ร่างสูงใหญ่ของแม่ทัพหนุ่มก้าวออกมาจากร้านขายภาพวาดพร้อมเอ่ยกับคนสนิท
“หยงอี้! เดินทางต่อกันเถอะ… ข้าจะไปบ้านตระกูลจาง” คำกล่าวของแม่ทัพหนุ่มทำให้คนสนิทสงสัยขึ้นมาทันที
“ท่านไม่ไปจวนของท่านเจ้าเมืองลั่วหยางอย่างนั้นหรือขอรับ เหตุใดจึงไปบ้านตระกูลจางซึ่งเป็นบ้านพ่อค้าอันมั่งคั่งของเมืองนี้”
คำกล่าวของหยงอี้ทำให้เทียนอี้หยุดก้าวเดินทันทีพร้อมหันกลับมามองหน้าคนสนิท
“จริงสิ... เหตุใดข้าจึงลืมไปเสียสิ้นว่าเจ้ามาจากเมืองลั่วหยาง ถ้าเช่นนั้นก็ต้องล่วงรู้เกี่ยวกับบ้านตระกูลจางไม่มากก็น้อยใช่หรือไม่”
คำกล่าวของแม่ทัพหนุ่มทำให้หยงอี้พยักหน้าติดๆ กันเป็นการยอมรับ
“ข้าก็พอล่วงรู้อยู่บ้างขอรับแต่ก็ใช่ว่าจะรู้อะไรมากมาย พออายุสิบหาก็ถูกเกณฑ์เข้าเป็นกำลังพลให้กับกองทัพจนตอนนี้สิบปีผ่านมาแล้วจนข้าอายุยี่สิบห้าปีนี้แล้วที่จากบ้านมานานไม่ได้กลับเลยและนี่เป็นครั้งแรกที่ได้กลับบ้าน
คำกล่าวของหยงอี้ทำให้แม่ทัพหนุ่มรับรู้ถึงความรู้สึกภายในใจนั้นได้เป็นอย่างดีเพราะตนก็ไม่แตกต่างกันแต่เพื่อแผ่นดินแล้วยอมสละชีวิตส่วนตัวให้ทั้งหมด มือหนาล้วงเข้าไปในถุงผ้าที่สะพายอยู่บนไหล่ก่อนจะยื่นถุงผ้าซึ่งบรรจุเงินอยู่จำนวนหนึ่งให้แก่ทหารคนสนิท
“นี่คือเงินรางวัลที่เจ้าสมควรจะได้รับตลอดสิบปีที่ผ่านมา เงินจำนวนนี้จะทำให้ครอบครัวของเจ้าสุขสบายขึ้นกว่าเดิมและอยู่โดยไม่ลำบาก เจ้าจงรับไปและกลับบ้านของเจ้าเสียตั้งแต่ตอนนี้เลย”
คำกล่าวของแม่ทัพหนุ่มทำให้หยงอี้ถึงกับน้ำตาซึมเมื่อได้ยินเช่นนั้น สองมือรับถุงเงินที่หนักอึ้งด้วยความดีใจก่อนจะนึกถึงหน้าที่ของตน
“ท่านให้ข้ากลับบ้านแล้วตัวท่านล่ะขอรับ จะไปบ้านตระกูลจางด้วยเหตุสิ่งใดท่านจะมิไปจวนจ้าวเมืองอย่างนั้นหรือขอรับ” หยงอี้เอ่ยถามด้วยความสงสัย
“เรื่องไปจวนเจ้าเมืองข้าจะจัดการเอง เป็นราชการทางทหารใช้เวลาไม่มากแต่ข้ามีงานที่จะต้องทำที่บ้านตระกูลจางซึ่งเพิ่งได้รับมา ส่วนเจ้าจงถือสารนี้ไปที่จวนเจ้าเมืองแทนข้าในนั้นระบุไว้หมดแล้วว่าข้าจะไปพบท่านเจ้าเมืองด้วยตัวของข้าเองเมื่อใด หลังจากนั้นเจ้าจงกลับไปบ้านเถิด ข้าให้เวลาเจ้าสามเดือนสำหรับอยู่กับครอบครัวหลังจากนั้นจึงกลับไปที่ฉางอานเพื่อเข้ากองทัพตามเดิม” จ้าวเทียนอี้กล่าวพร้อมส่งสารที่อยู่ในมือให้แก่คนสนิทรับไว้
