ตอนที่ 2

4396 คำ
คฤหาสน์สีขาวโพลน...                 ราวถูกปกคลุมด้วยหิมะ ให้บรรยากาศหนาวยะเยือกแม้ในฤดูร้อน ตัวบ้านเก่า...โทรม... มีตะไคร่เขียวจับครึ้มรอบ คล้ายเส้นเลือดสีเขียวบนใบหน้าขาวโพลนของปีศาจ และหน้าต่างประดับกระจกสีน้ำเงินของบ้านหลังนั้น ...คล้ายดวงตาที่กำลังจ้องมองดูฉัน                 นอกจากปีกซ้าย และปีกขวาที่แผ่ออกจากส่วนกลางของคฤหาสน์แล้ว เบื้องหลังยังมีหอคอยสูงรูปทรงคล้ายประภาคารดำรงอยู่  ตั้งห่างจากตัวบ้านค่อนข้างมาก  ตรงกลางระหว่างทางเดินที่เชื่อมระหว่างคฤหาสน์กับหอคอยนั้น มีโดมสีขาวทรงกลมที่เถาไม้เลื้อยจำพวกดอกกระดังงาพันอยู่จนครึ้ม             “คุณ! คุณ วิ่งเข้ามาหลบฝนข้างในก่อนเถอะ ”                 เสียงแหบๆของชายชราดังขึ้น เขาต้องตะโกนท่ามกลางพายุที่พัดโบกอยู่เหนือหัว ฟ้ากำลังร้องครืน ใบไม้และฝุ่นปลิวว่อนจนทำให้ตาพร่า มองเห็นอะไรต่อมิอะไรไม่ค่อยชัด                 ฉันวิ่งเข้าไปตามคำเรียก...เข้าไปยังระเบียงบ้านพักหลังเล็กๆเก่าๆ ที่ตั้งอยู่หน้าทางเข้าคฤหาสน์ และเห็นว่าภายในนั้นมีเด็กผู้หญิงทั้งรุ่นราวคราวเดียวกัน และที่แก่กว่า นั่งอยู่ภายในนั้นหลายคน                 “นี่คุณ ใช่คนที่จะมาสมัครเป็นพี่เลี้ยงเด็กหรือเปล่า” ชายชราถาม เขาใส่เครื่องแบบคนขับรถ และแก่หง่อมเกินควรจะทำงานแล้ว                 “ใช่ค่ะ แล้วคนพวกนี้ ก็คือที่จะมาสมัครเป็นพี่เลี้ยงเด็กเหมือนกันใช่มั้ยคะ”                 ฉันชี้ไปยังสาวๆที่นั่งอยู่ พวกเขาจ้องฉันอย่างไม่เป็นมิตรนัก แน่อยู่แล้ว...พวกเรามาที่นี่เพื่อแข่งขันกัน และคนที่จะได้งาน มีเพียงหนึ่งเดียว                 “ใช่ คุณหนูไม่อนุญาตให้พวกคุณเข้าไปในบ้านพร้อมกันหมด จึงให้นั่งรอในนี้ก่อน แล้วจะเรียกเข้าไปสัมภาษณ์ทีละคน นี่ก็เข้าไปประมาณสองคนแล้ว” ชายชราตอบ                 ฉันลองนับคนดู...เห็นเหลืออยู่ประมาณสิบคน แสดงว่าต้องรอไปอีกนานกว่าจะถึงคิวของตัวเอง                 “นี่หนู ไม่ได้อ่านประกาศเหรอว่าที่นี่รับพี่เลี้ยงเด็กที่อายุ 18 ขึ้นไป” ยามคนเดิมท้วง กวาดสายตามองฉันแต่หัวจรดเท้า                 “ต..แต่หนูอายุ 18 แล้วนะคะ”                  คำตอบฉัน ทำเอาผู้หญิงคนหนึ่งที่มาสมัครงานด้วยกันถึงกับอุทาน “ทำไมดูเด็กจังเลยล่ะ!”                 ฉันชินแล้วกับการถูกใครๆมองว่าเป็นเด็ก                 “นึกว่าอายุ 13-14 ซะอีก” ผู้หญิงอีกคนเริ่มวิจารณ์                 “หนูนี่ทำตัวน่ารักจังเลยนะ พูดจาก็นอบน้อมเหมือนเป็นเด็กด้วย”                  แล้วการสนทนาก็เริ่มขึ้น...ในป้อมยามหน้าคฤหาสน์ มีผู้หญิงหลายคนหันมาคุยกับฉัน ด้วยท่าทีเหมือนคุยกับเด็ก แม้ฉันบอกพวกเธอไปแล้วว่าอายุเท่ากันก็ตาม                 เวลาผ่าน คนที่คุยกับฉันเริ่มหายหน้าไปทีละคนสองคน พวกเขาต่างถูกเรียกตัวไปสัมภาษณ์                 ตามข้อตกลงมีอยู่ชัดเจนในใบประกาศ บอกว่า หลังจากสัมภาษณ์เสร็จ ผู้จ้างจะไม่แจ้งทันทีว่าได้งานหรือไม่ได้  แต่จะโทรไปบอกในภายหลังตามเบอร์ที่ทิ้งไว้ให้ติดต่อ ดังนั้น เมื่อใครสัมภาษณ์เสร็จแล้ว ให้กลับบ้านได้เลย ห้ามพิรี้พิไร หรือนั่งรอเพื่อนอยู่ในคฤหาสน์เป็นอันขาด             “งานนี้พี่ต้องไม่ได้แน่เลย” สาวชุดแดงที่นั่งอยู่ข้างขวาเริ่มบ่น                 “ทำไมล่ะคะ”                 “ก็ไม่มีใครได้งานนี้มาหลายคนแล้ว เขารับคนเข้าทำงานยาก”                 “ต้องยากสิ ก็ลูกชายคนสุดท้อง สุดรักสุดหวงของตระกูลเลยเชียวล่ะ คนที่จะมาเป็นพี่เลี้ยงของคุณธีรพลได้ จะต้องเก่งหลายอย่าง รู้หลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการทำอาหาร เย็บปักถักร้อย หรือแม้แต่เรื่องยาและการปฐมพยาบาลเบื้องต้น” สาวที่นั่งอยู่ข้างซ้ายหันมาพูดบ้าง สำหรับคนๆนี้ เธอคุยว่าตนเคยเป็นพยาบาลมาก่อน                 “แต่ถึงไม่ได้ พี่ก็ไม่เสียใจหรอก” สาวชุดแดงบอก “เพราะถึงได้ทำงานก็ไม่รู้ว่าจะต้องลาออกเมื่อไหร่”                 “ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะคะ”                  “มีแต่คนลือกันว่า คนที่เข้ามาทำงานเป็นพี่เลี้ยงเด็กที่นี่น่ะ อยู่ไม่เคยถึงสามเดือนเลยสักคน ลาออกก่อนกันเกือบหมด”                 “ทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะคะ” ฉันรู้สึกขนลุกกับสิ่งที่เพิ่งได้ยิน อ้าปากกำลังจะถาม ยามชราคนเดิมก็โผล่หน้ามา  เรียกผู้เข้าสัมภาษณ์รายต่อไป                 “ถึงคิวหนูแล้ว!” เขาชี้ไปที่สาวชุดแดง เธอหันมายิ้มให้ฉันเล็กน้อย ก่อนจะขอตัวลุกจากไป             เวลาผ่านไปจนเกือบบ่าย... ฉันง่วงจนสัปหงกไปหลายครั้ง                 จากนั้น...ยามก็มาเรียกสาวคนที่อวดอ้างว่าเป็นพยาบาลเก่า คนที่ฉันเก็งเอาไว้ล่วงหน้าว่าต้องได้งานแน่ เพราะเธอถึงพร้อมด้วยคุณวุฒิ  รู้มาก  ฉลาด สุขภาพดี และค่อนข้างมั่นอกมั่นใจ                 แต่สุดท้าย...แม้แต่เธอคนนั้น ก็ยังไม่ได้งาน ที่รู้...ก็เพราะยามได้เข้ามาเรียกฉัน...ซึ่งนั่งอยู่เป็นคนสุดท้ายในป้อมยามแห่งนั้น ให้เข้าไปในคฤหาสน์เป็นคนต่อไป                 ...                 ในที่สุด  ฉันก็ได้เดินผ่านประตูอันเย็นเยียบ เข้าไปสูดอากาศภายในบ้านที่ดูเย็นชาไม่ต่าง เฟอร์นิเจอร์ส่วนใหญ่ล้วนเป็นสีขาว...เก่าและโทรม บางอย่างพังแล้วแต่ก็ยังตั้งอยู่ คล้ายพิพิธภัณฑ์ของเก่า บันไดที่ทอดขาวขึ้นไปสู่ชั้นสองวางตัวอยู่เงียบๆที่ปีกขวาของบ้าน บนผนังตามทางขึ้นบันไดแขวนรูปภาพเก่าสีซีด...ใต้กระจกมัวๆ เรียงรายตั้งแต่ชั้นล่างไปกระทั่งถึงชั้นบนสุด และบันไดชั้นบนสุด...ทอดตัวสู่ความมืดสลัวของคฤหาสน์                 สภาพความทรุดโทรมภายในบ้านทำให้ฉันเริ่มแน่ใจว่าข่าวลือที่ได้ยินมาอาจเป็นจริง                 ข่าวลือที่ว่า... ทุกคนที่อาศัยอยู่ในคฤหาสน์หลังนี้ อยู่ในสภาพผู้ดีตกยากมานานเกือบสิบปีแล้ว                 ลือว่า ตอนนี้ พวกเขายังกินสมบัติเก่าอยู่....                 เสียงของแม่เลี้ยงดังขึ้นในหัว ตามมาด้วยเสียงของเพื่อน...                 คนบ้านนั้น เคยร่ำรวยมีธุรกิจใหญ่โต แต่ต่อมา... ก็ทรุดลง                 ขณะนั้น ยามผู้ชราได้พาฉันมาจนถึงหน้าห้องๆหนึ่ง เขาผายมือเบาๆ เป็นเชิงให้ฉันเปิดประตูเข้าไปเอง                 ฉันรู้สึกตื่นเต้น... ปนหวาดกลัว หัวใจเต้นตึกตัก ตึกตัก  และแรงขึ้นเรื่อยๆ ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก                 วาบบบ...