ตอนที่ 24 ขันทีจาง/1

2340 คำ
ณ จวนแม่ทัพจ้าว “พรืดดดด!!!... แค่กกกกก!!!” หนุ่มน้อยหน้ามนแทบจะสำลักน้ำชาเกือบตาย เมื่อล่วงรู้ว่าจ้าวเทียนอี้ได้กราบทูลต่อองค์ฮ่องเต้เพื่อฝากฝังให้เข้าไปถวายงานในหอสมุดหลวงในฐานะขันที “ท่านอาจารย์ว่ายังไงนะขอรับ... ฝากข้าให้ไปเป็นขันทีในหอสมุดอย่างนั้นรึ!” สิ้นเสียงกล่าวหนุ่มน้อยก็ส่งเสียงไอดังโครกครากออกมาทันทีด้วยเพราะสำลักน้ำชาเข้าหลอดลม ทำให้แม่ทัพหนุ่มต้องรีบเข้าไปใช้มือลูบหลังขึ้นลงเป็นพัลวัลด้วยความเป็นห่วงจนบอกไม่ถูก “นี่เจ้าเป็นอะไรไป เหตุใดจึงมีอาการสำลักราวกับว่ามีบางสิ่งติดอยู่ในลำคอของเจ้า ไอติดต่อกันเช่นนี้เห็นทีจะไม่ได้การเสียแล้วกระมัง... เด็กๆ!!!” เทียนอี้ตะโกนก้องเรียกหาบ่าวรับใช้ก่อนจะหยุดชะงักเมื่อมือนุ่มของศิษย์รักจับที่ข้อมือมือของอาจารย์เอาไว้จนแน่น “ข้าไม่เป็นอะไรท่านอาจารย์ แค่สำลักน้ำชาจนเข้าหลอดลมทำให้เกิดปัญหากับระบบทางเดินหายใจก็แค่นั้นเอง แต่ตอนนี้ข้าเริ่มดีขึ้นแล้ว ไม่ต้องเรียกหาผู้ใดมาดูแลข้าให้วุ่นวาย” คำกล่าวของเสี่ยวหมิงทำให้แม่ทัพหนุ่มขมวดคิ้วเข้มเข้าหากันเมื่อฟังถ้อยคำของศิษย์รักไม่ค่อยใจแม้แต่น้อย “เจ้ากล่าวในสิ่งที่ข้าไม่เข้าใจอีกแล้วนะเสี่ยวหมิง ชอบใช้คำแปลกประหลาดอยู่ร่ำไป ช่างเป็นคนที่ใช้คำเจรจาที่เข้าใจยากเสียนี่กระไร” เทียนอี้บ่นพึมพำก่อนจะใช้มือหนาจับที่ข้อมือของศิษย์รักหมายจะพยุงให้ลุกขึ้นยืนจากพื้นที่กำลังนั่งอยู่ตรงหน้าจวน ทันใดนั้นเอง “แปล๊บบบบ” มือหนาสัมผัสกับกำไลหยกที่เสี่ยวหมิงสวมติดกายอยู่ตลอดเวลาด้วยความบังเอิญ จนทำให้ร่างใหญ่ของแม่ทัพรูปงามหยุดชะงักงันเมื่อเห็นร่างของศิษย์รักมีเงาประหลาดทาบทับเลือนรางเดี๋ยวก็หายเดี๋ยวก็ปรากฏให้เห็น และยิ่งไปกว่านั้นก็คือคำกล่าวของเสี่ยวหมิงที่ทำให้จ้าวเทียนอี้ตกใจอยู่มิใช่น้อย “ท่านอาจารย์ มีหนังสือโบราณที่ทำจากแผ่นไม้ไผ่สลักด้วยอักษรโบราณเก็บไว้ในเสื้อของท่านด้วยเหรอ มันไม่ทำให้ท่านอึดอัดหรืออย่างไรในเมื่อมีขนาดใหญ่ไม่ใช่เล่นถึงเพียงนั้น” เสี่ยวหมิงเอ่ยถามออกไปโดยไม่รู้ว่าได้เห็นคัมภีร์อมตะปรากฏออกมาด้วยความบังเอิญ สาเหตุเพราะแม่ทัพหนุ่มซึ่งครอบครองคัมภีร์ดังกล่าวติดกายตลอดเวลาสัมผัสกับกำไลหยกซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการอ่านอักขระในคัมภีร์นั้นเอง “นี่เจ้าเห็นสิ่งใดที่ข้าเก็บไว้ติดกายอย่างนั้นเหรอเสี่ยวหมิง... เจ้าเห็นได้อย่างไร” เทียนอี้ไม่พูดเปล่าเขย่าร่างศิษย์รักของตนจนหัวสั่นหัวคลอนไปหมด “โอ๊ย! เบาๆ ท่านอาจารย์ ข้าจะตายก็เพราะท่านเขย่าร่างของข้าจนแทบแหลกคามืออยู่แล้ว” คำกล่าวของเสี่ยวหมิงทำให้แม่ทัพหนุ่มรู้สึกตัวขึ้นมาทันที ก่อนจะรามือจากการเขย่าร่างหนุ่มน้อยตรงหน้าแปร เปลี่ยนมาจับไหล่ทั้งสองข้างให้กลับมาเผชิญหน้ากับตนแทน “เจ้าจงบอกข้ามาเสี่ยวหมิง เหตุใดจึงเห็นข้าเก็บสิ่งใดซุกซ่อนเอาไว้ติดกาย บอกตามความเป็นจริงอย่าได้โกหกข้าแม้แต่น้อยเชียวนะ” จ้าวเทียนอี้พยายามคาดคั้นเอาความจริงให้ได้ และนั่นทำให้ฟางเซียนซึ่งอยู่ในร่างแปลงของบุรุษนึกถึงคำกล่าวของเซียนเต่าขึ้นมาได้ทันที “จริงสิเมื่อครู่ที่ผ่านมาท่านพี่จับข้อมือของข้าที่สวมกำไลหยกติดกายแสดงว่ากำไลหยกซึ่งเป็นกุญแจอ่านคัมภีร์อมตะสัมผัสกับผู้ครอบครองคัมภีร์จึงทำให้ข้าได้เห็น ถ้าเช่นนั้นก็หมายความไม่มีผู้ใดสามารถมองเห็นคัมภีร์อมตะนี้ได้นอกจากผู้ครอบครองและผู้ถือกุญแจเพื่ออ่านอักขระในคัมภีร์... ต้องใช่แน่ๆ เลย” ฟางเซียนรำพึงอยู่ภายในใจก่อนจะรีบคิดหาทางแก้ตัวอย่างเร่งด่วนและต้องแนบเนียนเสียด้วย “ก็ข้าเห็นเพียงแวบเดียวเท่านั้นตอนท่านอาจารย์หมายพยุงร่างของข้าให้ลุกขึ้นยืน แต่ตอนนี้ข้ากลับแปลกใจเสียมากกว่าที่กลับไม่เห็นคัมภีร์ในอกเสื้อของท่านอีกแล้ว ทั้งๆ ที่มีขนาดไม่ธรรมดาเลยมองเห็นด้วยตาเปล่าก็ยังล่วงรู้เลยว่าท่านอาจารย์ซุกซ่อนบางอย่างไว้ในอกเสื้อของท่าน” คำกล่าวของเสี่ยวหมิงทำให้จ้าวเทียนอี้ยกมือหนาขึ้นมาสัมผัสกับหน้าอกของตนซึ่งเก็บคัมภีร์อมตะเอาไว้ติดตัวตลอดเวลา มีเพียงตนเท่านั้นที่สามารถเห็นคัมภีร์นี้ “ไม่เคยมีผู้ใดสามารถมองเห็นคัมภีร์อมตะนี้ได้นอกจากผู้ครอบ ครองนี้มาหลายพันปีแล้ว นอกจากผู้นั้นจะเป็นผู้ที่สามารถอ่านจารึกโบราณได้หรือเป็นผู้ถือกุญแจเพื่อไขปริศนาจารึกโบราณที่อยู่ในคัมภีร์ และเหตุใดเสี่ยวหมิงจึงเห็นคัมภีร์อมตะนี้ จะเป็นเพราะด้วยความบังเอิญอย่างนั้นหรือไร... จะเป็นเช่นนั้นหรอกรึ” เทียนอี้รำพึงอยู่ภายในใจ ดวงตาดำใหญ่คมดุมองใบหน้าหล่อเหลาของศิษย์รักเขม็ง ในยามนี้เทียนอี้เริ่มมีความรู้สึกว่าศิษย์รักของตนต้องมีหลายสิ่งหลายอย่างที่แฝงเร้นแต่สิ่งนั้นคืออะไรเล่า เสี่ยวหมิงเห็นดวงตาของแม่ทัพหนุ่มที่กำลังมองมาที่ตนราวกับว่ากำลังจับผิดและจับสังเกตหลายอย่าง