“ขอรับท่านแม่ทัพ... ขอบคุณที่เมตตา” หยงอี้กล่าวขอบคุณด้วยความซาบซึ้งใจพลางยื่นมือรับสารจากแม่ทัพของตนมาถือไว้
“เจ้ายังไม่ตอบข้าเลยว่ารู้อะไรบ้างเกี่ยวกับบ้านตระกูลจาง” จ้าวเทียนอี้มิลืมที่จะเอ่ยถามเพื่อหาข้อเท็จจริง ในขณะที่หยงอี้สาละวนเก็บถุงเงินและสารที่เพิ่งรับมา
“ท่านต้องการล่วงรู้สิ่งใดขอรับ... ถ้าสิ่งใดที่ข้ารู้ก็จะตอบท่าน” หยงอี้กล่าวออกไปตามตรง
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าล่วงรู้หรือไม่ว่าบ้านตระกูลจางมีบุตรีกี่คน”
คำถามของแม่ทัพหนุ่มทำให้หยงอี้ที่กำลังสาละวนเก็บของอยู่ในขณะนั้นหยุดนิ่งทันที
“ข้าหูฝาดไปหรือเปล่า ร้อยวันพันปีข้ามิเคยได้ยินท่านถามเกี่ยว กับอิสตรีนางใดเลย ในรอบสิบปีที่อยู่กับท่านมานี่เป็นครั้งแรกี่ข้าได้ยิน” หยงอี้กล่าวพร้อมทำหน้าทะเล้นพร้อมเอ่ยสำทับขึ้น
“หรือท่านอยากจะมีฮูหยินแล้วกระนั้นสิถึงได้เอ่ยถามหญิงงามแห่งบ้านตระกูลจาง”
คำกล่าวของคนสนิททำให้จ้าวเทียนอี้สะดุดกับคำพูดดังกล่าวอย่างยิ่งยวด
“เจ้าเคยเห็นหญิงงามในบ้านตระกูลจางอย่างนั้นรึ” แม่ทัพหนุ่มถามออกไปทันทีด้วยความอยากรู้ ก่อนจะได้ยินคนสนิทตอบกลับมา
“สำหรับข้าไม่เคยเห็นหรอกขอรับ แต่ได้ยินท่านแม่เล่าให้ฟังบ่อยๆ ว่าบ้านตระกูลจางมีลูกทั้งหมดแปดคน มีลูกชายเจ็ดคนและลูกสาวคนที่แปดซึ่งท่านแม่ข้าบอกว่าขนาดยังเยาว์วัยนางยังงดงามถึงเพียงนี้หากแม้นเติบใหญ่เป็นสาวเต็มตัวความงดงามของคุณหนูจางลี่เซียนแห่งบ้านตระกูลจางจะต้องสะท้านไปทั้งเมืองและอาจจะต้องสะท้านไปทั้งแผ่นดิน จริงเท็จประการใดก็มิอาจรู้ได้ แต่ที่แน่ๆ ท่านแม่ของข้ามิใช่คนโกหกเพราะว่าท่านมีอาชีพเป็นหมอตำแยทำคลอด”
คำกล่าวของหยงอี้สร้างความพึงพอใจให้แก่แม่ทัพรูปงามอย่างยิ่งยวดเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“ไปจัดการตามที่ข้าสั่งและทุกๆ เจ็ดวันเจ้าจงมาหาข้าที่โรงเตี๊ยมข้างหน้านั้นเพื่อที่ข้าจะสั่งงานให้เจ้าเป็นธุระจัดหาเข้าใจหรือไม่” กล่าวพร้อมชี้มือไปทางโรงเตี๊ยมขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองลั่วหยาง
“เข้าใจขอรับท่านแม่ทัพ” หยงอี้รับคำอย่างแข็งขันก่อนจะโค้งคำนับนายของตนเพื่อบ่ายหน้าเดินทางไปจัดการตามคำสั่งและกลับบ้านของตนต่อไป ท่ามกลางสายตาของเทียนอี้มองตามหลังคนสนิทก่อนจะหันกลับไปมองทางเดินที่ทอดยาวเบื้องหน้า มองเห็นถนนหนทางร้านค้า บ้านเรือนและโรงเตี๊ยมไม่เว้นแม้กระทั่งหอคณิกามากมายกระจัดกระจายไปทั่วบริเวณ
“ข้าก็ใคร่อยากรู้เช่นกันว่าหญิงงามในภาพวาดที่ทำให้องค์ชายหลี่หลงจีหลงใหลจะมีตัวตนจริงหรือไม่ บ้านตระกูลจางเป็นสิ่งที่ข้าต้องหาคำตอบนั้น” แม่ทัพหนุ่มรำพึงอยู่ภายในใจ
ดวงตาคมกล้าทอดมองไปยังทางเดินที่ทอดยาวที่กำลังนำทางไปสู่คฤหาสน์ตระกูลจาง ซึ่งมีเป้าหมายที่แม่ทัพหนุ่มชื่อก้องต้องการหาคำตอบอยู่ในนั้น แม่ทัพหนุ่มเดินไปตามถนนที่ทอดยาวมุ่งหน้าไปบ้านตระกูลจาง และกำลังเดินผ่านกลุ่มคนที่กำลังสนทนากันอย่างออกรส
“แหม... ข้าอยากมีองค์ความรู้ประดุจนักปราชญ์เหล่าจื้อเสียนี่กระไร จะได้มีภูมิปัญญาสั่งสอนและให้ความรู้แก่ผู้คน แต่เป็นที่น่าเสียดายที่ชาตินี้เกิดมาเป็นเพียงชาวนาผู้ต่ำต้อยได้แต่ฝันลมๆ แล้งๆ ไปวันๆ อยากเรียนหนังสือเหมือนผู้อื่นก็เป็นไปไม่ได้” หนึ่งในกลุ่มสนทนารึงรำพันกับชะตาชีวิตของตน
“เหตุใดเจ้าจึงเปรียบเปรยถึงเพียงนั้น หรือเกิดความอิจฉาลูกหลานบ้านตระกูลจางกระนั้นสิที่ต้องการเหล่านักปราชญ์ซึ่งเป็นผู้รอบรู้แต่ละแขนง มาสอนหนังสือให้ลูกหลานในตระกูล ตระกูลผู้ร่ำรวยสามารถทำอะไรได้ทุกสิ่งจะไปอิจฉาทำไมกัน”
“ข้ามิได้อิจฉาตระกูลจางหากแต่ข้าพยายามพูดให้กำลังใจตัวเองต่างหากเล่า แต่บังเอิญว่าข้าเกิดมีความรู้สึกว่าตัวเองต่ำต้อยเข้ามาแทรกก็เท่านั้น” ชายคนดังกล่าวเอ่ยปฏิเสธเพื่อนร่วมวงสนทนา
จ้าวเทียนอี้ยืนฟังการสนทนาความต่างๆ พอจะจับเค้าได้บางอย่าง ก่อนจะเอ่ยถามกลุ่มคนที่กำลังสนทนาความดังกล่าวด้วยความอยากรู้
“ข้าขออภัยพวกท่านด้วยเถิดที่มาแทรกการสนทนาของพวกท่าน เพียงแต่ใคร่รู้ว่าบ้านตระกูลจางมีเหตุสิ่งใดเกิดขึ้นเช่นนั้นหรือพี่ท่าน แล้วเพราะเหตุใดตระกูลจางจึงต้องการนักปราชญ์ไปสอนบุตรหลาน”
กลุ่มคนดังกล่าวต่างหยุดสนทนาลงทันใด แต่ละคนเฝ้าสำรวจชายหนุ่มแปลกหน้าที่มีท่วงท่าองอาจ อีกทั้งสูงใหญ่บึกบึน ใบหน้าหล่อเหลาคมคายมิใช่บุคคลธรรมดาเป็นแน่แท้ องคาพยพที่มีลักษณะเช่นนี้จะต้องเป็นชนชั้นสูงมากกว่าชนชั้นสามัญดั่งเช่นพวกตน
“ท่าทางนายท่านเป็นคนจากเมืองอื่นกระมัง จึงมิได้ล่วงรู้ข่าวสารจากบ้านตระกูลจาง ข้าน้อยเดาถูกหรือไม่” หนึ่งในกลุ่มสนทนาเอ่ยถามออกไปตรงๆ
แม่ทัพหนุ่มคลี่ยิ้มออกมาบางๆ เมื่อกลุ่มคนดังกล่าวล้วนช่างสังเกตยิ่งนัก
“ข้ามาจากฉางอานมาทำธุระที่ลั่วหยาง บังเอิญได้ยินเรื่องราวที่กำลังสนทนา เหตุที่ถามเพราะข้ารู้จักกับนักปราชญ์ที่มากด้วยวิชาความรู้อย่างยิ่ง ยวด และต้องการถ่ายทอดองค์ความรู้ให้แก่ผู้ที่อยากเรียนรู้โดยไม่คิดค่าจ้างแต่อย่างใด หากตระกูลจางต้องการนักปราชญ์เพื่อไปสอนบุตรหลานในตระกูลก็จะแนะนำให้พบกับนักปราชญ์ที่ข้ารู้จัก”
“เป็นเช่นนี้เองหรือรึ ถ้าเช่นนั้นนายท่านมาถูกแล้ว เพราะตระกูลจางต้องการนักปราชญ์ผู้รอบรู้ศาสตร์ทั้งบู๊และบุ๋นให้ไปสอนคุณชายเล็กของตระกูลจาง เพียงแค่นักปราชญ์ผู้นั้นมีผู้รับรองหรือเอกสารรับรององค์ความรู้จากสำนักที่ศึกษาจบมาหรือจากส่วนราชการที่นักปราชญ์ผู้นั้นขึ้นสังกัดอยู่ เพียงเท่านี้ก็สามารถถ่ายทอดองค์ความรู้ได้แล้ว”
จ้าวเทียนอี้ขมวดคิ้วเข้มได้รูปสวยเข้าหากันเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“ต้องมีสิ่งเหล่านั้นด้วยรึ แสดงว่าเกรงจะมีนักปราชญ์ปลอมปะปนมาใช่หรือไม่จึงต้องมีผู้รับรองหรือต้องมีเอกสารรับรองเช่นว่านั้น”
“พวกข้าน้อยได้ยินมาเช่นนั้นขอรับนายท่าน ส่วนจะจริงเท็จประการใด ท่านเจ้าเมืองลั่วหยางทราบดีที่สุดเพราะท่านจางหยวนฟู่ให้ท่านเจ้าเมืองเป็นธุระในเรื่องจัดหานักปราชญ์เก่งๆ มาสอนบุตรหลานในตระกูล”
“เป็นเช่นนี้เอง... ข้าขอบใจพวกท่านยิ่งนักที่กล่าวให้ข้าได้ล่วงรู้” แม่ทัพหนุ่มเอ่ยพร้อมส่งยิ้มให้บางๆ พร้อมก้มศีรษะเพียงนิดให้กับชาวเมืองลั่วหยางกลุ่มนั้น
ร่างสูงปลีกตัวมายืนโดดเดี่ยวอยู่กลางถนน ก่อนจะมองตรงไปเบื้องหน้าจนสุดมุมถนนเห็นคฤหาสน์หลังงามของตระกูลจางตั้งโดดเด่นอยู่ท่ามกลางถนนเส้นหลักสายการค้าของเมืองลั่วหยาง แม่ทัพหนุ่มยืนคิดบาง อย่างอยู่ภายใจจากที่ตั้งใจจะเข้าบ้านตระกูลจางเสียตั้งแต่วันนี้ กลับเปลี่ยนใจบ่ายหน้าไปจวนเจ้าเมืองลั่วหยาง เพราะการที่จะเข้าไปในบ้านตระกูลจางนั้นและล่วงรู้สิ่งที่ต้องการจะต้องแนบเนียน
“เห็นทีคงต้องได้พึ่งพาท่านเจ้าเมืองลั่วหยางเข้าให้แล้วงานนี้” จ้าวเทียนอี้รำพึงออกมาเบาๆ ร่างสูงใหญ่หันหลังกลับก่อนจะฉีกเส้นทางไปยังทิศทางอันเป็นที่ตั้งของจวนเจ้าเมือง