แสงสว่างภายในห้องปะทะเข้ากับดวงตา เมื่อฉันผลักประตูเข้าไปจนสุด ฉันลืมตามอง และได้เห็นห้องสีขาวโพลน ประดับโคมไฟระย้ากระพริบยิบยับ รายล้อมด้วยตู้หนังสือมากมายนับไม่ถ้วน                 ฉันกวาดตามองอย่างแทบไม่เชื่อในสิ่งที่ได้พบ... จนกระทั่งสายตาไปหยุดอยู่ที่ผู้หญิงคนหนึ่ง                 เธอลุกขึ้น...จากเก้าอี้บุนวมสีขาว เผยให้เห็นเรือนร่างสูงโปร่ง ระหง ผมสีดำยาวทิ้งตัวลงถึงกลางหลัง หยักศกเล็กน้อยตรงปลาย และเล่นแสงเลื่อมพรายกับโคมไฟ ดังเส้นไหม                 ผิวของเธอขาวโพลนจนแทบจะกลืนไปกับชุดกระโปรงสีขาวยาวลากพื้นที่สวมอยู่ เธอเดินกรุยกรายเข้ามาหาฉัน ดังเจ้าหญิงในเทพนิยาย แต่สิ่งที่ทำให้ตะลึงที่สุดคือดวงตาคู่นั้น มันเป็นสีที่ประหลาดมากอย่างไม่เคยพบเห็นมาก่อน แก้วตาสีดำสนิทเหลือบน้ำเงิน งามจนฉันแทบลืมหายใจ คำพูดของแม่เลี้ยงดังขึ้นครั้ง                 ลูกสาวตระกูลนั้นสวยมาก...คนลือกันทั้งเมือง  เป็นลูกสาวเพียงหนึ่งเดียว ท่ามกลางลูกชายเจ็ดคน พวกเขาทั้งหมด...มีดวงตาสีเหล็ก             “คุณคงเป็นคนสุดท้ายที่จะเข้ามาสัมภาษณ์กับพวกเรา”                 เสียงของเธอดังขึ้น หวานและเย็นจัด สะกดคนฟังให้นิ่งงัน                 ฉันยืนตะลึง ในความงามนั้นราวคนที่ปรากฏตรงหน้านั้นคือเพศตรงข้าม  เธอได้แต่ยิ้ม...คล้ายชินแล้วกับการที่ใครๆจะสูญเสียการควบคุมตนเอง เมื่อได้เห็นหน้าเธอ             “ขอเชิญนั่งก่อนค่ะ”             เมื่อได้สติ...ก็รีบแนะนำตัว                 “ฉ..ฉันชื่อ...”                 “ไม่เป็นไรค่ะ ยังไม่ต้องรีบแนะนำตัวก็ได้ วันนี้ฉันนั่งฟังคนแนะนำชื่อ อาชีพ และก็อายุของตัวเองมาเป็นสิบๆคนแล้ว ฉันเบื่อเต็มที คือฉันแค่ทำหน้าที่สัมภาษณ์เท่านั้นน่ะค่ะ เรื่องชื่อประวัติ หรืออะไรต่อมิอะไร พี่สะใภ้ของฉันจะเป็นคนจัดการอีกทีค่ะ  ตอนนี้ขอเชิญคุณนั่งก่อนเถอะ”                 “อ้อ! ค่ะๆ” ฉันพยักหน้าหงึกหงัก รีบกุลีกุจอวิ่งไปนั่ง ท่าทางเชื่องๆและดูลนของฉัน ทำให้สาวงามตรงหน้าถึงกับแย้มปากเพื่อหัวเราะเบาๆ                 “คุณอายุเท่าไหร่คะ” เธอถามฉันอย่างไม่ค่อยแน่ใจนัก                 “ฉันอายุ 18 แล้วค่ะ”                 เธอมองฉันอย่างไม่เชื่อ หรี่ตาลงเหมือนจะจับผิด             “คิดอย่างไรคะ ถึงมาสมัครเป็นพี่เลี้ยงเด็กที่นี่”             ฉันทำหน้านึก... ก่อนจะเริ่มท่องบท ตามที่แม่เลี้ยงสอนมา             “ฉันเป็นคนรักเด็กค่ะ เคยมีประสบการณ์ทำงานเป็นพี่เลี้ยงเด็กบ่อยๆในช่วงปิดเทอม ฉันรู้สึกว่าการเลี้ยงเด็กให้มีพัฒนาการที่ดีนั้นเป็นเรื่องสำคัญ เพราะเด็ก ถือเป็นอนาคตของชาติค่ะ”                 คนสวยปรบมือเมื่อฉันท่องบทจบ เธอหัวเราะ และเสียงหัวเราะเธอ...ฟังดูแปลกพิกล                 “เก่งมาก คุณอ่านหนังสือเป็นมั้ย” เธอถามอีก                 “ฉันเป็นคนชอบอ่านหนังสือมากค่ะ โดยเฉพาะนิทาน”                 “คุณอ่านหนังสือภาษาอะไรเป็นบ้าง”                 “อ..อังกฤษกับฝรั่งเศสค่ะ”                  “คุณเรียนศิลป์ฝรั่งเศสมาสินะ”                 “ค..ค่ะ ใช่ค่ะ”                 “ทำไมไม่เรียนต่อล่ะ เห็นเด็กที่นี่ ส่วนใหญ่พอจบม.