ทำให้เกิดอาการหนาวๆ ร้อนๆ ขึ้นมาทันที ดวงตาคู่สวยของแม่ทัพจ้าวในขณะที่กำลังมองผู้ใดนั้นเป็นที่น่าหวาดหวั่นและพรั่นพรึงเป็นยิ่งนักในขณะเดียวกันก็มิอาจทานทนสายตาคู่สวยของแม่ทัพหนุ่มเช่นกัน อิสตรียังต้องสะท้านยามเมื่อถูกจับจ้อง บุรุษยังต้องสะเทือนยามเมื่อถูกมอง “ไม่ได้การเสียแล้วหากปล่อยไว้แบบนี้ความลับแตกแน่ๆ ท่านพี่คงเห็นร่างอิสตรีของข้าปรากฏเป็นเงาวูบวาบออกมาอีกแน่ๆ ต้องเบี่ยงเบนความสนใจ... ใช่แล้วต้องเบี่ยงเบนความสนใจ!” “ท่านอาจารย์! เหตุใดจึงมองข้าราวกับว่ากำลังจ้องจับผิด ข้าได้กระทำสิ่งใดที่มิบังควรอย่างนั้นหรือขอรับ หากแม้นข้าทำสิ่งใดที่ไม่เป็นการอันควรก็ได้โปรดชี้แนะข้ามาเถิด อย่าได้เงียบงันหรือมองข้าแบบไม่ไว้เนื้อเชื่อใจแบบนี้เลย” และแล้วจริตมารยาหญิงในร่างเอกบุรุษก็ปรากฏออกมาโดยพลัน ถ้อยคำที่เต็มไปด้วยคำตัดพ้อดั่งอิสตรีพรั่งพรูออกมาให้จ้าวเทียนอี้ได้รู้สึกตัว “อะ... เอ่อ...ข้า... ข้ามองเจ้าแบบไม่ไว้ใจเช่นนั้นรึเสี่ยวหมิง” เทียนอี้เอ่ยถามออกไปครั้นเมื่อรู้สึกตัว ศิษย์รักพยักหน้าขึ้นลงติดๆ กัน ครั้นได้ทีรีบหาโอกาสปิดช่องโหว่ที่เผลอตัวเมื่อครู่ที่ผ่านมาทันที “หรือท่านโกรธที่ข้าบังเอิญได้เห็นในสิ่งที่ไม่ควรเห็น แต่ข้าไม่ได้ตั้งใจนะขอรับ บังเอิญสายตาของข้าเหลือบไปเห็นเพียงชั่วพริบตาเท่านั้นและก็ไม่แน่ใจด้วยว่าตาจะฝาดหรือเปล่า เพราะข้ากำลังสำลักน้ำชาอาจจะมองเห็นอะไรพร่าเลือนหรือซ้อนเข้าหากันจนกลายเป็นภาพลวงตาตนเองก็อาจเป็นได้ ดูสิตอนนี้เห็นอีกครากลับไม่มีอะไรเลย แท้ที่จริงข้าต้องตาฝาดแน่ๆ ที่เห็นอะไรเป็นตุเป็นตะเช่นนั้น” เสี่ยวหมิงอธิบายเสียยืดยาวและคำกล่าวนั้นก็ช่างสมเหตุสมผล เพราะแม่ทัพหนุ่มยืนฟังและลำดับความคิดตามไปด้วยอย่างเงียบๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ช่างมันเถิดเสี่ยวหมิง! ข้าเองก็ทำให้เจ้าตกใจเช่นกันที่ถามอะไรเจ้าแบบนั้น จงอย่าไปใส่ใจเลย บางทีอาจเป็นเพราะว่ากำลังสำลักน้ำชาจึงทำให้ดวงตาของเจ้าพร่าเลือนก็อาจเป็นได้ จึงมองเห็นอะไรผิดเพี้ยนไปหมด” เทียนอี้กล่าวตัดบท ทว่าก็ยังไม่หายคลางแคลงใจอยู่ร่ำไป “จริงสิ! ข้ามัวแต่สำลักน้ำชาและเห็นอะไรเลอะเลือน จึงยังไม่ได้ถามท่านอาจารย์เลยว่า ให้ข้าเข้าไปเป็นขันทีประจำหน้าที่คัดกรองฎีกาในหอสมุดหลวง