ณ บ้านตระกูลจาง
ภายในห้องหนังสือ
จางหยวนฟู่กำลังตรวจทานบัญชีรายรับรายจ่ายของโรงงานผลิตกระดาษซวนจื่อ ซึ่งนับวันจะยิ่งทำกำไรให้กับตระกูลจางมากมายมหาศาลโดยเฉพาะปีนี้ หัวเมืองน้อยใหญ่ต่างสั่งกระดาษซวนจื่อเข้ามานับเท่าทวี คูณเนื่องจากปีนี้มีงานพระราชพิธีสำคัญๆ ระดับแผ่นดินกำลังจะเกิดขึ้นอีกหลายงาน นั่นก็คืองานพระราชพิธีราชาภิเษกของจักรพรรดิพระองค์ใหม่และงานพระราชพิธีอภิเษกสมรสที่ตามมาติดๆ หลังจากฮ่องเต้พระองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์เสร็จเรียบร้อย
เสียงหัวเราะด้วยความพึงพอใจกับตัวเลขอันเป็นผลกำไรมหาศาล ทำให้ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งประสบการณ์ชีวิตอันยาวนานเบิกบานอยู่ตลอดเวลา
“ปีนี้กระดาษซวนจื่อของตระกูลจางช่างทำกำไรมากมายมหาศาลยิ่งนัก ต่อไปในภายภาคหน้ากระดาษซวนจื่อของข้าจะแพร่หลายไปทั่วแผ่นดิน” กล่าวพร้อมหัวเราะเบาๆ อยู่ในลำคออย่างมีความสุขยิ่งนัก ก่อนจะเงยหน้าจากบัญชีรายรับรายจ่ายเมื่อมีคนก้าวเข้ามาภายในห้อง
“อ้าว! อี้หานเจ้ามีอะไรหรอกรึ เหตุใดจึงกลับมาจากจวนท่านเจ้าเมืองเร็วยิ่งนัก หรือว่าหลงลืมสิ่งใดอย่างนั้นหรอกหรือ” หยวนฟู่เอ่ยถามบุตรชายคนที่ห้าด้วยความแปลกใจ เมื่อจางอี้หานก้าวเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าบิดาของตนด้วยความดีใจอย่างยิ่งยวด สาเหตุเพราะได้รับข่าวดีจากท่านเจ้าเมืองจึงรีบส่งข่าวมาบอกบิดาของตน
“ข้าไปเข้าพบท่านเจ้าเมืองตามคำสั่งของท่านพ่อเรียบร้อยแล้ว และมีข่าวดีมาบอกท่านพ่อด้วยขอรับ”
คำกล่าวของอี้หานทำให้หยวนฟู่เงยหน้าจากสมุดบัญชีตรงหน้าด้วยความแปลกใจเมื่อได้ยินบุตรชายกล่าวออกมาเช่นนั้น
“ข่าวดีของเจ้าคือสิ่งใดกระนั้นรึ” หยวนฟู่เอ่ยถามกลับไปพร้อมมองหน้าบุตรชายที่กำลังยืนยิ้มเพื่อระงับความตื่นเต้นเอาไว้อย่างเต็มที่
“ท่านเจ้าเมืองแจ้งมาว่าทางวังหลวงมีคำสั่งซื้อกระดาษซวนจื่อของบ้านตระกูลจางเพื่อนำไปใช้ในราชสำนักของต้าถังในงานพระราชพิธีสำคัญของการขึ้นครองราชย์ฮ่องเต้พระองค์ใหม่และงานพิธีอภิเษกสมรสที่จะถูกจัดขึ้นหลังจากเสร็จงานพิธีการขึ้นครองราชย์แล้ว คำสั่งซื้อมีมูลค่าทั้งหมดห้าแสนตำลึงทองขอรับท่านพ่อ
คำกล่าวของจางอี้หานทำให้หยวนฟู่นิ่งงันไปทันทีกับข่าวดีที่บุตร ชายนำมาบอก
“เพียะ!!!” มือหนาตบลงบนหน้าขาเสียงดังอย่างชัดเจนด้วยความดีใจอย่างยิ่งยวด พร้อมเสียงหัวเราะร่วนบ่งบอกได้เลยว่าจางหยวนฟู่ดีใจกับข่าวนี้มากมายเพียงใด
“เป็นข่าวดีในรอบหลายสิบปีเลยทีเดียว มูลค่าการสั่งซื้อจากราชสำนักช่างมากมายมหาศาลยิ่งนัก ว่าแต่คำสั่งซื้อดังกล่าวออกมาจากจวนท่านเจ้าเมืองหรือออกมาจากราชสำนักกันเล่า” หยวนฟู่เอ่ยถามเพื่อความมั่นใจ
“คำสั่งซื้อมาจากราชสำนักขอรับท่านพ่อ ทางราชสำนักจะจ่ายเงินให้กับตระกูลจางทั้งหมดสองครั้ง ครั้งแรกจ่ายในวันที่สินค้าออกจากบ้านตระกูลจาง สองแสนห้าหมื่นตำลึง ส่วนที่เหลือทั้งหมดจ่ายเมื่อสินค้าได้ส่งถึงราชสำนัก เนื่องจากราคาสินค้ามีจำนวนสูงมากทางราชสำนักจึงนำจ่ายเป็นตั๋วแลกเงิน เพื่อให้ตระกูลจางสามารถนำตั๋วแลกเงินนั้นมาขึ้นเงินที่ฉางอานขอรับ”
“ดี! ดีมากอี้หาน... เจ้าติดต่องานครั้งนี้ทำรายได้อย่างมหาศาลให้ตระกูลจางยิ่งนัก” หยวนฟู่กล่าวชื่นชมบุตรชาย
“เอ่อ... ท่านพ่อข้ามีข่าวจากท่านเจ้าเมืองให้นำความมาบอกท่าน”
“ท่านเจ้าเมืองมีข่าวอันใดนำมาบอกอย่างนั้นรึ” หยวนฟู่เอ่ยถามด้วยความอยากรู้
“ท่านเจ้าเมืองแจ้งมาว่า ได้เสาะหานักปราชญ์ที่เก่งทั้งเรื่องบู๊และเรื่องบุ๋นให้ได้แล้ว เป็นนักปราชญ์ที่พำนักอยู่ในเมืองฉางอาน พอดีว่านักปราชญ์คนดังกล่าวต้องการถ่ายทอดองค์ความรู้ที่มีอยู่ให้กับผู้ฝักไฝ่ในการเรียนโดยไม่คิดมูลค่าการสอนแต่อย่างใดด้วยขอรับ”
คำกล่าวของอี้หานทำให้หยวนฟู่พยักหน้าขึ้นลงติดๆ กันด้วยความดีใจอย่างยิ่งยวด
“วันนี้มีแต่ข่าวดีทั้งนั้นเลย ถ้าเสี่ยวหมิงรู้คงจะดีใจอยู่มิใช่น้อยที่จะได้อาจารย์เก่งทั้งเรื่องบู๊และบุ๋นมาสอนเสียที ไม่น่าเชื่อเลยว่าเพียงระยะเวลาแค่สามเดือนนับตั้งแต่ฟื้นขึ้นมา ลี่เซียน... เอ่อ... ไม่ใช่สิ ข้าหลงลืมอีกแล้ว” หยวนฟู่ส่ายหน้าไปมากับความชราของตัวเอง
“พ่อคงแก่ชราร่วงโรยไปเป็นอันมากจึงพูดผิดพูดถูกอยู่ร่ำไป ข้าควรจะพูดว่าเสี่ยวหมิงใช้เวลาเพียงแค่สามเดือนอ่านหนังสือที่อยู่ในห้องนี้จนหมดแล้ว มิหนำซ้ำยังอ่านหนังสือที่หอสมุดประจำเมืองไปกว่าครึ่งห้องแล้วเช่นกัน น้องกลับมากลายเป็นหนอนหนังสือ วันๆ เอาแต่อ่านตำราดั่งคำกล่าวของเฟยเทียนจริงๆ”
“ข้าก็คิดเห็นเช่นเดียวกันท่านพ่อ หากแต่ท่านมิคิดถึงเหตุการณ์เบื้องหน้าหรอกหรือ หากแม้นเสี่ยวหมิงสามารถสอบได้เป็นจอหงวนจริงแล้วไซร้ น้องจะต้องอยู่ในร่างของบุรุษไปชั่วชีวิตเลยนะท่านพ่อ ทางที่ดีควรถามให้ถ่องแท้ว่าน้องต้องการอยู่ในร่างของบุรุษตลอดชีวิตหรือเพียงแค่ชั่วคราวจนกว่าจะพ้นภัยพิบัติ จะดีกว่าไหม” อี้หานกล่าวแสดงความคิดเห็น
“อันที่จริงในใจลึกๆ ของข้า อยากให้ลูกชายหนึ่งในเจ็ดคนได้เข้ารับราชการในวังหลวงยกฐานะตระกูลจางจากชั้นคหบดีสู่ชนชั้นขุนนาง ซึ่งจะเป็นเกียรติภูมิของตระกูลยิ่งนักที่ได้มีโอกาสถวายการรับใช้แก่องค์ฮ่องเต้”
คำกล่าวของหยวนฟู่ทำให้อี้หานขมวดคิ้วเข้มเข้าหากันทันทีด้วยความแปลกใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“ในเมื่อท่านพ่อมีความต้องการเช่นนั้น เหตุใดจึงไม่สนับสนุนให้ลี่เซียนถวายตัวเป็นพระสนมขององค์ฮ่องเต้กันเล่า ไยจึงขัดขวางทั้งๆ ที่การได้ถวายตัวเข้าเป็นพระสนมในวังนั้นโอกาสที่จะก้าวเข้าสู่อำนาจทางฝ่ายในเพื่อขึ้นสู่ตำแหน่งฮองเฮาจะแลดูง่ายกว่าให้ข้าหนึ่งในเจ็ดคนสอบแข่งขันเข้ารับราชการ” อี้หานเอ่ยย้อนแย้งกลับไป
“แล้วพวกเจ้าเจ็ดคนมีใครอยากเข้ารับราชการตามที่ข้าต้องการหรือไม่เล่า พวกเจ้าล้วนแล้วแต่ถนัดทำการค้าขายด้วยกันทั้งสิ้น อีกทั้งตั้งแต่โบราณมาแล้วตระกูลขุนนางจะนับสายโลหิตทางฝ่ายชายหาใช่ฝ่ายหญิงแต่อย่างใด อีกอย่างการถวายตัวเข้าเป็นพระสนมใช่ว่าจะได้โอกาสที่ดีกลายเป็นคนโปรดเสียเมื่อไรกัน พ่อมีลี่เซียนเพียงคนเดียวหากแม้นเป็นหญิงก็ไม่อยากให้มีชีวิตที่โดดเดี่ยวและจบชีวิตลงด้วยความอ้างว้างเช่นนั้นหรอกนะ เจ้าพอจะเข้าใจในสิ่งที่ข้ากำลังจะบอกหรือไม่” ประโยคสุดท้ายหยวนฟู่หันกลับไปย้ำกับบุตรชาย
อี้หานพยักหน้าขึ้นลงติดๆ กันพร้อมเอ่ยขึ้น
“ข้าพอจะเข้าใจความรู้สึกของท่านพ่อแล้ว เข้าใจง่ายๆ ก็คือหากแม้นพวกข้าหนึ่งในเจ็ดต้องการสอบเข้าไปเป็นขุนนางท่านพ่อยินดีอย่างยิ่งยวดเพราะจะได้ยกระดับของตระกูลจางจากตระกูลพ่อค้าไปสู่ตระกุลขุนนาง แต่ถ้าเป็นหญิงและยิ่งเป็นหนึ่งเดียวแล้วไซร้ ท่านพ่อจะมิยอมให้เข้าวังโดยเด็ดขาดแม้จะล่วงรู้ว่าน้องอาจจะมีโอกาสได้เป็นที่โปรดปรานขององค์ฮ่องเต้ใช่หรือไม่”
คำกล่าวของอี้หานสร้างความพึงพอใจให้แก่หยวนฟู่อย่างยิ่งยวดเมื่อลูกๆ เข้าใจความรู้สึกของตน ก่อนจะได้ยินเสียงของอี้หานเอ่ยแทรกขึ้น
“ข้าเกือบลืมไปท่านพ่อ ท่านเจ้าเมืองได้ฝากเอกสารรับรองของนักปราชญ์ที่จะเดินทางมาถ่ายทอดองค์ความรู้ให้แก่เสี่ยวหมิงด้วยขอรับ เห็นว่าจะเดินทางมาที่บ้านตระกูลจางในวันพรุ่งนี้” กล่าวพร้อมยื่นเอกสารรับรองส่งให้บิดา
หยวนฟู่คลี่เอกสารรับรองตรงหน้าเพื่ออ่านข้อความก่อนจะรำพึงออกมาเบาๆ
“นักปราชญ์ผู้นี้มีนามว่า จ้าวจื่อหยาง อย่างนั้นรึ” หยวนฟู่เอ่ยชื่อนักปราชญ์ที่ระบุในหนังสือรับรองตรงหน้า
“มีอะไรหรือขอรับท่านพ่อ หรือว่าท่านรู้จักกับนักปราชญ์ผู้นี้อย่างนั้นเหรอ” อี้หานเอ่ยถามด้วยความอยากรู้
“นักปราชญ์ผู้นี้มาจากตระกูลจ้าว ซึ่งเป็นตระกูลขุนนางระดับสูงในราชสำนัก ส่วนใหญ่เป็นขุนนางฝ่ายบู๊เพราะดำรงตำแหน่งในระดับแม่ทัพใหญ่และระดับขุนพลมาหลายชั่วอายุคน อีกทั้งข้าได้ยินมาว่ามีเพียงไม่กี่ตระกูลที่มีเชื้อสายจากราชวงศ์ซางในยุคโบราณมาจนถึงแผ่นดินต้าถังเหลือเพียงไม่กี่ตระกูลเท่านั้นและหนึ่งในนั้นคือตระกูลจ้าว ไม่แปลกใจเลยว่านักปราชญ์ผู้นี้จึงมีความรอบรู้ทั้งบู๊และบุ๋นผสมผสานอยู่ภายในคนเดียว เป็นเพราะสืบเชื้อสายมาจากตระกูลจ้าวอย่างนี้นี่เอง"
จางอี้หานพยักหน้าขึ้นลงติดๆ กัน ครั้นได้ยินประวัติคร่าวๆ ของนักปราชญ์ที่จะได้พบในอีกไม่ช้า
“ถ้าเช่นนั้นข้าจะต้องจัดเตรียมที่พักให้แก่นักปราชญ์ผู้นี้ ที่เรือนรับรองด้านในหาใช่เรือนรับรองด้านนอกกระนั้นสิ เพราะว่าเป็นเชื้อสายขุนนางระดับสูงใช่หรือไม่ท่านพ่อ”
“ถูกต้องแล้วอี้หาน ตระกูลจางจะต้องต้อนรับอย่าให้ขาดตกบก พร่อง คอยดูแลและอำนวยความสะดวกเป็นอย่างดีอย่าให้ชนชั้นขุนนางเล่าต่อๆ กันปากต่อปากว่าพ่อค้าอย่างเราไม่รู้จักธรรมเนียมปฏิบัติ แล้วก็อย่าลืมจัดหาบ่าวไพร่ที่เป็นชายไว้คอยรับใช้ท่านจ้าวจื่อหยางด้วยนะ” หยวนฟู่เอ่ยสั่งการ
“ขอรับท่านพ่อ ข้าจะเตรียมการทุกอย่างให้ดีที่สุด เพื่อรับรองท่านนักปราชญ์จากฉางอาน” อี้หานรับคำอย่างแข็งขันก่อนจะนึกบางอย่างขึ้นมาได้
“ว่าแต่ท่านพ่อข้ารู้สึกว่าเหมือนจะคุ้นๆ ที่เฟยเทียนเคยกล่าวเอาไว้เลยนะตอนที่มาช่วยลี่เซียน ท่านยังจำได้หรือไม่ที่เฟยเทียนเคยกล่าวไว้ว่า ตระกูลจางจะต้องเตรียมรับมือคนจากวังหลวงซึ่งจะเป็นคนพาลี่เซียนเข้าวังหรือจะเป็นท่านจ้าวจื่อหยางดั่งคำกล่าวของเฟยเทียน” อี้หานกล่าวพร้อมมองหน้าบิดาเพื่อขอความคิดเห็น
“คงไม่ใช่กระมัง เฟยเทียนหมายถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นถ้าลี่เซียนอยู่ในร่างของอิสตรี หากยังอยู่ในร่างหญิงจะต้องรับมือต้อนรับคนจากวังหลวงเมื่อทางราชสำนักส่งคนเพื่อนำตัวลี่เซียนถวายตัวเป็นพระสนม แต่นี่ไม่ใช่ น้องกลายเป็นจางเสี่ยวหมิง ลูกชายคนที่แปดของตระกูลจาง” หยวนฟู่กล่าวทบทวนความทรงจำ
“ท่านพ่อแน่ใจนะขอรับว่าเข้าใจไม่ผิดพลาด” อี้หานกล่าวย้ำกับบิดาเพื่อความแน่ใจ
“ข้าก็คิดว่าเข้าใจไม่ผิดนะ” หยวนฟู่เอ่ยตอบกลับไปไม่ค่อยเต็มเสียงนักด้วยเพราะตนก็ไม่มั่นใจว่าความเข้าใจของตัวเองนั้นถูกหรือไม่ ก่อนจะเงยหน้ามองไปที่ประตูเมื่อเห็นร่างของบ่าวรับใช้มายืนกระหืดกระหอบอยู่ตรงหน้าพร้อมเสียงจางอี้หานเอ่ยถามสวนกลับไป
“เจ้ามีอะไรกระนั้นรึ เหตุใดจึงหายใจจนตัวหอบโยนเช่นนั้น”
บ่าวรับใช้หายใจเข้าปอดลึกๆ ก่อนจะรีบรายงานอย่างรวดเร็ว
“นายท่านขอรับ... คุณชายห้า... ท่านเจ้าเมืองมาพบขอรับ”
“หา! ท่านเจ้าเมืองมาพบข้าอย่างนั้นเหรอ” คำกล่าวของบ่าวรับใช้ทำให้สองคนพ่อลูกตกใจระคนแปลกใจ ทั้งสองไม่รอช้ารีบรุดออกจากห้องสมุดตรงไปยังเรือนด้านหน้าเพื่อต้อนรับขุนนางระดับสูงที่มีศักดิ์เป็นถึงท่านเจ้าเมือง