พระตำหนักทรงงาน
จักรพรรดิหนุ่มประทับนั่งบนพระเก้าอี้ ทรงอ่านฎีกามากมายที่กองสูงเต็มโต๊ะทรงงาน ตั้งแต่เช้าพระองค์ยังไม่ได้หยุดพักแม้แต่น้อย ปัญหามากมายของอดีตฮ่องเต้ตั้งแต่สมัยถังจงจงพอกพูนสะสมจนเกือบจะแก้ไขเยียวยาไม่ได้ด้วยซ้ำไป หากแต่ก็ยังสามารถหาทางออกและแก้ไขจนผ่านพ้นไปได้ด้วยดี
เสียงฝีเท้าคนกำลังเดินเข้ามาภายในพระตำหนักทรงงานจนกระทั่งหยุดอยู่ใกล้ พร้อมกับร่างของจินเต๋อเอ่ยกราบทูลในระยะใกล้ชิด
“กราบทูลฝ่าบาทจางเสี่ยวหมิงมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
พระพักตร์คมดุก้มขึ้นลงแทนการตอบรับ พร้อมมีรับสั่งถามกลับไป
“สำนักกงกงเห็นประกาศแต่งตั้งจางเสี่ยวหมิง แล้วมีปฏิกิริยาอย่างไรบ้าง” รับสั่งถามด้วยความอยากรู้ผลตอบกลับที่พระองค์กำลังคาดคิดอยู่ในพระทัย
“เป็นไปตามที่ทรงคาดการณ์เอาไว้พ่ะย่ะค่ะ สำนักกงกงได้ส่งคนไปรายงานท่านอัครเสนาบดีทันที เพราะล่วงรู้ว่าจางเสี่ยวหมิงเป็นคนของแม่ทัพจ้าว คงจะถูกจับตามองเป็นพิเศษเป็นแน่แท้” จินเต๋อกราบทูลรายงานกลับไปและนั่นทำให้ฮ่องเต้หนุ่มแย้มสรวลอย่างเย็นยะเยือกออกมา
“ดี! เป็นไปดั่งที่ข้าคิดเอาไว้ไม่มีผิด เดี๋ยวก็รู้ว่าพวกมันจะทำอะไร!” รับสั่งพึมพำออกมาเบาๆ พร้อมเสียงของจินเต๋อเอ่ยกราบทูลอีกรอบ
“ฝ่าบาท จางเสี่ยวหมิงมารอเข้าเฝ้าแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“อย่างนั้นรึ! ให้เข้ามาได้” พระองค์รับสั่งอนุญาตโดยไม่เงยพระพักตร์ขึ้นมาจากฎีกาแม้แต่น้อย
ร่างสูงโปร่งของเสี่ยวหมิงค่อยๆ เดินมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าโต๊ะทรงงาน ฟางเซียนในร่างของบุรุษของเสี่ยวหมิงควบคุมสติของตนเองได้อย่างดีเยี่ยม และพยายามสลัดภาพความทรงจำในชาติอดีตเกี่ยวกับจักรพรรดิหนุ่มพระองค์นี้ หากแต่ด้วยชาติปัจจุบันเป็นนักศึกษาวิชาโบราณคดีและประวัติศาสตร์จีนทำให้หวังฟางเซียนมิวายที่จะตื่นเต้นกับการได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้ที่ขึ้นชื่อได้ว่า เป็นผู้นำความเจริญรุ่งเรืองมาสู่ต้าถังไม่แพ้ถังไท่จงแม้แต่น้อย ฮ่องเต้หนุ่มนามกระเดื่องที่รู้จักกันดีในโลกยุคปัจจุบัน
“ข้าจะต้องควบคุมสติให้อยู่ และจะต้องไม่คิดถึงเหตุการณ์ในอดีต ตอนนี้ข้าอยู่ในร่างของผู้ชายหาใช่ร่างลี่เซียน มิสามารถปรากฏให้พระองค์ทอดพระเนตรได้อย่างแน่นอน... ใช่! มันต้องไม่มีอะไรเกิดขึ้น” เสี่ยวหมิงมัวครุ่นคิดอยู่ภายในใจโดยไม่ทันมองว่าองค์ฮ่องเต้ทรงทอด พระเนตรมาที่ตนอยู่ในขณะนี้
