สามเดือนผ่านไป
เมืองลั่วหยางในเวลานี้กำลังก้าวเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง ทิวทัศน์รอบเมืองเต็มไปด้วยใบไม้เปลี่ยนสีที่กำลังเตรียมตัวผลัดใบ อากาศกำลังเย็นสบายไปทั่วทุกอณู ชาวเมืองลั่วหยางกำลังเดินขวักไขว่ไปมาตามถนนหนทางซึ่งมีร้านค้าเปิดจำหน่ายมากมายไปตามถนนสายหลัก ทั่วทั้งเมืองเจริญรุดหน้าล้วนเต็มไปด้วยคหบดีมากมายในเมืองนี้
จ้าวเทียนอี้ในชุดบุรุษที่มักสวมใส่ในแผ่นดินต้าถัง ไม่บ่อยนักที่จะสวมผ้าธรรมดาดั่งเช่นผู้อื่นเพราะชีวิตประจำวันจะสวมชุดเกราะระดับแม่ทัพใหญ่และทำศึกอยู่ตลอดเวลา แม่ทัพหนุ่มอยู่ในชุดเสื้อและชุดคลุมคอกลมสีขาวแบบแขนแคบเพื่อความคล่องแคล่วเวลาเดินทาง แตกต่างตรงที่ตัวชุดทอจากผ้าไหมอย่างดี ด้านหน้าและด้านหลังต่อเป็นชิ้นเดียวกัน บริเวณคอเสื้อและแขนเสื้อต่างมีการขลิบริม ตัวแขนเสื้อออกแบบเป็นแขนแคบ ด้านล่างของคอเสื้อด้านหน้า ปะด้วยแถบผ้าตามแนวนอน พร้อมเข็มขัดคาดเอวเอาไว้จนแน่นซึ่งเป็นเข็มขัดผ้าจากชิ้นเดียวกัน บนศีรษะสวมหมวกฝูเพื่อเก็บผมสีดำสนิทที่ยาวสยายให้มิดชิด สายผ้ามัดหมวกเอาไว้จนแน่นปล่อยสายผ้าให้ห้อยพลิ้วไหวอยู่ด้านหลังและสวมรองเท้าหุ้มข้อสีขาวเช่นเดียวกับตัวชุด
จ้าวเทียนอี้กำลังเดินปะปนไปกับชาวเมืองลั่วหยางที่กำลังเดินผ่านไปผ่านมา ทว่าด้วยรูปร่างที่สูงใหญ่และบึกบึนดั่งเช่นชายชาตินักรบไม่ผอมแห้งแรงน้อย ท่วงท่าการเดินที่แลดูสง่าผ่าเผยเป็นที่จับตามมองแก่คนที่สัญจรผ่านไปมาโดยเฉพาะอิสตรี ยามเมื่อสายตาดั่งพญานกอินทรีแลสบพาดผ่านไปที่ใด โฉมสะคราญน้อยใหญ่ต่างก้มหน้างุดด้วยความเขินอายไปทุกนวลนาง
“ท่านแม่ทัพรู้สึกเหมือนกับข้าหรือไม่ขอรับ” จู่ๆ เสียงของหยงอี้ทหารคนสนิทก็เอ่ยขึ้นในขณะที่กำลังเดินเคียงคู่มาด้วยกันตามท้องถนน
แม่ทัพหนุ่มหันกลับไปถลึงตาใส่ทันทีเมื่อทหารคนสนิทเรียกตนเช่นนั้น
“ขะ... ข้าขอโทษขอรับคุณชาย... ลืมตัวอีกแล้ว” หยงอี้นึกขึ้นได้รีบเอ่ยแก้คำใหม่อย่างรวดเร็วท่ามกลางความพึงพอใจของแม่ทัพรูปงาม
“อย่าลืมตัวบ่อยนัก ถ้าหลงลืมเช่นนี้บ่อยๆ ข้าจะไม่ให้เจ้าติดตามไปไหนต่อไหนด้วยอีกต่อไปและจะขังเจ้าในคุกมืดเป็นการดัดสันดานเพื่อให้หลาบจำ” เทียนอี้เอ่ยปรามคนสนิทที่ทำเอาคนฟังกลืนน้ำลายลงคอที่จะต้องได้รับโทษทัณฑ์เช่นนั้น ก่อนเอ่ยสำทับขึ้น
“เจ้ารู้สึกเยี่ยงไรจึงเอ่ยถามข้า”
ครั้นหยงอี้ได้ยินแม่ทัพของตนกล่าวเช่นนั้นจึงรีบเอ่ยตอบกลับไปทันที
“ข้าถามคุณชายเพราะอยากรู้ว่า รู้สึกอย่างไรบ้างที่มาเดินอยู่ในเมืองใหญ่แบบนี้ที่ไม่ใช่สนามรบเพราะข้าน้อยติดตามท่านมาหลายปี ในรอบสิบปีนี้กระมังที่เห็นนายท่านได้มีโอกาสมาเดินเล่นในเมืองใหญ่ๆ ที่รองจากฉางอานเช่นเมืองลั่วหยางในขณะนี้ คุณชายมิคิดอยากมีฮูหยินบ้างหรือขอรับ” หยงอี้พูดเสียยืดยาวทำไปทำมาก็ไม่พ้นเรื่องเกี่ยวกับฮูหยินตระกูลจ้าวนั่นเอง
“ดูเจ้าจะเป็นทุกข์เป็นร้อนเรื่องข้าจะมีฮูหยินหรือไม่เสียเหลือเกินนะหยงอี้” แม่ทัพหนุ่มเอ่ยตอบกลับไปโดยไม่หันกลับมามองหน้าทหารคนสนิทก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกครา
“ชีวิตของข้าอยู่แต่ในสนามรบมาโดยตลอด เรื่องออกเรือนมีฮูหยินเหมือนคนอื่นๆ ไมได้อยู่ในความคิดของข้าหรอกเพราะชีวิตนักรบตายได้ตลอดเวลาเมื่อออกทำศึก หากมีคนรออยู่เบื้องหลังมันจะทำให้มีห่วงผูกมัดตัวเองเปล่าๆ เพราะฉะนั้นข้าไม่คิดที่จะมีฮูหยินเหมือนกับใครหรือถ้าคิดง่ายๆ อีกอย่างๆ ข้ายังมิมีหญิงใดที่พึงใจก็แค่นั้นเอง” คำตอบตรงประเด็นของแม่ทัพหนุ่ม ทำให้หยงอี้พยักหน้าขึ้นลงเมื่อเริ่มเข้าใจความคิดแม่ทัพของตน ก่อนจะเหลือบสายตาไปเห็นภาพวาดหลากหลายที่กำลังทยอยนำออกมาจากร้านเพื่อขายให้แก่ผู้คนที่เดินสัญจรไปมา
“คุณชาย! นั่นร้านขายภาพวาดที่ท่านกำลังถามหาอยู่ขอรับ” หยงอี้พูดพร้อมชี้มือไปที่ร้านขายภาพวาดที่อยู่ไม่ไกลจากสายตามากนัก ร้านดังกล่าวตั้งอยู่มุมถนนเดินไปอีกไม่ไกลก็ถึง
“ที่ร้านจะมีจิตรกรสามารถวาดภาพออกมาด้วยหรือไม่หรือว่ามีแต่ภาพวาดขายอย่างเดียว” แม่ทัพหนุ่มถามกลับไปเพื่อความแน่ใจ
“ร้านนี้มีจิตรกรฝีมือเยี่ยมที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองลั่วหยางเลยนะครับคุณชาย ข้าเห็นมาตั้งแต่เกิดคิดว่าตอนนี้ท่านลุงก็น่าจะยังอยู่ เคยได้ยินมาว่าต้นตระกูลของท่านเป็นจิตรกรเอกที่เคยรับใช้อยู่ในราชสำนักสมัยราชวงศ์ฮั่นมาก่อน ว่ากันว่าบรรพบุรุษของท่านลุงเป็นผู้วาดภาพของแม่นางหวังเจาจิน หญิงงามที่สุดในยุคนั้นนะขอรับ”
“เป็นเช่นนั้นรึ” เทียนอี้เอ่ยพร้อมมองตรงไปที่ร้านดังกล่าวด้วยสายตาคมกริบพร้อมกระชับห่อผ้าที่ตนคล้องไหล่อยู่ในขณะนั้นโดยมีเสียงของหยงอี้ยังเอ่ยเรื่องราวหญิงงามในอดีตออกมาอย่างไม่ขาดสาย
“คุณชายรู้ไหม เขาบอกว่าแม่นางหวังเจาจินถูกเหล่าสนมภายในวังกีดกันและถูกกล่าวหาว่านางเป็นหญิงอัปลักษณ์จนกระทั่งมารู้ว่าแท้จริงแล้วนางงดงามมากเพียงใด แม้แต่ฮ่องเต้ในสมัยนั้นยังต้องเจ็บใจที่ลั่นวาจายกนางไปให้ข่านเผ่าซงหนู” หยงอี้เล่าเรื่องราวที่ตนเองได้ยินได้ฟังมาจนไม่ทันสังเกตว่าผู้เป็นนายก้าวเดินไปที่ร้านดังกล่าวแล้ว โดยไม่ได้ฟังตนกล่าวแม้แต่น้อยจนกระทั่งสายตาเหลือบเห็นแผ่นหลังของผู้เป็นนาย กำลังเดินนำหน้าไปที่ร้านขายภาพวาดจึงได้รู้สึกตัว
“คุณชายรอข้าด้วย!” ว่าแล้วก็รีบรุดวิ่งตามไปทันที
ร่างใหญ่ของแม่ทัพหนุ่มเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าร้านพร้อมกวาดสายตาไปทั่วบริเวณ เพื่อพิจารณาภาพวาดที่นำออกมาวางขายจนละลานตาไปหมด หากแต่ส่วนใหญ่จะเป็นภาพวาดทิวทัศน์โดยทั่วๆ ไป หามีภาพวาดบุรุษหรือสตรีที่ถูกวาดขึ้นแม้แต่น้อย
“มีแต่ภาพวาดทั่วๆ ไปหามีสิ่งที่ข้ากำลังตามหาไม่” เสียงพึมพำแม้จะเบาแต่ก็ทำให้ชายสูงวัยที่กำลังยืนจัดร้านอยู่ในขณะนั้นได้ยิน
“ท่านกำลังตามหาสิ่งใดอยู่รึ หากข้าล่วงรู้อาจจะให้คำตอบแก่ท่านได้” ชายสูงวัยกล่าวพร้อมก้าวเข้ามาหยุดยืนตรงหน้าพร้อมคลี่ยิ้มบางๆ ก่อนจะหันกลับไปมองเมื่อร่างของหยงอี้วิ่งกระหืดกระหอบจน กระทั่งมาหยุดที่หน้าร้าน
“โอ๊ยคุณชาย! ไม่รอข้าบ้างเลย… จะบอกข้าสักนิดก็ไม่มีปล่อยให้ข้าพูดอยู่แต่เพียงผู้เดียวเป็นนานสองนาน”
ถ้อยคำของทหารคนสนิททำให้แม่ทัพจ้าวหัวเราะเบาๆ อยู่ในลำคอ
“ก็ใครใช่ให้เจ้าพล่ามมิรู้จักหยุดเช่นนั้น สิ่งที่เจ้ากล่าวให้ข้าฟังเป็นเรื่องที่ใครๆ ก็ล่วงรู้กันทั้งนั้น” แม่ทัพหนุ่มกล่าวพร้อมส่ายหน้าไปมาก่อนจะหันกลับไปสนทนาชายสูงวัยที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าในขณะนี้
“ท่านลุง… ภาพเหล่านี้เป็นฝีมือของผู้ใดกระนั้นรึ” คำถามแรกเปิดฉากออกมาทันที
“ภาพเหล่านี้เป็นฝีมือของข้าทั้งสิ้น ท่านมีเหตุสิ่งใดสงสัยอย่างนั้นหรอกหรือ”
จ้าวเทียนอี้พยักหน้าขึ้นลงติดๆ กันแทนคำตอบ
“นับว่าท่านมีฝีมือทางการวาดภาพยอดเยี่ยมมาก เมืองลั่วหยางคงจะมีจิตรกรเอกเช่นท่านมากมาย ถ้าเช่นนั้นท่านลุงคงจะสามารถวาดภาพข้าหรืออาจจะวาดภาพผู้อื่นได้เสมือนจริงใช่หรือไม่”
คำกล่าวของแม่ทัพหนุ่มทำให้ชายสูงวัยตรงหน้าคลี่ยิ้มออกมาบางๆ
“ข้าวาดภาพของท่านได้เหมือนทุกจุดมิต้องห่วงหากแต่ต้องใช้เวลาในการวาดและการวาดภาพเช่นนี้ต้องใช้กระดาษที่มีราคาแพงเพื่อสะท้อนสีของน้ำหมึกให้เงางามและรักษาภาพวาดได้อย่างยาวนาน อีกทั้งการวาดภาพลักษณะนี้ราคาจะสูงยิ่งนัก ชาวบ้านทั่วไปไม่มีเงินมาจ้างข้าวาดได้แบบนั้นหรอกนอกจากพวกขุนนางและพวกคหบดี”
คำกล่าวของชายสูงวัยทำให้จ้าวเทียนอี้เริ่มเข้าใจแล้วว่าเหตุใดจึงมิมีภาพวาดที่เสมือนจริงตั้งวางขาย
“ถ้าเช่นนั้นก็ดี... ข้าอยากให้ท่านลุงวาดภาพเสมือนจริงตามแบบที่ข้าต้องการนี่ให้สักหน่อย ลองดูสิว่าท่านจะใช้เวลาวาดนานเพียงใด เพราะข้าต้องการให้ท่านวาดภาพที่จะให้เห็นต่อไปนี้ไม่ใช่น้อยๆ เลยทีเดียว
จ้าวเทียนอี้กล่าวพร้อมหันกลับไปสั่งหยงอี้ทหารคนสนิทที่คอยติดตามตนมาโดยตลอด
“หยงอี้เจ้าคอยดูหน้าร้านให้ท่านลุง ข้าจะต้องใช้เวลาสนทนาในเรื่องงานสักหน่อย”
“ขอรับคุณชาย” หยงอี้รับคำอย่างแข็งขัน พร้อมหันกลับไปยืนกอดอกมองผู้คนสัญจนไปมาอยู่หน้าร้านและคอยสังเกตคนรอบข้างไปมา
ข้างฝ่ายแม่ทัพหนุ่มใช้มือล้วงเข้าไปในอกเสื้อคลุมก่อนจะดึงออกมาพร้อมกระดาษที่ม้วนเอาไว้อย่างดีเก็บอย่างมิดชิดพร้อมยื่นส่งให้
“นี่คือสิ่งที่ข้าต้องการให้ท่านวาดขึ้นมาตามต้นแบบที่อยู่ในมือของข้านี้”
ชายสูงวัยยื่นมือมารับม้วนกระดาษตรงหน้าก่อนจะคลี่ออกอย่างช้าๆ จนเผยให้เห็นภาพวาดของหญิงงามที่อยู่ในกระดาษนั้นและทันทีที่เห็นชายชรากล่าวออกมาทันที
“นี่มันภาพวาดของข้าเอง... ท่านได้มาอย่างไร”
คำกล่าวของชายสูงวัยตรงหน้าทำให้คิ้วเข้มของแม่ทัพหนุ่มขมวดเข้าหากันโดยพลันเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“ท่านว่าอย่างไรนะ!... นี่คือภาพวาดของท่านกระนั้นรึ” แม่ทัพจ้าวเอ่ยถามกลับไปพร้อมมองหน้าชายชราเขม็ง
“ถูกต้องแล้วภาพวาดนี่คือฝีมือการวาดของข้าเอง... มีคนมาจ้างให้ข้าวาด... จ่ายเงินมาให้ข้าหนึ่งถุงได้เงินเป็นก้อนโตเลยเชียวล่ะกับค่าจ้างวาดภาพ พอข้าวาดเสร็จก็เก็บไว้ให้เพื่อให้คนที่จ้างมาวาดแต่จนแล้วจนรอดก็ไม่เห็นมีใครมารับ จนข้าต้องไปถามที่บ้านตระกูลจางด้วยตัวเองว่าเมื่อไรจะมารับภาพที่จ้างข้าวาด” ชายชรากล่าวถึงแค่นั้นก็หยุดเสียดื้อๆ
“แล้วอย่างไรต่อท่านลุง” แม่ทัพหนุ่มถามกลับไปอย่างรวดเร็วด้วยความอยากรู้ ทำไปทำมาจากที่ต้องงมเข็มในมหาสมุทรเพื่อตามหาหญิงงามในภาพวาดที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยเริ่มมีเค้าขึ้นมาบ้างแล้ว
ชายชรายกน้ำชาถ้วยน้อยขึ้นจิบแก้กระหายก่อนจะเล่าเรื่องต่อไป