แล้ว... แล้วข้า... ต้อง... ต้อง” เสี่ยวหมิงไม่พูดเปล่าก้มลงมองสิ่งที่บ่งบอกความเป็นลูกผู้ชาย จนทำให้ใบหน้าหล่อเหลาแดงก่ำขึ้นมาทันทีด้วยความเขินอายเมื่อเอ่ยถึงความเป็นชายของตน “ตายแล้ว! นี่ข้ากำลังคิดเรื่องที่น่าละอายเช่นนี้ได้อย่างไร ความเป็นชายของเสี่ยวหมิงมันก็เหมือนของข้า ข้าคือเสี่ยวหมิงและเสี่ยวหมิงก็คือข้า ตกลงถ้าอยู่ในร่างนี้นานเข้าคงจะเริ่มชินสัญลักษณ์ของความเป็นบุรุษเป็นแน่แท้” มือบางทั้งสองข้างประสานเข้าหากันเพื่อเกาะกุมความเป็นชายพร้อมเอ่ยขึ้น “ถ้าให้ตัดความเป็นชายของข้าออก... ข้าไม่ไปทำอะไรในหอสมุดหลวงแล้วนะท่านอาจารย์ เกิดข้ามีรักและอยากมีฮูหยินในภายภาคหน้า จะมีผู้สืบสกุลได้อย่างไร... จริงไหมขอรับ” เสี่ยวหมิงยืนกรานเจตนารมณ์ของตนออกไปทันทีและนั่นทำให้เทียนอี้เปล่งเสียงหัวเราะเบาๆ อยู่ในลำคอเมื่อได้ยินเช่นนั้น “เด็กโง่! นี่เจ้าคงคิดว่าขันทีจำต้องตัดองคชาติทุกคนกระนั้นสิ” แม่ทัพหนุ่มเอ่ยถามกลับไป เสี่ยวหมิงพยักหน้าขึ้นลงติดๆ กัน “ก็ขันทีต้องถูกตัดองคชาติทุกคนมิใช่หรือขอรับ เพื่อป้องกันมิให้ขันทีเสพสมกับทางฝ่ายใน” หนุ่มน้อยเอ่ยตอบกลับไปตามที่ตนล่วงรู้มาตามข้อมูลของประวัติศาสตร์ในยุคปัจจุบันและความทรงจำในชาติอดีต “จริงดั่งคำที่เจ้าเข้าใจ แต่ขันทีบางรายก็จะไม่โดนกระทำเช่นนั้น ขันทีกระจัดกระจายอยู่ทั่วราชสำนักก็แบ่งประเภทเหมือนกัน ขันทีระดับล่างตั้งแต่ขั้นหนึ่งถึงขั้นสี่ที่ประจำวังหน้าไม่ต้องถูกตัดองคชาติ แต่ตั้งแต่ขั้นห้าขึ้นไปซึ่งต้องประจำฝ่ายในจะต้องตัดองคชาติทั้งหมดแต่เจ้าไม่ใช่” คำกล่าวของเทียนอี้ทำให้เสี่ยวหมิงขมวดคิ้วเข้าหากันเพราะไม่ว่าจะฟังอย่างไรก็ตามก็ไม่เข้าใจอยู่ดี “ข้าก็ไม่เข้าใจอยู่ร่ำไป ท่านบอกข้าให้รู้แจ้งด้วยเถิด” หนุ่มน้อยเอ่ยถามกลับไปด้วยความอยากรู้ จ้าวเทียนอี้คลี่ยิ้มออกมาบางๆ เมื่อได้ยินเช่นนั้นพร้อมเอ่ยขึ้น “ก็เพราะเจ้าแตกต่างตรงที่ถูกส่งเข้ามาด้วยพระประสงค์ขององค์ฮ่องเต้ เจ้าจะเข้าไปในฐานะขันทีขั้นห้าโดยไม่ต้องถูกตัดองคชาติ แต่เพื่อความแนบเนียนจำต้องมีกิริยาท่าทางดั่งเช่นอิสตรี มีความอ่อนโยนมากกว่าความแข็งกร้าว เพราะเจ้าจะต้องคอยเป็นหูเป็นตาแทนฝ่าบาทคอยสืบข่าวในวังหน้าและวังหลังรวมไปถึงคอยสืบข่าวเคลื่อนไหวภายในวังให้กับข้าด้วย” คำกล่าวของเทียนอี้ทำให้ศิษย์รักยืนนิ่งชะงักงันไปทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น “ท่านอาจารย์กำลังจะบอกว่า ข้าต้องย้ายที่อยู่จากจวนของท่านไปพำนักในพระราชวังอย่างนั้นหรือขอรับ” เสี่ยวหมิงเอ่ยถามรู้สึกใจหายขึ้นมาทันที “ก็ไม่ตลอดไปหรอก ช่วงที่ข้าต้องนำกองทัพออกไปปราบปรามกองกำลังกบฏใช้เวลาในการทำศึกค่อนข้างนาน ข้าเป็นห่วงเจ้าเกรงว่าจะอยู่อย่างเดียวดาย อีกทั้งฝ่าบาทต้องการคนที่เชื่อใจได้เพื่อคอยหาข่าวขุนนางชั้นผู้ใหญ่ทั้งสี่ ซึ่งมีอำนาจล้นเหลือและพยายามแผ่อำนาจควบคุมฝ่ายในเอาไว้ทั้งหมด ซึ่งฝ่าบาทกำลังหาทางกำจัดให้สิ้นซาก ดังนั้นหน้าที่ของเจ้าจะต้องถวายการรับใช้ฝ่าบาทแทนข้า... เข้าใจหรือไม่เสี่ยวหมิง” จ้าวเทียนอี้เอ่ยพลางเดินเข้าไปหาลูกศิษย์หนุ่มของตนพร้อมใช้มือหนาตบลงบนบ่าเบาๆ “ท่านอาจารย์จะไปทำศึกนานเพียงใดขอรับ” เสี่ยวหมิงเอ่ยถามเสียงแผ่ว ใบหน้าหล่อเหลาหม่นหมองลงอย่างเห็นได้ชัดเลยทีเดียว “จะไปนานเพียงใดขึ้นอยู่กับว่าจะใช้เวลาปราบปรามกบฏให้สิ้นซากหรือเปล่าอาจจะสามปีหรือห้าปีหรืออาจนานกว่านั้นซึ่งไม่มีใครล่วงรู้ได้หรอกว่าจะเสร็จศึกเมื่อไรและจะแพ้หรือชนะ” “นานขนาดนั้นเชียวหรือท่านอาจารย์ เหตุใดการทำศึกสงครามจึงกินระยะเวลายาวนานเช่นนี้... แล้วฝ่าบาทไม่ทรงออกไปทำศึกด้วยหรือขอรับ” เสี่ยวหมิงเอ่ยถามด้วยความอยากรู้ “ฝ่าบาทจะนำกองทัพออกรบด้วยพระองค์เองหรือไม่นั้น เรื่องนี้คงต้องอยู่ที่การตัดสินพระทัยของพระองค์ แต่เจ้าสบายใจเถิดกว่าจะจัดเตรียมกองทัพและเคลื่อนพลออกจากฉางอานก็ใช้เวลาไม่ต่ำกว่าครึ่งปี กว่าจะรวบรวมไพร่พลทหารแล้วเสร็จ ข้ายังไม่ได้นำทัพวันนี้พรุ่งนี้เสียเมื่อไรกันเล่า” คำกล่าวของเทียนอี้ทำให้ศิษย์รักเริ่มยิ้มออกมาได้ ก่อนจะได้ยินอาจารย์ของตนเอ่ยสำทับขึ้น “จริงสิ! ข้าเบิกชุดขันทีขั้นห้ามาให้เจ้าด้วย ไหนลองสวมให้ข้าดูหน่อย เจ้าไม่เคยใส่ชุดขุนนางมาก่อน มาเถอะข้าจะช่วยเจ้าแต่งตัวให้เอง” จ้าวเทียนอี้ไม่พูดเปล่าเดินตรงเข้าคว้าคอศิษย์รักล็อกเอาไว้จนแน่นหมายแต่งชุดขุนนางให้ด้วยตัวเอง “ว้ายยย! ไม่ต้องท่านอาจารย์!... อุบ” เสี่ยวหมิงเผลอหลุดอาการร้องวี้ดว้ายออกมาด้วยความลืมตัว ก่อนจะเบรกร่างของตนเองจนตัวโก่งเมื่อแม่ทัพหนุ่มจู่ๆ ก็หยุดเดินเสียขึ้นมาดื้อๆ ร่างใหญ่หันกลับมามองเสี่ยวหมิงทันที
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม