ในเวลาต่อมา
ร่างงามที่อยู่เบื้องหน้าค่อยๆ เคลื่อนไหวขึ้นมาทีละน้อยทีละน้อย ท่ามกลางสายตาของทุกคนที่อยู่ในบริเวณนั้นเฝ้ารอคอยอย่างใจจดใจจ่อและสิ่งที่ทุกคนรอคอยก็มาถึง เมื่อดวงตาที่ปิดสนิทมาอย่างยาวนานบัดนี้กำลังกลอกกลิ้งไปมาบ่งบอกให้ล่วงรู้ว่า ร่างตรงหน้ากำลังตื่นจากการหลับใหล
เปลือกตาที่ปิดสนิทค่อยๆ เปิดขึ้นอย่างช้าๆ เผยให้เห็นดวงตากลมโตที่กำลังกะพริบขึ้นลงติดๆ กันเพื่อขับไล่ภาพที่พร่ามัวก่อนจะค่อยๆ เห็นทุกสิ่งทุกอย่างอย่างชัดเจน พระจันทร์ดวงใหญ่ลอยอยู่บนฟ้า ส่องแสงเหลืองนวลให้ความสว่างไปทั่วผืนแผ่นดินมังกร
“โอ้โห! พระจันทร์สวยจังเลย ไม่เคยเห็นดวงใหญ่ขนาดนี้มาก่อน” สิ้นเสียงรำพึง เสียงของทุกคนที่อยู่หน้าเรือนนอนต่างร้องออกมาพร้อมกัน
“ลี่เซียน! ลี่เซียนฟื้นแล้ว!” จางฮูหยินและอี้หานพร้อมสาวใช้ลี่อิงต่างรีบก้าวเดินเข้าไปหา
จางฮูหยินโผเข้าสวมกอดร่างอรชรตรงหน้าด้วยความดีใจเป็นยิ่งนักเมื่อเห็นลูกสาวคนสุดท้องได้สติฟื้นขึ้นมาเสียที โดยมีอี้หานประคองร่างน้อยๆ จากพื้นให้ลุกขึ้นนั่งพร้อมลูบเส้นผมยาวสลวยของน้องไปมาด้วยความดีใจเช่นกัน
“แม่ดีใจเหลือเกินลี่เซียน ในที่สุดเจ้าก็ฟื้นขึ้นมาเสียที เจ้าหมดสตินานนับเดือนเช่นนี้รู้ไหมว่าแม่นี้ใจจะขาดเสียให้ได้ที่เห็นแบบนั้น ลูกรักของแม่” นางคร่ำครวญกับลูกสาวแสนรัก ในขณะที่เจ้าตัวกำลังนั่งงงมองคนนั้นทีมองคนนี้ที ก่อนจะมองไปทั่วบริเวณ
“นี่เราอยู่ที่ไหน! ไม่ใช่บ้านของเราและที่นี่เป็นบ้านของใครกัน” หวังฟางเซียนรำพึงอยู่ภายในใจก่อนจะเอ่ยถามจางฮูหยินกลับไป ทว่าเธอกลับพูดไม่ได้
“อะ... อะ... อะ... อะ” หญิงสาวพยายามพูดในสิ่งที่เธอต้องการจะถาม แต่ไม่ว่าจะพยายามเอ่ยสิ่งใดออกมากลับกลายเป็นว่า เธอเป็นใบ้ไปซะงั้น ท่ามกลางอาการตกใจของทุกคนที่เห็นอาการของลี่เซียน ซึ่งพยายามจะพูดแต่กลับพูดไม่ได้
“ลี่เซียนเป็นอะไรลูก อยากพูดอะไรเจ้าจงบอกแม่ แม่รอฟังเจ้าอยู่ พูดออกมาลูก... ท่านพี่! เฟยเทียน! ทำไมลี่เซียนถึงได้กลายเป็นแบบนี้” ประโยคสุดท้ายจางฮูหยินหันกลับไปถามสามีและบุตรชายคนสุดท้อง
“จริงสิเฟยเทียน! เหตุใดน้องจึงพูดไม่ได้” หยวนฟู่หันกลับไปถามบุตรชายของตนทันที ก่อนจะได้ยินคำตอบที่ทำเอาทุกคนถึงกับตกตะลึง
“ลี่เซียนยังไม่สามารถพูดได้จนกว่าร่างจะเปลี่ยนจากหญิงกลายเป็นชายเสียก่อน เมื่อนั้นทุกสิ่งทุกอย่างก็จะเป็นปกติเช่นเดิม
