื่องเหลือเชื่อ บางคำนินทาก็ดูเหมือนเป็นเรื่องไร้สาระที่แต่งขึ้นจากลมปาก ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในบ้านหลังนั้น ทุกคน...ที่เป็นสมาชิกในบ้านหลังนั้น เป็นตัวละคร...ในปาหี่”
“ทำไมตระกูลนี้ถึงเป็นที่สนใจของชาวเมืองกันนักล่ะคะ”
“อะไรที่ไม่เปิดเผยตัว มักทวีความสนใจ พวกเขาไม่เหมือนผู้ลากมากดีตระกูลอื่นๆ ที่ชอบประโคมข่าวให้ตัวเอง ออกมาเล่นแสงเล่นไฟ แย่งถ่ายรูปลงหน้าหนังสือพิมพ์ แต่พวกอัครโยธิน พวกนั้นเก็บตัวลึกลับอยู่ในขุนเขา และป่าไม้ มีพิธีรีตองแน่นหนา ปิดกำแพงไว้หลายชั้น กั้นไม่ให้คนนอกเข้าไปง่ายๆ อีกทั้ง... ยังชอบแต่งกันเองในหมู่พี่น้องด้วย บรรพบุรุษของครอบครัวที่แกเพิ่งไปเหยียบมานั่นก็เป็นพลพวงมาจากการร่วมประเวณีอันผิดจารีตของคนตระกูลนั้น”
“หมายความว่าไงคะ!” ได้ยินคำว่าร่วมประเวณีแล้วตาเหลือก
“ปู่ของเด็กๆในบ้านหลังนั้น...ลือกันว่ามีสติปัญญาโง่เง่า เกือบจะเท่าๆกับเด็กสิบขวบ ความไร้ประสิทธิภาพของเขา ทำให้เขาถูกพ่อไสส่งออกจากตระกูล ลือว่าพ่อเขาจ่ายเงินมากโขอยู่ เพื่อหาผู้หญิงฉลาดๆมาแต่งงานด้วย จากนั้นก็ส่งมาอยู่ที่ภาคเหนือ เมียเขาก็นำเงินขวัญถุงที่ได้จากการแต่งงานนั่นล่ะ มาบุกเบิกทำไร่ทำสวนอยู่ที่จังหวัดเชียงราย พวกเขามีลูกชายด้วยกันเพียงคนเดียวชื่อธเรศ พอธเรศโตขึ้น...ก็พัฒนาธุรกิจการเกษตรในครอบครัวให้กลายเป็นโรงงานผลิตปุ๋ย ผู้ชายคนนี้รุ่นๆเดียวกับพ่อแก เขาหล่อ ฉลาด แต่เป็นคนแปลก แม้ดูเหมือนเขาจะไม่สนใจผู้หญิงมากนัก แต่แล้วในที่สุดก็แต่งงานกับผู้หญิงที่สวยที่สุดในเมือง...สวยติดระดับนางงามเชียวล่ะ เธอคลอดลูกออกมาทั้งหมดแปดคน เป็นชายเจ็ด หญิงหนึ่ง อย่างที่เห็นๆอยู่ในปัจจุบัน”
น้าหยุดพ่นควันบุหรี่สักพัก...หยิบหนังสือพิมพ์ฉบับเก่าๆมาให้ฉันดู
“ครอบครัวคนตระกูลอัครโยธินในคฤหาสน์ลับแล จัดได้ว่าเป็นครอบครัวหมาหัวเน่าที่คนตระกูลอัครโยธินคนอื่นๆ ไม่ค่อยให้ความสนใจ ไม่ค่อยจะยอมรับซักเท่าไหร่ว่าพวกเขาก็เป็นส่วนหนึ่งของตระกูลด้วย และครอบครัวที่แกกำลังจะไปทำงานด้วยน่ะ เป็นเหมือนไส้ติ่ง ที่พวกอัครโยธินคนอื่นๆอยากจะตัดให้ขาดๆจากตระกูลไปเสีย นั่นเพราะความไร้สติปัญญา ไร้ประสิทธิภาพในการทำงาน แม้จะมีบางช่วงที่ดูคุณธเรศ พ่อของเด็กแปดคนนั้น พยายามจะขับเคี่ยวธุรกิจให้ตีตื้นขึ้นมาบ้าง แต่ไม่ว่ายังไงๆก็ไม่อาจครองพื้นที่ส่วนใหญ่ในตลาดได้”
“พวกเขาไม่มีหัวธุรกิจ” ฉันต่อ...
จำที่ ‘ไอ้แว่น’ มันวิจารณ์ได้ ไม่ใช่น้าเพียงคนเดียวที่วิจารณ์ตระกูลนี้ให้ฉันฟัง เพื่อนๆที่โรงเรียนก็ด้วย พวกมันถามข้อมูลจากพ่อแม่มาให้ฉันมากมาย ตั้งแต่ที่รู้....ว่าฉันกำลังจะไปทำงานที่นั่น
“ใช่... พวกเขาไม่เก่งเท่าพวกตระกูลอัครโยธินคนอื่นๆ ที่รวยเละ และขึ้นชื่อลือชาว่าฉลาดมากทั้งตระกูล พวกนั้นไม่ว่าเปิดบริษัท หรือทำอะไรก็ประสบความสำเร็จไปหมด มาชื่อเสียทีเดียวเอาตอนที่มีข่าวยาเสพย์ติด”
“พวกนั้นมีข่าวพัวพันยาเสพย์ติด เมื่อหกปีที่แล้ว” ฉันรีบพูด...เพราะยังจำข่าวในหนังสือพิมพ์ได้
“แต่ก็หลุดคดีไปได้” น้าเค่นเสียงหัวเราะในลำคอ...พูดต่อ “คนรวยก็อย่างนี้ ทำชั่วไป ไม่มีใครว่าผิด”
“คนนี้ใครคะ...” ฉันชี้ภาพผู้ชายใส่แว่นท่าทางฉลาดๆในรูปสีขาวดำบนหน้าหนังสือพิมพ์ ที่พาดหัวว่า ‘การฟื้นคืนชีพของอัครโยธิน เปิดตัวบริษัทใหม่ ภายใต้ชื่อแบรนด์ทันสมัย AK-FRUIT’
“ธีรนันท์ ลูกชายคนที่สองของบ้าน เขาเป็นผู้บริหารคนสำคัญของโรงงานผลไม้อัดกระป๋อง”
“ผู้บริหารคนสำคัญไม่ใช่ลูกชายคนโตเหรอคะ” ฉันนึกถึงหน้าธีรไนย คนที่ขับรถชนฉันเมื่อเดือนก่อน
“เด็กคนนั้นบริหารงานไม่เก่ง อ่อนปวกเปียก สู้น้องชายไม่ได้ พ่อจึงไม่ค่อยไว้วางใจเท่าไหร่ เขาจึงวางตำแหน่งไว้ให้ลูกชายคนรองแทน”
เท่าที่ฉันเห็นมา...รู้สึกว่าธีรไนยเป็นคนแบบนั้นจริงๆ แต่ถึงเขาดูอ่อนแอ ก็มีนิสัยที่อ่อนโยนมากทดแทน
“รู้มั้ยพริมา แม่เคยเห็นคุณธีรนันท์ครั้งหนึ่ง” ดวงตาแม่เลี้ยงวาววับ เป็นเช่นนี้ ทุกครั้งที่พูดถึงเด็กหนุ่มๆ
“หน้าตาเหมือนในรูปหรือเปล่าคะ”
“ดูดีมาก สมาร์ท โก้ เป็นคนเดินเร็ว พวกนักข่าวตามถ่ายรูปแทบไม่ทัน เวลาตอบคำถามก็ดูฉลาด แม้ธุรกิจกำลังอยู่ในช่วงตั้งไข่ แต่ก็มีผู้ใหญ่หลายคนชมว่า ถ้ามีผู้บริหารแบบนี้ บริษัทมีแววจะอนาคตไกล”
“ลูกสาวหนึ่งคนชื่อธีรดา กับลูกชายอีก 7 คน” ฉันหลับตา นึกทบทวน “ลูกชาย... หนูรู้จักแล้วสามคน คนแรกคือ ธีรพล...เด็กขี้โรคที่หนูกำลังจะไปเป็นพี่เลี้ยง คนที่สอง คือ ธีรไนย...พี่ชายใหญ่ใจดีที่ขับรถชนหนู กับคนสุดท้าย คือคุณธีรนันท์...ผู้บริหารแสนฉลาดปราดเปรื่องของ AK-FRUIT ทีนี้...ก็เหลืออีกสี่คน”
“ใช่ เหลืออีกสี่คน...เป็นลูกชายทั้งหมด ที่แกยังไม่รู้จัก” น้าลุกไปเปิดตู้เย็น หยิบแอปเปิ้ลออกมาโยนให้
“กินแอปเปิล แล้วไปนอนซะ พรุ่งนี้จะได้ตื่นแต่เช้า”
ฉันลุกขึ้น...เหน็บกองหนังสือพิมพ์เข้าสะเอว กะเอาขึ้นห้องนอน ด้วยรู้สึกว่ายังมีเรื่องราวอีกมากมายควรให้ศึกษา อ้าปากกัดแอปเปิล รับรู้รสเปลือกที่ขมปร่า กับเนื้อในเปรี้ยวจนน้ำตาไหล แม้เบะปาก แต่ก็กลืนกินจนหมด จะรังเกียจทำไม ในเมื่อแอปเปิลลูกนี้...ก็มีรสชาติไม่ต่างจากชีวิต ที่ฉันมีอยู่
กัดอีกซักคำ... ขึ้นบันไดแล่นเอียดอาดไปยังห้องนอน
ลืมสนิท...ว่าพ่อยังนอนหมดสภาพอยู่ที่พื้นชั้นล่าง