“จางเสี่ยวหมิงเจ้าจงเงยหน้าขึ้นสิ! ข้าไม่ได้อยู่ที่พื้นนะ แต่กำลังนั่งอยู่ตรงหน้าเจ้า... เงยหน้าขึ้นมองข้า!” สุรเสียงรับสั่งดุแกมเอ็นดูเมื่อเห็นหนุ่มน้อยหน้ามนยังอ่อนเยาว์ ยืนอยู่ตรงหน้าพระพักตร์ท่าทางประหม่าอย่างเห็นได้ชัด
และสุรเสียงดังก้องทำให้เสี่ยวหมิงสะดุ้งจนสุดตัว ก่อนจะรวบรวมสติของตนเองจนเริ่มนิ่งและค่อยๆ เงยหน้าขึ้นตามคำสั่งขององค์ฮ่องเต้
ทันทีที่ใบหน้าหล่อเหลาของเสี่ยวหมิงค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาเพื่อให้องค์ฮ่องเต้ทอดพระเนตร พู่กันที่ทำด้วยหยกชั้นดีร่วงหล่นจากพระหัตถ์ทันทีพร้อมพระวรกายสูงใหญ่ลุกยืนจากพระเก้าอี้โดยพลัน
“นี่เจ้า!... เจ้า!” รับสั่งได้เพียงเท่านั้นก็ทรงเงียบงัน ท่ามกลางความแปลกใจของหนุ่มน้อยตรงหน้าและจินเต๋อที่อยู่ภายในห้องทรงงานต่างพากันแปลกใจเมื่อเห็นองค์ฮ่องเต้มีท่าทางแปลกๆ ทันทีที่ได้พบกับจางเสี่ยวหมิง
ภาพเหตุการณ์ในความฝันวันที่พระองค์ทราบข่าวของจางลี่เซียนหญิงงามที่กุมหทัยของพระองค์ไว้แต่เพียงผู้เดียว ในพระสุบินทรงฝันเห็นหนุ่มน้อยหน้ามนคนหนึ่งกำลังเดินชมสวนดอกไม้ในอุทยานหลวง โดยที่พระองค์กำลังยืนชมสวนอีกด้านหนึ่งและทอดพระเนตรหนุ่มน้อยผู้นั้นบนสะพาน ก่อนจะทรงเห็นความเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นอย่างช้าๆ เมื่อหนุ่มน้อยคนดัง กล่าวแปรเปลี่ยนเป็นอิสตรีและที่สำคัญ สตรีผู้นั้นคือจางลี่เซียนนั่นเอง และนั่นทำให้พระองค์ทรงเฝ้าครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลาว่านางในดวงใจอาจจะยังไม่ลาลับไปจริงๆ แต่ความฝันดังกล่าวหมายถึงสิ่งใดกันเล่าจวบจนวันนี้พระองค์ก็มิอาจหาคำตอบนั้นได้
พระบาทเร็วกว่าความคิดองค์ฮ่องเต้เสด็จก้าวเข้าไปหาหนุ่มน้อยตรงหน้าพระพักตร์อย่างรวดเร็ว พร้อมยกพระหัตถ์หนาจับใบหน้าหล่อเหลาพลางลูบไล้ไปมาเบาๆ พร้อมทอดพระเนตรอย่างพินิจพิเคราะห์
“เหมือนเหลือเกิน ช่างตรงกับที่ข้าฝันยิ่งนัก นี่เจ้าเป็นคนหรือเป็นอะไรกันแน่” รับสั่งถามหนุ่มน้อยตรงหน้าพระพักตร์และนั่นทำให้เสี่ยวหมิงกลืนน้ำลายลงคอทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“เอาแล้วไง! อย่าบอกนะว่าฝ่าบาททรงเห็นร่างจริงของข้า ไม่นะ! เป็นไปไม่ได้! เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน” เสี่ยวหมิงรำพึงอยู่ภายในใจ ก่อนจะตัดสินใจกราบทูลถามออกไป
“เอ่อ... ฝ่าบาททรงทอดพระเนตรกระหม่อมเช่นนี้มีเหตุสิ่งใดหรือพ่ะย่ะค่ะ ใบหน้าของกระหม่อมมีสิ่งใดแปลกประหลาดหรือมีเหตุมิบังควรเกิดขึ้นอย่างนั้นหรือไร”
พระพักตร์ส่ายไปมาเมื่อทรงได้ยินหนุ่มน้อยตรงหน้าพระพักตร์เอ่ยทูลถามเช่นนั้น
“เจ้ามิมีสิ่งใดแปลกประหลาดแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามข้าไม่คิดว่าคนที่ข้าฝันเห็นจะมีตัวตนอยู่จริง เจ้ามีตัวตนจริงมิใช่อยู่ในความฝันของข้า” รับสั่งพร้อมยังคงใช้พระหัตถ์หนาลูบไล้ใบหน้าหล่อเหลาของเสี่ยวหมิงไปมาเบาๆ ราวกับว่าต้องการสัมผัสให้ล่วงรู้ว่า มีนางในดวงใจของพระองค์ซุกซ่อนอยู่ในร่างดั่งที่พระองค์พระสุบินหรือไม่
พระหัตถ์ลูบไล้ใบหน้าหล่อเหลา พระเนตรคมดุทอดพระเนตรหนุ่มน้อยจางเสี่ยวหมิงโดยไม่มีทีท่าว่าจะละสายพระเนตรไปแม้แต่น้อย ราวกับว่าทรงต้องการให้ทะลุไปถึงข้างในก็ว่าได้
เสี่ยวหมิงยืนนิ่งไม่ไหวติง ในเวลานี้อาการของจักรพรรดิหนุ่มที่แสดงออกอย่างเห็นได้ชัดเริ่มทำให้ต้องระแวดระวังตัวมากขึ้นยิ่งไปกว่าเดิม ทว่าสัมผัสของพระองค์ที่กำลังลูบไล้เรือนกายร่างแปลงบุรุษอยู่ในขณะนี้กลับทำให้เริ่มสั่นสะท้านราวกับว่า ร่างบุรุษกำลังจะเลือนหายไปและร่างของลี่เซียนกำลังออกมาให้ฮ่องเต้หนุ่มได้ทอดพระเนตร
ทันใดนั้นเอง ขันทีหน้าห้องทรงงานก้าวเข้ามาภายในพร้อมทูลถวายรายงาน
“กราบทูลฝ่าบาท แม่ทัพจ้าวเทียนอี้มาขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
และนั่นทำให้พระหัตถ์หนาขององค์จักรพรรดิซึ่งกำลังลูบไล้ใบหน้าหล่อเหลาของจางเสี่ยวหมิงหยุดชะงักทันทีเมื่อทรงได้ยินขันทีหน้าห้องกล่าวรายงาน
“เทียนอี้มาขอเข้าเฝ้าข้าอย่างนั้นรึ” รับสั่งพึมพำออกมาเบาๆ หาก แต่สายพระเนตรยังคงจับอยู่ที่ใบหน้าหล่อเหลาของหนุ่มน้อยเสี่ยวหมิงตรงหน้าพระพักตร์มิรู้วาย
พระหัตถ์หยุดลูบไล้ใบหน้าหล่อเหลาที่ยืนอยู่ตรงหนาพระพักตร์โดยพลัน เมื่อทรงรู้สึกพระองค์ว่ากำลังสัมผัสลูบไล้บุรุษด้วยกันเอง
“เอ่อ... ข้า... ข้าแค่ต้องการให้แน่ใจอะไรบางอย่างเท่านั้นเพราะข้าเคยเห็นเจ้าในความฝัน” รับสั่งสุรเสียงเบากับเสี่ยวหมิงก่อนจะหันกลับไปมีรับสั่งกับขันทีหน้าห้อง
“ให้แม่ทัพจ้าวเข้ามาได้” รับสั่งประทานอนุญาต พร้อมหันพระวรกายเสด็จกลับไปประทับนั่งบนเก้าอี้ทรงงาน หากแต่สายพระเนตรยังคงจับอยู่ที่ร่างของเสี่ยวหมิงตลอดเวลา
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับข้า... ฮ่องเต้ทรงเห็นอะไรอย่างนั้นหรือ เหตุใดจึงทรงแสดงพระอาการเช่นนั้นออกมา วันนี้ข้าจะรอดพ้นสายพระเนตรฝ่าบาทได้กลับจวนพร้อมกับท่านพี่เทียนอี้หรือเปล่าก็ไม่รู้”
เสี่ยวหมิงรำพึงอยู่ภายในใจ พร้อมสายตาเหลือบไปเห็นร่างสูงใหญ่ของบุรุษที่อยู่ในหัวใจตลอดเวลากำลังเดินเข้ามาภายในห้องทรงงาน สายตาของจ้าวเทียนอี้มองมาที่ศิษย์รักด้วยความเป็นห่วงอย่างเห็นได้ชัดเลยทีเดียว ก่อนจะหยุดยืนอยู่หน้าโต๊ะประทับ
“ถวายบังคมฝ่าบาท” แม่ทัพหนุ่มกราบทูลทำความเคารพ
ข้างฝ่ายองค์จักรพรรดิที่ทรงทอดพระเนตรจางเสี่ยวหมิงอยู่ตลอด เวลานั้น หันกลับมาทอดพระเนตรแม่ทัพคู่พระทัยทันทีเมื่อได้ยินเสียงถวายพระพร
“เจ้ามีอะไรอย่างนั้นหรือเทียนอี้ จึงมาขอเข้าเฝ้าข้า” รับสั่งถามออกไปด้วยความสงสัย
ข้างฝ่ายขุนพลหนุ่มเหลือบสายตามองใบหน้าศิษย์รักเพียงชั่วพริบตา พร้อมพยักหน้าขึ้นลงติดๆ กันเป็นการให้สัญญาณบางอย่างอันเป็นที่ล่วงรู้กันเพียงแค่สองคนและนั่นทำให้หนุ่มน้อยเริ่มคลี่ยิ้มออกมาบางๆ ด้วยความโล่งใจเมื่อสัญญาณที่ส่งมานั้นหมายถึงว่า “ไม่ต้องห่วงอาจารย์ของเจ้ามาช่วยแล้ว” โดยมิล่วงรู้ว่าทุกกิริยาอาการของทั้งสองที่แสดงออกมานั้นอยู่ในสายพระเนตรของฮ่องเต้หนุ่มตลอดเวลา
“กราบทูลฝ่าพระบาท กระหม่อมมีเรื่องลับเฉพาะจะต้องกราบทูลเพียงลำพัง ด้วยมีความคืบหน้าเกี่ยวกับสิ่งที่จักรพรรดิทุกพระองค์เพียรเฝ้าค้นหามาตลอดนำมากราบทูลพ่ะย่ะค่ะ เมื่อวานนี้กระหม่อมยังมิทันได้กราบทูลให้พระองค์ทรงทราบเพราะสายข่าวยังไม่รายงานความเคลื่อนไหวล่าสุดมาให้พ่ะย่ะค่ะ”
คำกราบทูลของจ้าวเทียนอี้ทำให้จักรพรรดิหนุ่มทรงตื่นเต้นและยินดีกับข่าวสารที่ทรงได้รับอย่างยิ่งยวด พระองค์ทอดสายพระเนตรไปยังเสี่ยวหมิงพร้อมทรงมีรับสั่งออกมาทันที
“ญาติผู้น้องของเจ้าหน่วยก้านดียิ่งนัก เพียงแรกเห็นข้าก็ถูกชะตาเสียแล้ว ข้าจะให้เสี่ยวหมิงคอยรับใช้ข้าอย่างใกล้ชิดควบคู่ไปกับ จินเต๋อเพื่อแบ่งเบาภาระในการดูแลข้าลงไปบ้าง เพราะจินเต๋ออายุมากแล้ว ข้าเองก็เป็นห่วงคนใกล้ชิดที่อยู่รอบตัวเหมือนกัน เอาเป็นว่าให้เสี่ยวหมิงพักอยู่ที่เรือนนอนเดียวกับจินเต๋อเวลาข้าเรียกใช้จะได้ง่ายขึ้น... เจ้าล่ะเห็นว่าอย่างไรจินเต๋อ ดีใจไหมที่ข้าหาคนมาแบ่งเบาภาระช่วยเจ้า”
จินเต๋อฉีกยิ้มด้วยความดีใจเมื่อได้ยินรับสั่งขององค์ฮ่องเต้แสดงความเป็นห่วงตนออกมาเช่นนั้น แน่นอนด้วยวัยห้าสิบปลายใกล้หกสิบแล้วมีหรือที่จินเต๋อจะไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเพียงแต่ไม่สามารถไว้ใจใครให้คอยถวายการรับใช้อย่างใกล้ชิดแทนตนนั่นเอง อีกทั้งพระองค์ก็ไม่ยอมเลือกเฟ้นหาผู้อื่นมาแทนด้วยเพราะไม่ไว้วางพระทัยผู้ใดด้วยเช่นกัน
“กระหม่อมขอขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะที่เป็นห่วง เป็นพระกรุณาธิ-คุณยิ่งแล้ว”
องค์จักรพรรดิทรงแย้มพระสรวลอย่างพึงพอพระทัย สายพระเนตรยังคงจับอยู่ที่จางเสี่ยวหมิงอยู่ตลอดเวลา
รับสั่งขององค์ฮ่องเต้ทำให้แม่ทัพหนุ่มรูปงามและศิษย์รักต่างเงยหน้าขึ้นมองจักรพรรดิของตนอย่างพร้อมเพรียงกันเมื่อได้ยินเช่นนั้น พร้อมเสียงของเสี่ยวหมิงเอ่ยขึ้นทันที
“กระหม่อมขอขอบพระทัยฝ่าบาทที่ให้ความเมตตาแก่กระหม่อม แต่จะเป็นการสมควรอย่างนั้นหรือพะย่ะค่ะที่ให้ขันทีขั้นห้ามาถวายการรับใช้อย่างใกล้ชิดทั้งๆ ที่เพิ่งเข้าวังมา กระหม่อมเกรงว่าสิ่งที่กำลังวางแผนเพื่อจัดการขุนนางชั้นผู้ใหญ่ทั้งสี่อาจจะไม่ง่ายอย่างที่คิด ด้วยเพราะต้องคิดว่ากระหม่อมเป็นคนของท่านแม่ทัพจ้าวจะทำให้ขุนนางเหล่านั้นระมัด ระวังตัวมากยิ่งขึ้น และในขณะเดียวกันจะต้องหาทางกำจัดกระหม่อม และท่านแม่ทัพรวมไปถึงฝ่าพระบาทด้วยนะพ่ะย่ะค่ะ”
สิ้นเสียงกราบทูลของเสี่ยวหมิง เสียงพระสรวลดังกระหึ่มขึ้นมาทันทีด้วยความพึงพอพระทัย
“ฉลาดมากจางเสี่ยวหมิง สมแล้วที่เจ้าเป็นญาติผู้น้องของแม่ทัพจ้าว... เจ้าช่างเลือกเฟ้นหาคนได้ถูกใจข้าเป็นยิ่งนักเทียนอี้” รับสั่งพร้อมเปล่งเสียงพระสรวลดังออกมาเป็นระยะๆ ท่ามกลางความงุนงงของหนุ่มน้อยที่ต้องการกราบทูลขัดค้านรับสั่งแต่กลับกลายเป็นว่า ทรงพอพระทัยในสิ่งที่กราบทูลออกไปซะงั้น
“แต่ว่ากระหม่อม...” เสี่ยวหมิงพยายามจะเอ่ยกราบทูลทัดทานกลับต้องหยุดชะงักลงโดยพลัน
“พอแล้วเสี่ยวหมิง มิต้องกล่าวสิ่งใดออกมาแล้ว เจ้ามีหน้าที่ปฏิบัติตามรับสั่งของฝ่าบาทอย่าได้ปฏิเสธพระองค์หาไม่แล้วหัวเจ้าจะหลุดออกจากบ่า” เทียนอี้กล่าวเตือนศิษย์รักด้วยความเป็นห่วง
เสี่ยวหมิงได้แต่ยืนนิ่งเงียบก่อนจะพยักหน้าขึ้นลงติดๆ กันพร้อมเอ่ยขึ้น
“กระหม่อมจะปฏิบัติตามพระกระแสรับสั่งทุกประการพ่ะย่ะค่ะ และขอขอบพระทัยที่ทรงพระเมตตา”
ฮ่องเต้หนุ่มทอดสายพระเนตรหนุ่มน้อยตรงหน้าพระพักตร์อย่างพึงพอพระทัย สำหรับพระองค์แล้วจางเสี่ยวหมิงจะต้องมีบางอย่างเกี่ยว พันกับจางลี่เซียนอย่างแน่นอนหาไม่แล้วพระองค์จะไม่ฝันออกมาเช่นนั้น และพระองค์ต้องล่วงรู้ให้ได้ ดังนั้นจึงต้องเก็บเอาไว้ใกล้ๆ ตัวเพื่อความแน่ใจบาง อย่างของพระองค์
“พวกเจ้าพากันออกไปได้แล้ว ข้าจะคุยเรื่องสำคัญกับเทียนอี้ จินเต๋อนำเสี่ยวหมิงไปพำนักที่เดียวกับเจ้าเสียตั้งแต่วันนี้มีอะไรจะแนะนำก็จงบอกให้หมด พรุ่งนี้จะได้รับใช้ข้าไม่ให้ขาดตกบกพร่อง”
รับสั่งพร้อมทอดพระเนตรใบหน้าหล่อเหลาของเสี่ยวหมิงพร้อมแย้มพระโอษฐ์ พระอารมณ์ดีขึ้นจนผิดหูผิดตาอย่างเห็นได้ชัด เมื่อทรงรู้สึกว่าสิ่งที่กำลังตามหาและกำลังรอคอยอยู่ใกล้ๆ มิได้ห่างไกลดั่งเช่นกาลก่อน ลางสังหรณ์ของพระองค์บอกเช่นนั้นในเมื่อบุรุษในความฝันก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าพระพักตร์จริงๆ ในวันนี้และทรงเชื่อว่า อีกไม่นานจะต้องได้ข่าวจางลี่เซียนแน่นอน