“หมายความว่ายังไง ให้น้องแต่งตัวเป็นผู้ชายอย่างนั้นเหรอ ถึงจะกลับมาพูดได้” จางอี้หานถามกลับไปตามความเข้าใจของตน
หลวงจีนหนุ่มส่ายหน้าไปมาติดๆ กันพร้อมเอ่ยขึ้น
“ข้าหมายถึงลี่เซียนกำลังจะกลายร่างเป็นบุรุษเพราะน้ำทิพย์บนยอดเขาดอกบัวจากหวงซาน”
“หา! กลายร่างเป็นผู้ชาย!” ทุกคนเปล่งเสียงออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน และนั่นทำให้ร่างระหงที่นั่งฟังอยู่เช่นนั้น ถึงกับอ้าปากค้างขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน! เกิดอะไรขึ้นกับฉัน! แล้วคนพวกนี้เป็นใครกันนี่” ฟางเซียนหันรีหันขวางเพื่อหาหนทางออกไปจากที่นี่
เธอเริ่มตื่นตระหนกจับต้นชนปลายไม่ถูกว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับเธอ เหตุที่เป็นเช่นนี้ด้วยเพราะดวงจิตของจางลี่เซียนถูกน้ำทิพย์จากสวรรค์สะกดให้หลับใหล การประสานภพชาติอดีตให้กับฟางเซียนจึงไม่สามารถประสานเข้ากันได้และดูเหมือนว่าหลวงจีนหนุ่มจะล่วงรู้ถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับเธอ
ร่างสูงใหญ่ก้าวเดินตรงเข้าไปหาพร้อมยกนิ้วชี้ของตนกดเจิมตรงกลางหน้าผากโดยที่เธอไม่ทันตั้งตัวอย่างรวดเร็วเพื่อผนึกเรื่องราวชาติอดีตให้เธอได้ล่วงรู้ พร้อมเอ่ยกับเธอผ่านทางญาณของตน
“บัดนี้เจ้าคือจางลี่เซียน ดวงจิตได้สถิตในร่างซึ่งเป็นอดีตชาติของเจ้าเอง อำนาจจากสวรรค์นำกลับมาหาพ่อกับแม่และพี่ชายทั้งเจ็ดอีกครั้ง จงใช้สติปัญญาอันชาญฉลาดในภพชาติปัจจุบันแก้ไขชาติอดีตของเจ้าดั่งคำอธิษฐานก่อนเจ้าสิ้นลมเถิด”
สิ้นเสียงของหลวงจีนหนุ่มที่สื่อสารผ่านญาณทิพย์ ภาพในอดีต ชาติหลั่งไหลเข้าดวงจิตของฟางเซียนตั้งแต่ถือกำเนิดลืมตาดูโลก จนเติบใหญ่กลายเป็นสาวงามและก้าวขึ้นสู่การเป็นพระสนมเอกของถังเสวียนจงฮ่องเต้ และความรักที่ก่อตัวขึ้นกับแม่ทัพหนุ่มคู่พระทัยขององค์จักรพรรดิที่เฝ้าปกป้องและคอยดูแลมาโดยตลอดก่อนจะจบลงด้วยความตายที่ทำให้คนรักจบชีวิตลงอย่างน่าเวทนาเพราะความขลาดเขลาเบาปัญญาของตน
ร่างระหงทรุดกายลงนั่งกับพื้นด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเศร้า เมื่อเห็นภาพคนรักทอดร่างไร้วิญญาณไร้สิ้นศีรษะอยู่ภายในหลุมโดยมีเธอนอนกอดร่างนั้นก่อนจะถูกฝังทั้งเป็นจนตาย
“เทียนอี้!!!” หญิงสาวรำพึงเรียกชื่อคนรักอยู่ภายในใจ ดวงเนตรคู่สวยมองไปทั่วบริเวณและสมาชิกของบ้านตระกูลจางที่กำลังมองเธอด้วยความสงสัยอยู่ในขณะนี้