“แต่มันน่าแปลกตรงที่พอข้าไปถามคนในบ้านตระกูลจางกลับไม่มีใครรู้เรื่องภาพวาดที่ข้าถูกจ้างนี้เลย และดูเหมือนคนในบ้านนั้นก็มีท่าทางแปลกๆ พอข้าบอกว่าเป็นภาพวาดของหญิงงามแรกรุ่นซึ่งข้าเองก็มิรู้หรอกว่านางคือผู้ใด ท่านเชื่อไหมคนที่บ้านตระกูลจางส่งคนมาที่ร้านข้าเพื่อค้นหาภาพนั้น แต่ก็ยิ่งแปลกเข้าไปใหญ่เมื่อคนของตระกูลจางมาค้นร้านของข้าภาพที่ข้าวาดซึ่งก็คือภาพนี้แหละจู่ๆ มันก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยจนข้าเองก็มึนจนมาถึงทุกวันนี้เช่นกัน”
คำกล่าวของชายสูงวัยดังกล่าวทำให้จ้าวเทียนอี้เริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวขึ้นภายในใจ ก่อนจะเอ่ยถามกลับไป
“ท่านลุงคิดว่าภาพวาดหญิงงามที่อยู่ตรงหน้านี้มีความเกี่ยวข้องกับคนในตระกูลจางหรือไม่”
คำถามของแม่ทัพหนุ่มชี้จุดตรงประเด็นเลยทีเดียว ทำให้ชายชราพูดโพล่งออกมาทันที
“มันต้องเกี่ยวแน่นอนอยู่แล้ว... เพราะข้าแอบได้ยินคนในบ้านตระกูลจางพูดกันวันที่มาค้นร้านของข้า ว่าหาภาพวาดให้พบถ้าเป็นภาพวาดของคุณหนูเล็กจริงๆ ให้ทำลายทิ้งให้หมด ซึ่งข้าเองก็คิดว่าหญิงงามในภาพนี้อาจจะเป็นคุณหนูเล็กแห่งบ้านตระกูลจางก็อาจเป็นได้ ส่วนจะจริงหรือไม่นั้นก็มิอาจรู้ได้เพราะเป็นการคาดเดาของข้าเองและเหตุการณ์โดยรวมที่ข้าเจอมากับตัว”
จ้าวเทียนอี้คลี่ยิ้มออกมาบางๆ เมื่อได้ยินเช่นนั้น
“ไม่คิดเลยว่าหญิงงามที่อยู่ในภาพวาดนี้จะเริ่มมีทีท่าว่ามีตัวตนอยู่จริง เห็นทีข้าจะต้องพิสูจน์เสียแล้วว่าจะเท็จจริงประการใด” แม่ทัพรูปงามรำพึงอยู่ภายในใจ ดวงตาดำใหญ่มองหน้าชายชราอยู่เพียงครู่ก่อนจะดึงถุงผ้าซึ่งบรรจุเงินอยู่เต็มถุงออกจากตัวเสื้อด้านในพร้อมยื่นส่งให้
“นี่คือรางวัลของท่านลุง...เป็นค่าตอบแทนที่ให้เบาะแสกับข้าได้ทำ งานง่ายขึ้น และช่วยชี้ทางบ้านตระกูลจางให้ข้าด้วยเถิด” จ้าวเทียนอี้ระบุความต้องการของตนออกไปทันที
“อะ... เอ่อ... ข้ายังมิได้ทำอะไรเลยเหตุใดจึงมอบเงินให้ข้ามากมายเช่นนี้เล่า” ชายชราเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ก็สิ่งที่ท่านบอกเมื่อครู่ที่ผ่านมาทำให้ข้าได้รับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับภาพ วาดนี้มากยิ่งขึ้นเพราะนั้นคือสิ่งที่ข้ากำลังตามหาอยู่ ตอนนี้เหลือเพียงแค่ว่าบ้านตระกูลจางอยู่แห่งหนใดเท่านั้นที่เหลือเป็นเรื่องของข้าเอง”
ชายชราพยักหน้าขึ้นลงติดๆ กันเมื่อได้ยินเช่นนั้นก่อนจะบอกทางไปบ้านตระกูลจางซึ่งเป็นคหบดีใหญ่ของเมืองนี้เป็นตระกูลผู้ร่ำรวยที่สุดของเมืองลั่วหยางเลยทีเดียว ท่ามกลางความพึงพอใจของแม่ทัพหนุ่มเมื่อล่วงรู้รายละเอียดเกี่ยวกับบ้านตระกูลจาง