ปลาย เขาก็เข้าเมืองหลวงไปเอนทรานส์กันทั้งนั้น”                 “ฉันอยากจะทำงานเก็บเงินสักพัก แล้วค่อยไปเรียนต่อน่ะค่ะ จะได้ไม่เป็นภาระของที่บ้านมาก”                 “คุณรู้เรื่องตระกูลของเรามากน้อยแค่ไหน”                 คำถามสำคัญมาแล้ว.... ฉันกลั้นหายใจ พยายามที่จะนึก นึก นึก บทที่เคยท่อง                 “ตระกูลอัครโยธิน เป็นชนชั้นผู้ดี ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการเกษตรและยา ธุรกิจของตระกูลมีทั้งสวนผลไม้ ยาสมุนไพร และอาหารสัตว์ มีศูนย์กลางอยู่ที่ภาคตะวันตก ลูกหลานของอัครโยธินมีจำนวนมาก และแบ่งออกเป็นหลายสาย แต่ละสายต่างแผ่ขยายธุรกิจของตนออกไปทั่วประเทศ รวมถึงที่ภาคเหนือนี่ด้วย ลูกหลานตระกูลอัครโยธิน กลุ่มที่มาตั้งรกรากที่จังหวัดเชียงราย เริ่มแรกเปิดโรงงานผลิตปุ๋ยเคมี แต่ต่อมา เมื่อผู้บริหารคนสำคัญเสียชีวิต โรงงานผลิตปุ๋ยก็ปิดตัวลงและหายหน้าไปจากวงการธุรกิจภาคเหนือพักใหญ่ จนกระทั่งปัจจุบัน เมื่อลูกชายของคุณธเรศผู้บริหารคนเก่า...เติบโตขึ้น ก็เข้ามากอบกู้ธุรกิจแทนพ่อที่จากไป ภายใต้การสนับสนุนทางการเงินจากบริษัทอัครโยธินใหญ่ที่อยู่ในภาคตะวันตก จนบัดนี้ ได้เปิดตัวธุรกิจการผลิตผลไม้กระป๋องเพื่อส่งออกนอก ซึ่งเป็นที่ยอมรับในแวดวงสังคมว่า กำลังจะเป็นคลื่นลูกใหม่ที่มาแรง ในแวดวงธุรกิจระดับภูมิภาคในไม่ช้า”                 แปะ...แปะ แปะๆ....คุณหนูของบ้านลุกขึ้น  ปรบมือให้ฉัน                 “เก่งมาก เก่งจริงๆ เหมือนในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นที่ฉันเคยอ่านเป๊ะ แทบจะทุกตัวอักษร”                 ฉันยิ้ม ปลื้มใจกับคำสรรเสริญเยินยอ แม้จะไม่ค่อยเข้าใจว่ามันเกี่ยวข้องกับการเลี้ยงเด็กตรงไหน             “ในเมื่อเธอรู้เยอะถึงขนาดนี้ ไหนลองบอกมาซิ ว่าลูกหลานในบ้านนี้มีทั้งหมดกี่คน”                 “แปดค่ะ!” เมื่อได้รับคำชม ฉันก็ตอบเร็วขึ้น “เป็นผู้หญิงหนึ่ง กับชายอีกเจ็ดคน”                 สาวสวยยิ้มเย็น...ก่อนจะถามต่อไปอีก “แล้วแต่ละคนมีชื่อว่าอะไรบ้าง”                 ฉันเงียบ...อึ้งไปเลยทีเดียว เป็นคำถามที่คาดไม่ถึง แม่เลี้ยงของฉันไม่ได้เก็งข้อสอบถูกไปเสียหมด                 “ไม่ค่อยแน่ใจค่ะ” ในที่สุดฉันก็ตอบ “เคยอ่านผ่านๆในหนังสือพิมพ์ ฉันจำได้แต่ชื่อคุณคนเดียว”                 “ฉันชื่ออะไร” เธอมองฉันด้วยสายตาเอ็นดู                 “ธีรดา...” ขณะตอบ ฉันสังเกตเห็นแววตาคู่นั้น ใจชื้นขึ้น ฉันรู้สึกได้...ว่าเธอถูกชะตากับฉัน                 “เธอจำคนอื่นๆไม่ได้เลยเหรอ อย่าลืมนะว่าฉันไม่ได้มีอำนาจตัดสินใจในการเลือกคนเข้าทำงาน ฉันมีหน้าที่แค่สัมภาษณ์เท่านั้น พี่ชายของฉันต่างหากที่มีอำนาจ” ...มีการขู่น้อยๆจากเธอ                 “ฉ...ฉัน จำไม่ได้จริงๆค่ะ รู้แต่ว่า...ชื่อ เอ่อ... ขึ้นต้นด้วยคำว่า ‘ธี’ หมด”                 “ไม่เป็นไรๆ” เธอโบกมือเมื่อเห็นฉันตะกุกตะกัก “แค่ถามไปเล่นๆเท่านั้น ไม่ได้สำคัญอะไร”             ฉันเผลอถอนหายใจเบาๆ ด้วยความโล่งอก                 “เธอเล่นกีฬาหรือเปล่า”                 “เล่นค่ะเล่น ฉันชอบว่ายน้ำ”                 “เธอไปที่ศูนย์กีฬาจังหวัดหรือ” เธอคงนึกถึงสระว่ายน้ำสีฟ้าๆที่เติมคลอรีน                 “ค..