“ในที่สุดคำอธิษฐานของข้าก่อนตายก็เป็นจริง นี่ข้าได้มีโอกาสกลับมาแก้ไขเหตุการณ์ในอดีตนี้ได้อีกครั้ง ข้ากลับมาได้แล้ว กลับมาได้แล้ว เทียนอี้!!!” หญิงสาวรำพึงอยู่ภายในใจก่อนจะเงยหน้ามองพี่ชายคนที่เจ็ด ซึ่งออกบวชอุทิศชีวิตให้กับพระพุทธศาสนา
“ท่านพี่เฟยเทียน!” ดวงจิตของฟางเซียนเอ่ยชื่อของหลวงจีนหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอ
จางเฟยเทียนส่งยิ้มบางๆ ให้กับน้องสาวของตน พร้อมเอ่ยกลับไปผ่านทางญาณ
“นี่คือบ้านของเจ้าเอง ไม่ต้องกลัว ข้าดีใจยิ่งนักที่ได้พบเจ้าอีกครั้งและล่วงรู้ว่าภพชาติปัจจุบันเจ้าเป็นผู้ฉลาดปราดเปรื่องเต็มไปด้วยสติปัญญายิ่งนัก คำอธิษฐานของเจ้าก่อนสิ้นลมเบื้องบนทรงเมตตาให้เจ้าได้กลับมาเพื่อช่วยมิให้โอรสแห่งสวรรค์ต้องสิ้นชีพลง และนับจากนี้ต่อไปเพื่อกระทำการสิ่งใดเป็นผลสำเร็จเจ้าจะต้องอยู่ในร่างของบุรุษเพศ”
สิ้นเสียงการสื่อสารผ่านทางดวงจิต ดวงตาของทุกคู่ก็มีอันต้องเบิกกว้างขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียงกันเมื่อร่างอันงดงามของหญิงสาวกำลังแปรเปลี่ยนไปต่อหน้าต่อตาของทุกคน จู่ๆ แสงเรืองรองก็ปรากฏขึ้นก่อนจะค่อยๆ ลามเลียไปทั่วกายนาง พร้อมกับความเปลี่ยนแปลงของร่างกายจวบจนกระทั่งแสงเรืองรองสว่างวาบอยู่เพียงครู่ก่อนจะเลือนหายไปพร้อมๆ กับร่างหญิงงามจางลี่เซียนกำลังเปลี่ยนรูปกายเป็นบุรุษเข้ามาแทนที่
“อะไรกันนี่! ทำไมลี่เซียนถึงได้กลายเป็นบุรุษเพศไปได้ เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น หรือนี่คือสิ่งที่ท่านเจ้าอาวาสบอกมาในจดหมายกระนั้นสิ ว่าจะต้องให้ลี่เซียนแปรเปลี่ยนรูปลักษณ์ตนเองให้แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง” ประมุขของบ้านกล่าวกับบุตรชายคนสุดท้องด้วยความตื่นเต้นที่เห็นเหตุการณ์สุดมหัศจรรย์ต่อหน้าเช่นนี้
“นี่คือคำตอบของท่านเจ้าอาวาสท่านพ่อ ลี่เซียนจะปลอดภัยตราบใดที่อยู่ในร่างของบุรุษเพศ ความงามของลี่เซียนจะทำให้น้องต้องพบจุดจบที่น่าเวทนาเป็นยิ่งนัก ตอนนี้บ้านตระกูลจางมีคุณชายเล็กคนใหม่แล้วนะ ซึ่งไม่ใช่ข้าอีกต่อไปแล้ว” หลวงจีนหนุ่มกล่าวพร้อมยิ้มบางๆ
“ท่านพ่อ! ท่านแม่! ท่านพี่อี้หาน! ท่านพี่เฟยเทียน! ลี่อิง!” เสียงห้าวแต่นุ่มนวลเอ่ยเรียกทุกคนที่เห็นเหตุการณ์
“ลี่เซียนพูดได้แล้ว... พูดได้แล้วจริงๆ ด้วย”สมาชิกตระกูลจางต่างพากันดีใจกันถ้วนหน้า ก่อนจะเข้าสวมกอดร่างบุรุษเพศที่แลดูบอบบางอ้อนแอ้นเสียนี่กระไรจนครบทุกคน
“ลี่เซียนจะต้องอยู่ในร่างของผู้ชายเช่นนี้ไปอีกนานเท่าใดกันเล่า จะมีโอกาสคืนร่างกลับมาเหมือนเดิมหรือไม่” ถ้อยคำของจางฮูหยินทำให้ทุกคนต่างเพิ่งนึกขึ้นได้เช่นกัน
“จริงสิเฟยเทียน น้องจะอยู่ในร่างของผู้ชายไปอีกนานเท่าใด แม้ว่าจะโล่งใจว่าไม่ต้องถูกเรียกให้เข้าวังไปถวายตัวแต่อย่าลืมสิว่า หากต้องถูกเกณฑ์ไพร่พลออกรบ บุรุษทุกคนต้องเข้าร่วมกับกองทัพหากขัดขืนก็ต้องตายกันทั้งตระกูลเชียวนะ” อี้หานเอ่ยออกมาด้วยความกังวล
“ท่านพี่ลืมไปแล้วอย่างนั้นหรือว่าท่านเจ้าอาวาสให้ลี่เซียนไปอยู่ที่ใด... สถานที่อันตรายที่สุดกลับเป็นที่ปลอดภัยที่สุดเลยนะ” หลวงจีนหนุ่มพยายามอธิบาย
“แต่ถึงกระนั้นเถอะข้าก็มีความเห็นว่า ในเมื่อลี่เซียนอยู่ในร่างของบุรุษเพศนี้แล้วก็หาจำเป็นต้องเดินทางไปยังฉางอานเพื่อเข้าวังหลวง อยู่ที่ลั่วหยางสืบต่อไปก็ได้มิเห็นต้องทำเช่นนั้นแม้แต่น้อย” อี้หานเอ่ยความเห็นย้อนแย้งกลับไป
“แต่ข้าจะไป!” เสียงหนุ่มน้อยหน้ามนคนใหม่ของตระกูลเอ่ยแทรกขึ้นมา และนั่นทำให้ทุกคนต่างหันกลับมามองเป็นตาเดียวกันยกเว้นจางเฟยเทียน เพราะล่วงรู้ด้วยญาณแล้วว่าดวงจิตของฟางเซียนเป็นคนตัดสินใจอะไรเด็ดขาด
“เจ้าคิดดีแล้วรึลี่เซียนที่จะเข้าไปอยู่ในวังหลวง” หยวนฟู่เอ่ยถามบุตรีที่บัดนี้กลายร่างเป็นบุรุษไปเสียแล้ว
“ข้าคิดดีแล้วท่านพ่อ จริงดั่งคำที่ท่านพี่เฟยเทียนกล่าวและข้าก็เห็นด้วยเช่นกัน ข้ายินดียิ่งนักที่อยู่ในร่างของบุรุษเช่นนี้เพราะสามารถออกไปไหนโดยไม่ต้องกลัวเกรงว่าทางราชสำนักจะนำข้าเข้าไปวังเพื่อถวายตัวให้กับฮ่องเต้ แต่ข้าจะเข้าไปอยู่ในวังหลวงให้ได้ในฐานะจอหงวน”
คำกล่าวของลี่เซียนทำให้ทุกคนยืนนิ่งเมื่อได้ยินเช่นนั้น
หยวนฟู่คลี่ยิ้มบางๆ เมื่อได้ยินว่าลูกรักจะเดินทางไปสอบจอหงวน
“หากแม้นเจ้าคิดอ่านเช่นนั้นพ่อกับแม่ก็มิขัดใจเจ้าแต่ประการใด หากแต่การสอบจอหงวนนั้นเพิ่งสอบผ่านไปและถูกคัดเลือกแล้วต้องรออีกสามปีจึงจะสามารถเข้าไปสอบอีกครั้ง เช่นนั้นเท่ากับว่าเจ้าจะยอมอยู่ในร่างผู้ชายถึงสามปีได้อย่างนั้นรึ... หรือเจ้าว่าอย่างไรเฟยเทียน” ประโยคสุดท้ายหยวนฟู่หันกลับไปถามหลวงจีนหนุ่มและคำกล่าวของหยวนฟู่ทำให้ฟางเซียนคิดหนักเช่นกัน
“อีกสามปีเชียวหรือ ถึงจะเปิดสอบจอหงวน... หากเป็นเช่นนั้นข้ากลับมาก็มิเกิดประโยชน์สิ่งใดกระนั้นสิ” ฟางเซียนรำพึงอยู่ภายในก่อนจะได้ยินเสียงของจางเฟยเทียนเอ่ยขึ้น