ค่ะ” ฉันตอบอ้อมแอ้ม เพราะจริงๆแล้ว ฉันว่ายน้ำในคลองสี่ขุ่นหลังสวน                 “เธอว่ายอึดมั้ย”                 “อึดพอสมควรค่ะ ติดต่อกันได้ประมาณครึ่งชั่วโมง” ฉันจงใจโกหก                 “ไม่น่าเชื่อนะ เห็นตัวเล็กๆอย่างนี้”                 ฉันยิ้มรับคำชมอย่างละอาย  จริงๆแล้ว...ฉันอ่อนแอมาก แต่โม้ไว้ก่อนเพื่อจะให้ได้งาน                 “เธอปฐมพยาบาลเป็นหรือเปล่า”             “เป็นค่ะ ฉันเคยเรียนตอนเป็นเนตรนารี”                 “รู้เรื่องยามากน้อยแค่ไหน”                 “ฉันรู้เยอะมากค่ะ เพราะอยู่ชมรมหมอยาประจำท้องถิ่น”                 การสนทนาเริ่มต้น และดำเนินไปอย่างยาวยืด ทีแรกก็พูดถึงเรื่องความรู้รอบตัวและทักษะในการปฏิบัติงาน แต่ไปๆมาๆ คุณหนูธีรดาก็เริ่มไต่ถามเรื่องส่วนตัวของฉัน เช่นว่าฉันเรียนโรงเรียนไหน ได้เกรดเท่าไหร่ ฉันชอบกินอะไรเป็นพิเศษ และถามว่า...พ่อแม่ของฉันทำงานอะไร                 “ทำสวนผลไม้ค่ะ”                 เมื่อฉันตอบ...ธีรดาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย                 “สวนอะไร”             “แอปเปิลค่ะ”                 เธอจ้องฉันนิ่งไปพัก ก่อนจะคลี่ยิ้ม มองนาฬิกาแล้วถามว่า “ใกล้บ่ายสามแล้ว ได้เวลาของว่าง ฉันต้องไปทำขนมให้พี่ๆกับน้องๆกิน เธออยากไปดูฉันทำขนมมั้ย”                 “อยากค่ะอยาก” ฉันดีใจแทบกระโดด  แน่ใจแล้วว่าคุณหนูคนนี้ชอบฉัน และฉันก็รู้สึกชอบเขาเช่นกัน ความรู้สึกในตอนที่วิ่งตามเธอออกจากห้องหนังสือ มันช่างลิงโลด เหมือนเด็กน้อยวิ่งตามพี่สาวก็ไม่ปาน                 “เห็นเธอพูดถึงแอปเปิ้ล ฉันเลยนึกอยากทำพายแอปเปิ้ลขึ้นมา”                 “คุณทำครัวเองเหรอคะ” ฉันมองไปรอบๆห้องครัวสีขาวสะอาด ไม่กว้างมากนัก แต่มีอุปกรณ์ทำครัวครบทุกชนิด                 “ที่บ้านหลังนี้ เหลือแม่บ้านแค่คนเดียวเท่านั้น แกแก่มาก ทำงานหนักก็ไม่ค่อยได้ ฉันเป็นผู้หญิงคนเดียวในบ้านที่พอรู้วิธีทำอาหาร ก็เลยอยากช่วยแบ่งเบา”                 คุณหนูธีรดาทำขนมอย่างคล่องแคล่ว และรวดเร็วมาก รูปร่างหน้าตาของพายที่สำเร็จออกมาแล้ว ทำให้ฉันนึกถึงโรตีใส่ไข่ที่แขกเข็นมาขายหน้าโรงเรียนทุกเย็น จึงไม่คิดว่ารสชาติจะเลอเลิศมากนัก ทว่า...เมื่อได้ชิม...                 “อร่อยมาก! ไม่เคยกินอะไรอร่อยขนาดนี้มาก่อน” ฉันร้องไม่หยุด ตักพายเข้าปากอีก พยายามอย่างยิ่งไม่ให้ดูตะกละ                 “เธอแกล้งชม ก็เพื่อจะให้ได้งานใช่มั้ยล่ะ” ธีรดาหยอก...                 ฉันสำลัก พายหล่นจากปาก กล่าวหน้าซีดๆ  “เปล่านะคะ ข...ขนมของคุณอร่อยจริงๆ”                 “ถ้าเธอได้มาทำงานที่นี่ ฉันจะทำให้กินทุกวันเลย” คุณหนูธีรดาล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดปากให้ฉัน                 ฉันเริ่มรู้สึกเล่นๆ...ว่าอยากอยู่กับผู้หญิงคนนี้ไปตลอด เธอทำให้ฉันนึกถึงแม่ที่ตายจาก                 “คุณธีรดาครับ พี่ชายของคุณให้โทรมาบอกว่ากำลังจะกลับมาบ้านแล้ว” เสียงหนึ่งดังขึ้นขัดจังหวะ ยามชราที่เฝ้าหน้าประตูนั่นเอง เขาพูดกับธีรดาจบ...