“ลี่เซียนไม่สามารถอยู่ในร่างของบุรุษได้ตลอดเวลาหรอกท่านพ่อ เมื่อใดที่ปรากฏแสงจันทราในคืนพระจันทร์เต็มดวงเมื่อนั้นร่างบุรุษจะเลือนหายไปกลับคืนเป็นร่างอิสตรีดั่งเดิม เพราะฉะนั้นในค่ำคืนที่พระจันทร์เต็มดวงห้ามถูกแสงพระจันทร์เป็นอันขาด หาไม่แล้วร่างที่เป็นหญิงจะกลับมา”
คำกล่าวของเฟยเทียนสร้างความกังวลใจให้กับทุกๆ คนขึ้นมาทันที
“ถ้าเช่นนั้นแม่คิดว่าเจ้าอย่าออกไปไหนเลยลี่เซียนอยู่แต่ในบ้านตามเดิมจะดีกว่า อีกอย่างการสอบเข้ารับราชการจะต้องเตรียมตัวและท่องหนังสืออยู่ตลอดเวลา เจ้าเองมิเคยใส่ใจเรียนรู้ที่จะเรียนหนังสือและท่องตำราเรียนเสียที่ไหนกันเล่า แต่ถ้าเป็นงานบ้านงานเรือนแล้วละก็ลูกแม่เป็นที่หนึ่งหาเป็นสองรองใครแม้แต่น้อย
คำกล่าวของจางฮูหยินทำให้ฟางเซียนส่ายหน้าไปมาติดๆ กัน
“ก็ไอ้เพราะไม่ชอบเรียนหนังสือนี่แหละ วันๆ เอาแต่นั่งเย็บปักถักร้อย เรียนงานบ้านงานเรือน ถึงได้เสียรู้คนและโง่จนทำให้เทียนอี้ต้องตาย ฉันจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นอีก ต่อไปนี้จางลี่เซียนจะไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป!” หญิงสาวรำพึงในใจ
“ข้าไม่อยากเป็นเช่นนั้นอีกต่อไปแล้วท่านแม่ เป็นเพราะวันๆ อยู่แต่บ้านและไม่ชอบเรียนหนังสือของข้าทำให้แลดูเป็นคนโง่เขลาเบาปัญญา หนังสือก็อ่านไม่ค่อยจะคล่องต่อไปนี้ท่านพ่อและท่านแม่จะเห็นข้าในลุคใหม่แล้ว” หญิงสาวเผลอปากหลุดคำพูดในยุคอนาคตออกมา ท่ามกลางสายตาของทุกคนที่ได้ยินลี่เซียนกล่าวคำแปลกประหลาดเป็นครั้งแรกที่ได้ยิน
“เจ้าพูดอะไร... เหตุใดจึงพูดคำแปลกๆ ฟังมิรู้ความแม้แต่น้อย” อี้หานเอ่ยถามกลับไปอย่างรวดเร็วตามประสาคนช่างสังเกต
ข้างฝ่ายฟางเซียนก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตนใช้คำในภพปัจจุบัน จึงได้แต่ส่งยิ้มแห้งๆ พร้อมเอ่ยขึ้น
“เออ... ไม่รู้สิ... ข้าก็พูดไปเรื่อยเปื่อย ท่านพี่อย่าใส่ใจข้าเลย” หญิงสาวเอ่ยตัดบททันที
ท่ามกลางสายตาของประมุขของบ้านตระกูลจางที่ยืนฟังบุตรีหลังจากฟื้นขึ้นมาและพบเห็นสิ่งอัศจรรย์ต่อหน้าต่อตาเป็นครั้งแรกในชีวิต ใบหน้าของจางหยวนฟู่ที่เคร่งขรึมตลอดเวลา บัดนี้ปรากฏรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าเมื่อได้ยินลี่เซียนกล่าวออกมาเช่นนั้นด้วยความพึงพอใจ