ก็หันมามองฉัน “นี่สัมภาษณ์เสร็จแล้วใช่มั้ยครับ”                 “ใช่จ้ะ” คุณธีรดาตอบอย่างอ่อนหวาน                 “ผมว่า.. ควรจะให้หนูคนนี้กลับบ้านไปได้แล้ว” เขาเหลือบสายตาขึ้นมองธีรดาอีกครั้ง                 พลันนั้น...ดวงตาสีงามของเธอเศร้าลง เธอหันมามองฉันด้วยแววอาลัย ก่อนจะตอบว่า                 “มาเถอะ ฉันจะพาเธอไปส่งที่หน้าประตูบ้าน”                 ฉันรู้สึกตื้นตันใจ เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่คนอย่างเธอลดตัวลงมาถึงขนาดเดินไปส่งฉันถึงหน้าบ้าน ฉันพยายามเดินให้ช้า และรู้สึกว่าเธอก็เดินช้าลงเช่นกัน                 “อยากมีน้องสาวสักคน... น้องสาวคงน่ารักกว่าน้องชายเป็นไหนๆ” เธอพึมพำ เดินมาเกือบจะถึงหน้าประตู                 “ฉันก็อยากมีพี่สาวค่ะ” ฉันรีบตอบ เดินตามหลังเธอก้าวหนึ่ง                 “เธอมีพี่หรือเปล่า” ธีรดาหันมาถาม                 “ฉันไม่เคยมีพี่” ฉันตอบ...นิ่งไปพัก ก่อนจะเริ่มตอบใหม่                 “ไม่สิ เคยมีพี่ชายหนึ่งคน แต่เขาจากไปนานแล้ว”                 เธอหยุด... หันมามองฉัน...                 “พี่ชายหรือ...”                 “ค่ะ”                 เธอจ้องหน้าฉัน... ก่อนจะคลี่ยิ้ม แล้วบอกว่า                 “ยินดีที่ได้เจอกันนะ หวังว่าจะเราจะมีโอกาสได้พบกันใหม่ ในวันข้างหน้า”                 “ฉันก็ยินดีเช่นกันค่ะ”             “เอ่อ...” เธอหันไป...หยิบกระดาษโน้ตบนโต๊ะวางโทรศัพท์ข้างประตู “ช่วยเขียนชื่อ นามสกุล ที่อยู่ และก็เบอร์โทรติดต่อให้หน่อยได้มั้ยคะ เผื่อจะให้พี่สะใภ้ฉันติดต่อกลับไป”                 ฉันรีบหยิบปากกาในกระเป๋าออกมาจดยิกๆให้เธอ                 เมื่อส่งให้ ฉันก็ยกมือไหว้เธอ เห็นเธอพยักหน้ารับไหว้อย่างช้าๆ                 ฉันฉีกยิ้มกว้างให้ธีรดาเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะวิ่งออกจากบ้านอย่างเบิกบาน วันนี้ทั้งอิ่มท้องทั้งอิ่มใจ ถึงแม้ไม่ได้งาน แต่ได้มาท่องเที่ยวในปราสาทสโนไวท์ กินของอร่อยๆ แม้เพียงวันเดียวก็เหมือนความฝัน   เอี๊ยดดดดดดดดดดด....                 แล้วความฝันของฉันก็ทะลายลง ถูกแทนที่ด้วยความเจ็บปวด                 ฉันไม่รู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น รู้แค่ว่าพอเดินโผล่พรวดออกมาจากประตูรั้ว ร่างก็ลอยหวือไปอีกทางเสียแล้ว                 “กรี๊ดดด” เสียงกรีดร้องของแม่บ้านดังขึ้น                 “เฮ้ย หนู เป็นอะไรมั้ย” ...ตามมาด้วยเสียงของยามหน้าคฤหาสน์                 แต่ฉันยังไม่ตายง่ายๆหรอก! ฉันขืนตัวเองที่นอนคว่ำอยู่ให้หงายขึ้น พยุงตัวเองนั่งแล้วสำรวจร่างกาย รู้สึกเจ็บปวดตรงข้อมือ ที่ค้างแข็งอยู่ในทิศทางแปลกราวเป็นตะคริว ข้อมือฉันหักแน่แล้ว ทำไงดี!             คนในรถเปิดประตูลงมา เป็นชายผิวขาว ร่างเล็ก หน้าตาน่ารักจิ้มลิ้ม ดวงตาอ่อนโยน ทั่งร่างคล้ายมีประกายสีขาวแวววาวๆเหมือนเทวดา                 “คุณ! เป็นอะไรหรือเปล่า” เขาวิ่งเข้ามาโอบกอดฉัน                 เขาตัวไม่สูงมาก ผิวขาวซีด ร่างเล็กดูบอบบางๆ...จนเกือบจะพอๆกับฉัน แต่นิ้วมือของเขาที่ประคองจับฉันช่างแสนอ่อนนุ่ม                 “พี่ไนยคะ ให้รินทร์โทรตามหมอมั้ย” ผู้หญิงคนหนึ่ง เปิดประตูรถตามลงมา ผิวสองสี หน้ารูปไข่ ไม่สวยมากนัก แต่ดูมีเสน่ห์                 “ไม่เป็นไรๆ ดูเหมือนจะแค่ข้อมือซ้น” ชายหน้าตาน่ารักตอบ...พลางบีบนวดข้อมือฉัน                 “เอาเข้าบ้านก่อนมั้ยครับ คุณธีรไนย” ลุงแก่ๆคนเดิมวิ่งเข้ามาถาม                 “นั่นสิ อดทนหน่อยนะ” เขาไม่พูดพร่ำทำเพลง อุ้มฉันขึ้น แล้วพาวิ่งเข้าไปในบ้าน ขณะใกล้จะถึงประตูคฤหาสน์ ฉันเห็นธีรดายืนค้างอยู่ ในท่าเดียวกับที่ฉันเห็นครั้งสุดท้ายก่อนจะหันหลังเดินจากมา                 “รดา ช่วยพี่หน่อย พี่ขับรถเฉี่ยวเด็กคนนี้” ธีรไนยวิ่งผ่านน้องสาวเข้าไปในบ้าน หย่อนฉันลงบนโซฟาที่มีฝุ่นจับหนา แล้วหันไปเร่งน้องสาวอีกครั้ง                 “รดา! ไม่ได้ยินหรือไง”                 ธีรดายังคงยืนค้างอยู่ที่ประตู ผินหน้าออกไปด้านนอกในท่วงท่าเดิมไม่ผิด ราวถูกสาปให้กลายเป็นหิน                 “รดา... เป็นอะไรไป” คนเป็นพี่ชายวิ่งเข้าไปจับไหล่เธอ และในทันทีที่มือเขาสัมผัส ร่างเธอก็อ่อนยวบ ล้มพับลงไปกับพื้น                 “รดา  คุณพระช่วย! รดา” เขาช้อนร่างน้องสาวขึ้น อุ้มเธอวิ่งขึ้นบันได  ปึงปัง! ปึงปัง! จากนั้นก็หายตัว ทิ้งฉันไว้ข้างล่าง ราวเขาลืมไปแล้วว่าได้อุ้มฉันมาหย่อนทิ้งไว้ที่โซฟา                 ฉันกลายเป็นคนเจ็บ ที่ถูกเขาขับรถชน และถูกลืมไปโดยปริยาย คนที่จำฉันได้ คือสาวผิวสองสีที่ชื่อรินทร์ เธอวิ่งตามธีรไนยเข้ามาในเวลาที่ใกล้เคียงกัน เมื่อเห็นฉันนอนหน้าซีดและมึนงงอยู่ที่โซฟา                 เธอก็แหกปากลั่น เรียกสาวใช้อีกคนหนึ่งของบ้าน ให้วิ่งเข้ามาดูฉัน                 “เครือ! เครือ! ช่วยทำแผลให้เขาหน่อย เขาถูกรถชน”                 “ก็ไม่เห็นมีแผลตรงไหนนี่คะคุณมิรินทร์” สาวใช้วัยรุ่นคนนั้นสำรวจร่างกายฉัน                 ฉันอึ้งจนพูดไม่ออก รู้สึกงงว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่                 “ข้อมือเขาน่ะ ลองนวดๆหน่อยซิ” สาวท่าทางผู้ดี คนที่ชื่อมิรินทร์คอยสั่งและกำกับสาวใช้อย่างใกล้ชิด                 หลังจากนวดเฟ้นสักพัก...ข้อมือของฉันก็กลับมาเป็นปกติ แม้จะปวดนิดหนึ่ง แต่ก็ดีขึ้น พอที่จะทำให้ฉันรีบขอตัวแจ้นกลับบ้าน                 “ค่ะๆ หนูไม่เป็นไรแล้วค่ะ งั้นขอลาล่ะนะคะ”                 “เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งไป” เสียงผู้ชายดังขึ้น                 ทุกคนหันไปมอง... แลเห็นผู้ชายร่างเล็ก ที่มีชื่อธีรไนย...กำลังเดินลงบันไดมา คนที่ขับรถชนฉันนั่นเอง                 “ผมขอโทษนะที่ทำให้คุณบาดเจ็บ” เขากล่าว...จ้องฉันด้วยแววตาอ่อนโยน เนื้อเสียงของเขาก็นุ่ม เนิบซะเหลือเกิน จนฉันเกือบจะคิดว่าเป็นเสียงผู้หญิง                 “เด็กคนนี้ไม่เป็นไรแล้วค่ะพี่ไนย” หญิงสาวที่ชื่อมิรินทร์กล่าว             “ไม่ทราบว่าคุณชื่ออะไรครับ” เขาถาม...มองฉัน แววตาอ่อนโยน                 “พริมาค่ะ” ฉันตอบ                 “บ้านคุณอยู่ที่ไหนครับ” ชายหนุ่มถามด้วยกริยาแสนสุภาพ                 “เชียงใหม่น่ะค่ะ” ฉันลนลาน ลุกจากโซฟา                 “ให้ผมขับรถพาคุณไปตรวจแขนที่โรงพยาบาลก่อนดีมั้ยครับ”                 “โอ๊ยๆ ไม่เป็นไรค่ะ ชนแค่นี้สบายมาก” ฉันสะบัดไม้สะบัดมือให้เขาดู...ทั้งที่จริงเจ็บใจแทบขาด “รบกวนมากแล้ว นี่เริ่มจะเย็นมาก เดี๋ยวฉันกลับบ้านดึก แม่กับพ่อจะด่า ขอตัวกลับก่อนดีกว่านะคะ””                 “แต่ผมขับรถชนคุณน่ะครับ ขอผมทำอะไรเพื่อคุณบ้างสิ” ดวงตากลม...น่ารักๆของเขามีแววสำนึกผิด                 “ฉ..ฉัน”  อึกอัก...ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรต่อ                 “ก็ให้เงินเขาไปสิคะ พี่ไนย” สาวชื่อมิรินทร์พูดอย่างรำคาญ                 “คุณต้องการค่าเสียหายเท่าไหร่ บอกมาได้เลยครับ ผมยินดีจ่าย” ชายหนุ่มหน้าตาใจดีหันมาหาฉัน                 “ไม่เป็นไรค่ะ ไม่เป็นไร” ฉันส่ายหน้าเป็นพัลวัน รู้ตัวว่าไม่ใช่คนงกขนาดนั้น                 “รับๆไปเถอะค่ะ ถ้าคุณไม่ยอมรับล่ะก็ สามีของฉันคงรู้สึกผิดไปจนวันตายเลยเชียว” คุณมิรินทร์พูดด้วยสำเนียงประชดประชัน                 “ฉ..ฉัน ม..ไม่อยากรับจริงๆ ท..ที่จริงแล้ว เป็นความผิดของฉันเองด้วยที่วิ่งทะเล่อทะล่าไม่ดูทาง” ฉันยอมรับ...ว่าตัวเองเป็นคนเซ่อซ่า อุบัติเหตุครั้งนี้เป็นความผิดของฉันเอง ไม่ใช่ของเขา                 “คุณหนูใหญ่ ก็รับแกเข้าทำงานสิครับ” ลุงชราออกความเห็น                 “เอ๋ นี่เขาเข้ามาสมัครงานในบ้านเราเหรอ”                 “แกมาสมัครเป็นพี่เลี้ยงคุณธีรพลน่ะครับ” ชายแก่ตอบ                 “อ้าว งั้นก็พอดีเลยน่ะสิ” ธีรไนยหันมาหาฉัน ด้วยดวงตาเป็นประกายเจิดจ้า “เจ้าพลกำลังขาดพี่เลี้ยงอยู่พอดี เพื่อเป็นการไถ่โทษที่ทำให้คุณบาดเจ็บ งั้นขอเชิญคุณเข้ามาทำงานในบ้านเราเลยนะครับ”                  “เดี๋ยวสิพี่ไนย ยังไม่ทันได้สัมภาษณ์เลยว่านิสัยเป็นไง แล้วลูกเต้าเหล่าใครก็ไม่รู้” มิรินทร์แย้งทันควัน                 “เห็นคุณรดาสัมภาษณ์วันนี้ คุยกันถูกคอดีนะครับ คุณหนูรดาดูจะชอบเด็กคนนี้มาก”                 เพียงเท่านี้ก็รู้แล้วว่าคุณลุงแกสนับสนุนฉัน แม้เขาแสดงออกด้วยสีหน้าเรียบๆ แต่ฉันก็รู้สึกได้ คราวหน้าถ้าเจอกัน ฉันจะซื้อของคาวของหวานมาประเคนเขา                 “อย่างรดาเนี่ยนะ..” คุณมิรินทร์เหมือนจะพูดต่อ แต่เมื่อหันไปเห็นสายตาดุๆของสามี ก็เงียบเสียงลง                 “รดาดูชอบเด็กคนนี้เหรอ” ธีรไนยถามยามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ                 “เห็นแกสัมภาษณ์นานกว่าคนอื่น พาไปเที่ยวในครัว ทำขนมให้กินด้วย แล้วก็ยังพูดอีกว่าถ้าหนูคนนี้ได้มาทำงานที่นี่ เธอจะทำขนมให้กินทุกวัน” ชายชราตอบ                 “คุณโชคดีมากเลยรู้มั้ยครับ รดาไม่เคยใจดีกับใครแบบนี้มาก่อน โดยเฉพาะคนนอก” ธีรไนยส่งมือให้จับ ดึงฉันขึ้นจากโซฟา  “ในเมื่อคุณมาสมัครงานที่นี่ หมายความว่าก็คงอยากมาทำงานที่นี่อยู่แล้ว งั้นก็รับข้อเสนอของผมไว้เถอะครับ”                 “ฉ...ฉัน” เริ่มไม่ค่อยแน่ใจว่าควรจะตกลงรับคำดีหรือเปล่า แต่ตามมารยาท จำเป็นต้องตอบว่า “ตกลงค่ะ” ..ไว้ก่อน                 “งั้นขอเชิญคุณ...มาทำงานในบ้านเราได้ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม