แผ่นดินต้าถังในยามนี้กำลังมีพิธีเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสที่ได้มีจักรพรรดิพระองค์ใหม่ ทั่วทั้งแผ่นดินกำลังไชโยโห่ร้องและถวายพระพรให้แก่องค์จักรพรรดิไปทั่วทั้งแผ่นดิน เสียงเหล่าขุนนางน้อยใหญ่จนถึงข้าราชบริพารต่างพร้อมใจกันถวายพระพรดังกึกก้องยาวไกลนับตั้งแต่เขตพระราชฐานชั้นในของพระราชวังจนดังไปถึงด้านนอก กองทหารเกียรติยศทั้งสิบหกแปดธงและสิบหกกองทัพเปล่งเสียงกึกก้องดังกระหึ่มไปทั่วทั้งแผ่นดิน
“ข้าทรงพระเจริญหมื่นๆ ปี!”
“ข้าจงทรงพระเจริญหมื่นๆ ปี!”
บัดนี้องค์รัชทายาทหลี่หลงจี ได้ขึ้นครองราชย์สมบัติกลายเป็นสมเด็จพระจักรพรรดิ และทรงมีพระนามว่าถังเสวียนจง นับเป็นจักรพรรดิองค์ที่หกแห่งราชวงศ์ถัง ฉลองพระองค์มังกรพลิ้วไหวต้องสายลมโบกสะบัดไปมา ประหนึ่งกำลังยินดีกับเจ้าแผ่นดินและเจ้าชีวิตพระองค์ใหม่แห่งจักรวรรดิมังกรผืนนี้
พระเนตรดำใหญ่ทอดสายพระเนตรมองข้าราชบริพารและกองทหารเกียรติยศที่ถวายพระพรไปทั่วลานกว้างด้านหน้าของพระราชวังต้าหมิงกง พระองค์สูดอากาศเข้าไปในพระอุระก่อนจะถอนพระทัยออกมาเบาๆ เมื่อทรงล่วงรู้ว่านับจากบัดนี้เป็นต้นไปจะต้องบริหารแผ่นดินต้าถังอย่างไรบ้าง และสิ่งแรกที่จักรพรรดิพระองค์ใหม่เริ่มต้นกระทำเป็นภารกิจแรกนั้นก็คือกวาดล้างขุมกำลังขององค์หญิงไท่ผิง ซึ่งมีศักดิ์เป็นพระปิตุจฉาของพระองค์
ตำหนักเสวียนเจิ้ง[1]
เหล่าบรรดาข้าราชบริพารและเสนาบดีน้อยใหญ่ตลอดจนเหล่าขุนนางตั้งแต่ระดับห้าขึ้นมาต่างพากันเข้าเฝ้าถวายพระพรจักรพรรดิพระองค์ใหม่กันอย่างถ้วนหน้า ครั้นวรองค์งามสง่าของฮ่องเต้พระองค์ใหม่ซึ่งมีพระชนม์มายุเพียงยี่สิบแปดพรรษาเท่านั้น ได้เสด็จมาถึงเพื่อออกว่าราชการเป็นครั้งแรกและถ่ายทอดคำสั่งหลังจากประกอบพิธีราชาภิเษกเสร็จเรียบร้อยในช่วงเช้า
“ขอจงทรงพระเจริญ หมื่นๆ ปี” เหล่าเสนาบดีชั้นสูงต่างกล่าวคำถวายพระพรอย่างพร้อมเพรียงกัน
ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ทอดสายพระเนตรไปยังบรรดาขุนนางน้อยใหญ่ที่พากันมาเข้าเฝ้ากันอย่างคับคั่งในวันนี้ เพื่อรอรับคำสั่งราชการและถ่ายทอดพระราชโองการในเรื่องอื่นๆ ต่อไป พระวรกายสูงสง่าค่อยๆ ประทับบนบัลลังก์มังกรอย่างสง่างาม พร้อมมีรับสั่งดังกึกก้อง
“พวกเจ้าทุกคนตามสบาย และขอบใจมากที่มาเข้าเฝ้าข้าอย่างพร้อมเพรียงกัน แสดงว่าจะต้องมีเรื่องรายงานให้ข้าล่วงรู้กระนั้นสิ” ฮ่องเต้รับสั่งพร้อมทอดพระเนตรไปยังบรรดาเสนาบดีชั้นสูงที่นั่งอยู่แถวหน้า
ข้างฝ่ายเสนาบดีทั้งสี่ต่างพากันเหลือบสายตามองเพื่อส่งสัญญาณว่าผู้ใดควรจะกราบทูลเรื่องสำคัญยิ่งที่ฮ่องเต้ทุกพระองค์พึงต้องปฏิบัติตามโบราณราชประเพณี ทว่ามิทันจะเอ่ยกราบทูลขุนพลหนุ่มแห่งต้าถัง จ้าวเทียนอี้ในชุดขุนนางชั้นสูงศักดิ์ระดับสามเอ่ยกราบทูลขึ้นมาทันที
“กราบทูลฝ่าบาท กระหม่อมมีเรื่องที่จะต้องกราบทูลเกี่ยวกับการกำจัดขุมกำลังฝ่ายต่อต้านพระราชอำนาจของพระองค์พ่ะย่ะค่ะ” แม่ทัพหนุ่มเปิดฉากประเด็นสำคัญขึ้นมาทันที
“เจ้ามีสิ่งใดจะบอกกับข้าจงว่ามาจ้าวเทียนอี้” รับสั่งอนุญาต
“กราบทูลฝ่าบาท สายข่าวที่กระจายไปทั่วทุกแคว้นของต้าถัง บัดนี้สามารถสืบค้นขุมกำลังซึ่งเป็นที่ซ่องสุ่มขององค์หญิงไท่ผิงได้ทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว และสืบรู้มาว่าพระนางซ่องสุมกำลังเอาไว้มากรวมกันแล้วก็ไม่ต่ำกว่าห้าหมื่นนายที่ให้การสนับสนุน และไม่มีทีท่าว่าจะหยุด กองกำลังทหารต้าตูตูก็เริ่มจะเข้ามาสมทบกับพระนางมากขึ้นแล้วด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
คำกราบทูลของแม่ทัพใหญ่แห่งต้าถัง ทำให้ฮ่องเต้หนุ่มขบพระทนต์เข้าหากันจนแน่น ด้วยองค์หญิงไท่ผิงนั้นมีศักดิ์เป็นพระปิตุจฉาของพระองค์และเคยสนับสนุนอดีตฮ่องเต้ถังรุ่ยจงให้ขึ้นครองราชย์ก่อนจะสละราชสมบัติให้พระองค์ขึ้นครองราชย์แทน ทำให้พระปิตุจฉาไม่สามารถครอบงำและเข้ามามีอำนาจในการควบคุมแผ่นดินต้าถังได้อีก สาเหตุเพราะพระนางไม่คาดคิดว่าพระนัดดาหลี่หลงจี ซึ่งก็คือพระองค์จะเก่งกล้าสามารถและไม่ยอมอ่อนข้ออยู่ใต้อำนาจของพระนางนั่นเอง ซึ่งองค์หญิงไท่ผิงหมายมั่นพระทัยที่จะครอบครองอำนาจให้ยิ่งใหญ่เสมอเหมือนพระมารดานั้นก็คือ จักรพรรดิบูเช็กเทียนฮ่องเต้หญิงเพียงหนึ่งเดียว
“ในเมื่อพระปิตุจฉาของข้าซ่องสุ่มกำลังทหารมากมายหลายหมื่นนายถึงเพียงนั้น ก็มิต้องเสียเวลาที่จะต้องสนใจสายโลหิตระหว่างกันอีกต่อไป เพราะคนที่อยู่รอดคือคนที่แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้นที่จะได้ครอบ ครองต้าถังแห่งนี้ ถ้าเช่นนั้นจ้าวเทียนอี้! ข้าแต่งตั้งเจ้าให้เป็นต้าเจียง จวิน[2] นำกำลังทหารของเจ้ากวาดล้างขุมกำลังขององค์หญิงไท่ผิงให้สิ้นซาก แม่ทัพภาพและแม่ทัพแต่ละมณฑลหากมันผู้ใดยังให้การสนับ สนุนพระปิตุจฉาของข้า ก็จงนำพระราชโองการประหารพวกมันเก้าชั่วโคตรให้หมดมิให้เป็นเยี่ยงอย่างอย่าได้คิดเหิมเกริมต่อต้านข้าขึ้นมาอีก” สุรเสียงประกาศดังก้องไปทั่วท้องพระโรงพระตำหนักเสวียนเจิ้ง
“รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ” ขุนพลหนุ่มรับพระบัญชาอย่างแข็งขันพร้อมค่อยๆ ล่าถอยกลับไปที่นั่งประจำตำแหน่งของตนด้านหน้าสุดฝ่ายกำลังทหาร
สุรเสียงดุดันกึกก้องได้ยินอย่างชัดเจนไปทั่วพระตำหนัก จู่ๆ หนึ่งในเสนาบดีกรมกลาโหมก็รีบออกมาจากตำแหน่งที่นั่งของตนก่อนจะมาคุกเข่าตรงหน้าบัลลังก์เพื่อเอ่ยกราบทูล
“กราบทูลฝ่าบาท กระหม่อมเกรงว่าหากนำกองทหารออกไปปราบ ปรามพระปิตุจฉาของพระองค์โดยมิสืบสาวราวเรื่องให้แน่ชัดเสียก่อน จะไม่เป็นการให้ร้ายพระญาติอย่างนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ หากองค์หญิงไท่ผิงพระปิตุจฉามิได้ซ่องสุมกำลังทหารเอาไว้ดังคำกราบทูลของแม่ทัพจ้าวเทียนอี้แล้วไซร้ เกรงว่าเมื่อยกกองทหารออกไปจะทำให้เสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์”
จักรพรรดิหนุ่มทอดพระเนตรเสนาบดีชั้นผู้ใหญ่ตรงหน้าพระพักตร์เขม็ง เมื่อทรงได้ยินคำกราบทูลเช่นนั้น
“เสนาบดีเหอเพ่ยเจิน เจ้าทำหน้าที่ดูแลกรมกลาโหม มีหน้าที่ในการบริหารมิใช่ถือกำลังทหารในมือ อีกทั้งเจ้าเองได้เข้ารับใช้อดีตฮ่องเต้ถังจงจงและอดีตฮ่องเต้เสด็จพ่อของข้า ล่วงรู้ดีมิใช่หรือว่าผู้ใดทลายอำนาจของเหวยฮองเฮาที่คิดจะเป็นใหญ่ให้เทียบเท่าพระอัยยิกาบูเช็กเทียนของข้า เช่นนี้แล้วเจ้ายังจะคิดว่าพระปิตุจฉาของข้ามิได้ซ่องสุมกำลังทหารเพื่อคานอำนาจของข้าอย่างนั้นรึ! ช่างโง่เขลาสิ้นดี! เจ้ามิควรจะอยู่ในตำแหน่งเสนาบดีฝ่ายกลาโหมของข้าอีกต่อไป!” รับสั่งตวาดกึกก้องจนเหล่าขุนนางน้อยใหญ่พากันตัวลีบตัวงอกันไปหมด
“ทหาร! นำเหอเพ่ยเจินออกไปซะ! ปลดจากตำแหน่งเสนาบดีกรมกลาโหมและให้เนรเทศไปเมืองเสิ่นหยาง!ข้าจะเฟ้นหาเสนาบดีกรมกลาโหมมาแทนภายหลังด้วยตัวเอง... เอาออกไปให้พ้นหน้าข้า!”
“พ่ะย่ะค่ะ!!!” ทหารองค์รักษ์รับพระบัญชาอย่างพร้อมเพรียงกัน พร้อมเสียงร่ำร้องโหยหวนของอดีตเสนาบดีกรมกลาโหมที่กำลังร่ำร้องออกมาทันทีที่ได้ยินกระแสรับสั่ง
“กระหม่อมผิดไปแล้วฝ่าบาท! กระหม่อมผิดไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” เสียงร่ำร้องด้วยความสำนึกผิดดังออกมาไม่ขาดสาย เหล่าขุนนางน้อยใหญ่ต่างก้มหน้างุดมิกล้าเอ่ยสิ่งใดที่ทำให้ขุ่นมัวพระทัย
เหตุที่เสนาบดีเหอเพ่ยเจินกราบทูลออกมาเช่นนั้นเพราะเป็นญาติของพระราชบุตรเขยซึ่งเป็นพระสวามีขององค์หญิงไท่ผิงนั่นเอง จึงออกตัวเพื่อปกป้องด้วยมิต้องการให้ตระกูลเหอพลอยโดนลูกหลงไปด้วย แต่แล้วก็ไม่รอดจนได้เพราะถังเสวียนจงฮ่องเต้ทรงตั้งพระทัยไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าทันทีที่พระองค์ได้ขึ้นครองราชย์คราใด สิ่งที่จะทรงทำนั้นก็คือกำจัดองค์หญิงไท่ผิงและขุมกำลังทั้งหมดที่ซ่องสุ่มเอาไว้ออกไปให้หมด ทั่วทั้งท้องพระโรงในตำหนักเสวียนเจิ้งบัดนี้เงียบงันไปหมด ก่อนจะได้ยินเสียงจินเต๋อกงกงเอ่ยประกาศ
“มีเรื่องกราบทูลจงว่ามา ไม่มีให้เลิกประชุม” ทันทีที่กงกงผู้ซื่อสัตย์ประกาศออกมาเช่นนั้น ร่างของอัครเสนาบดีเว่ยเฟ่ยหลง ค่อยๆ ขยับลุกจากที่นั่งของตนเองมาคุกเข่าตรงเบื้องพระพักตร์
“เจ้ามีอะไรอย่างนั้นรึท่านอัครเสนาบดีเว่ยเฟ่ยหลง” รับสั่งถามกลับไปเน้นๆ หนักๆ และช้าๆ เป็นการย้ำเตือนบรรดาศักดิ์ที่ชายชราตรงหน้าพระพักตร์มีอยู่ในขณะนี้ และทั้งๆ ที่ทรงล่วงรู้อยู่ในพระทัยแต่ก็อยากจะฟังตาเฒ่ากระหายอำนาจเอ่ยออกมา
“กราบทูลฝ่าบาท กระหม่อมจะกราบทูลเรื่องงานพระราชพิธีอภิเษกสมรสของฝ่าพระบาท ว่าบัดนี้ได้ทรงขึ้นครองราชย์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว วังหลังสมควรจะมีฮองเฮาเคียงคู่พระบารมีและคอยดูแลฝ่ายในซึ่งมิมีผู้ใดมาจัดการดูแลความเรียบร้อยมานานแล้ว เกล้ากระหม่อมรวมไปถึงเสนาบดีทั้งสามได้เคยถวายรายชื่อสตรีที่เพียบพร้อมและคู่ควรแก่การได้รับการสถาปนาขึ้นดำรงตำแหน่งฮองเฮา และวันนี้ถือเป็นวันที่ดีเนื่องในวันราชาภิเษกของพระองค์ จึงขอได้โปรดพิจารณาการแต่งตั้งฮองเฮาด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
พระเนตรดำใหญ่ทอดพระเนตรใบหน้าอัครเสนบาดีจอมวางแผนที่มีอำนาจล้นเหลืออยู่ในขณะนี้เขม็ง พระพักตร์คมดุค่อยๆ แย้มพระโอษฐ์หากแต่ช่างเย็นยะเยือกและน่ากลัวเสียนี่กระไร
“นี่เจ้ากำลังบีบบังคับข้าให้สถาปนาฮองเฮาทางอ้อมอยู่นะเว่ยเฟยหลง” รับสั่งสุรเสียงเข้มแฝงเร้นความน่าสะพรึงกลัวเป็นยิ่งนัก
“หามิได้พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมมิเคยมีความคิดเช่นนั้นแต่อย่างใดและไม่ได้บีบฝ่าพระบาทแม้แต่น้อย เพียงแต่เรื่องสถาปนาฮองเฮาเป็นสิ่งที่จะต้องคำนึงถึงและปฏิบัติสืบทอดต่อๆ กันมาตั้งแต่โบราณแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“เรื่องนั้นข้ารู้ดี! ไม่จำเป็นต้องให้พวกเจ้าต้องมาคอยบอกหรือชี้นำ รายชื่อที่พวกเจ้าส่งขึ้นมาให้พิจารณานั้นก็อ่านแล้วจนหมดสิ้น แต่ข้ามีความ เห็นแตกต่างไปจากระเบียบและปฏิบัติที่เคยทำมาแต่โบราณ ในเมื่อตอนนี้ข้าคือฮ่องเต้ คนที่จะมาเป็นฮองเฮาของข้าควรที่จะเลือกเอง มิใช่พวกเจ้าคัดเลือกมาให้! เข้าใจที่พูดไหม!!!” รับสั่งดังก้องและเฉียบขาดเป็นยิ่งนักจนขุนนางน้อยใหญ่ได้แต่นั่งก้มหน้ามิกล้าเอ่ยทัดทาน
“แต่ว่าฝ่าพระบาท... กระ...” เว่ยเฟยหลงพยายามจะเอ่ยกราบทูลหากแต่สุรเสียงดังกระหึ่มขึ้นมาทันที
“เหล่าอาลักษณ์จงบันทึกประกาศของข้า ให้ป่าวประกาศไปทั่วทั้งแผ่นดิน คัดเลือกบุตรีชนชั้นผู้ดี ไม่ว่าจะเป็นพ่อค้า คหบดี เสนาบดีและขุนนางน้อยใหญ่ ที่มีคุณลักษณะเพียบพร้อมตั้งแต่อายุสิบสี่ถึงสิบแปดปี และจะต้องสามารถอ่านออกเขียนได้ มีไหวพริบและเชาว์ปัญญา มีความงามด้วยคุณลักษณะของอิสตรี ให้ทำการคัดตัวเข้าวังและให้อยู่ภายใต้การดูแลของสำนักกงกง ผู้ใดไม่มีคุณสมบัติเข้าข่ายตามประกาศให้คัดออก ผู้ที่ถูกคัดเลือกในขั้นตอนสุดท้าย ข้าจะเลือกให้เป็นพระสนมตามลำดับขั้น จนไปถึงตำแหน่งฮองเฮา ส่วนรายชื่อที่เสนาบดีทั้งสี่เสนอเข้ามาก่อนหน้านั้นให้ยกเลิก!”
ถ้อยรับสั่งขององค์ฮ่องเต้ทำให้เสนาบดีใหญ่ทั้งสี่เงยหน้าขึ้นมองจักรพรรดิพระองค์ใหม่ทันทีไม่คาดคิดว่าจะทรงกล้ามีรับสั่งเช่นนี้ออกมา
“ท่าทางจะควบคุมยากเสียแล้ว ฝ่าบาทก่อนจะขึ้นครองราชย์ไม่ใช่แบบนี้แม้แต่น้อย แลดูเหมือนจะคล้อยตามพวกเราไปเสียทุกเรื่องแต่ตอนนี้กลับตรงกันข้ามไปอย่างสิ้นเชิง” เสียงกระซิบกระซาบของเสนาบดีทั้งสามทำให้อัครเสนาบดีใหญ่เว่ยเฟยหลงกัดฟันกรามของตัวเองเอาไว้จนแน่นเมื่อสิ่งที่คาดหวังไม่เป็นดั่งที่คิดเอาไว้แม้แต่น้อย
“เห็นทีคงจะเอาไว้ไม่ได้เสียแล้วฮ่องเต้พระองค์นี้ ในเมื่อควบคุมยากนัก เริ่มมีความคิดแตกต่างไปจากข้าเห็นทีจะต้องทำอะไรบางอย่างเสียแล้ว” อัครเสนาบดีเฒ่าขบคิดความชั่วร้ายเอาไว้ในหัว ดวงตายังคงจ้องเขม็งไปที่ฮ่องเต้หนุ่มที่ทรงมองมาที่ตนด้วยสายพระเนตรเหี้ยมเกรียมดุจเดียวกัน พร้อมมีรับสั่งสำทับขึ้น
“ข้าต้องการให้ผู้มีความรู้ความสามารถที่คู่ควรมาช่วยบางเบาภาระของข้ามากกว่าจะมาเป็นเบี้ยเพื่อถูกชักจูงให้เป็นหมากเดินของใครๆ การคัดเลือกนี้ต้องเป็นไปอย่างเสมอภาคและเท่าเทียมกัน และจงคัดเลือกหญิงงามซึ่งมีแซ่จางให้เข้าวังเพื่อคัดตัวเป็นพระสนมทุกคน!”
พระบัญชาขององค์ฮ่องเต้ทำให้จ้าวเทียนอี้เงยหน้ามองพระพักตร์คมดุของจักรพรรดิหนุ่มที่กำลังนั่งบนบัลลังก์มังกรอยู่ในขณะนี้ด้วยความประหลาดใจยิ่งนัก เหตุใดจึงมีรับสั่งเช่นนั้นออกมา ทั้งๆ ที่ล่วงรู้ว่าหญิงงามในภาพวาดจางลี่เซียนได้ลาลับเสียชีวิตไปนานกว่าหกเดือนแล้ว
“เลิกประชุม!!!” จินเต๋อกงกงประกาศปิดประชุม ก่อนจะค่อยๆ เดินไปหาขุนพลหนุ่มที่กำลังลุกขึ้นยืนจากพื้นพระตำหนักเพื่อแจ้งข่าวบางอย่างให้ทราบ
“ท่านแม่ทัพจ้าว ได้โปรดอยู่ก่อน ฝ่าบาทมีเรื่องที่จะปรึกษา”
แม่ทัพหนุ่มก้มศีรษะให้เล็กน้อยแทนการรับคำ ก่อนจะทรุดกายลงประจำที่นั่งในตำแหน่งของตัวเองตามเดิม
“เทียนอี้!” สุรเสียงรับสั่งขึ้น ภายหลังที่ขุนนางน้อยใหญ่ได้พากันออกไปจนหมดสิ้นแล้ว
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท!”
“เจ้าคงแปลกใจสินะว่าเพราะเหตุใด ข้าจึงมีประกาศให้คัดตัวหญิงงามทั่วทั้งแผ่นดินเพื่อเข้ามาเป็นพระสนม รวมไปถึงคัดตัวหญิงงามจากสกุลจางทุกคนให้เข้าวังด้วย”
แม่ทัพลือนามพยักหน้าขึ้นลงติดกันพร้อมเอ่ยขึ้น
“กระหม่อมก็แปลกใจพ่ะย่ะค่ะ ว่าเหตุใดฝ่าบาทจึงมีพระบรมราชโองการเช่นนั้น” เทียนอี้กราบทูลกลับไปด้วยความอยากรู้
“ก็เพราะข้าต้องการประกาศให้ขุนนางน้อยใหญ่ล่วงรู้ว่า สิ่งที่พวกเสนาบดีทั้งสี่กำลังขบคิดและก่อการกันอย่างลับๆ ข้าล่วงรู้ทั้งหมดและข้าต้องการทลายอำนาจของพวกมันที่จะแทรกซึมมาทางฝ่ายในโดยส่งบุตรหลานตัวเองให้มานั่งตำแหน่งสำคัญในวังหลังของข้าโดยเฉพาะตำแหน่งฮองเฮา”
จ้าวเทียนอี้ฟังรับสั่งพร้อมขบคิดตามพร้อมเอ่ยขึ้น
“แต่ฝ่าบาทก็ทรงล่วงรู้ว่า สุดท้ายแล้วเหล่าเสนาบดีทั้งสี่ต้องพยายามทุกอย่างเพื่อให้คนของตนเองเข้าถึงฝ่าบาท ในที่สุดก็ต้องทรงแต่งตั้งคนของเสนาบดีทั้งสี่อยู่ดี มันจะได้ประโยชน์สิ่งใดเกิดขึ้นอย่างนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ... หรือว่า” แม่ทัพหนุ่มเริ่มเดาแผนการขององค์ฮ่องเต้ออกแล้ว ว่าจะทรงทำเช่นไรเพื่อกำจัดอำนาจของอัครเสนาบดีเฒ่าเว่ยเฟยหลง
“ข้ารู้ว่าเจ้าจะต้องตามความคิดของข้าทันเสมอ สิ่งที่พวกมันอยากให้ได้ดั่งใจหวังจะไม่สำเร็จดั่งคาดหรือถ้าได้ก็ต้องใช้เวลากว่าพวกมันจะได้สิ่งนั้น ข้าจะให้มันดีใจเล่นว่าได้กุมอำนาจฝ่ายในแต่แท้จริงแล้วหาใช่ดั่งที่คิดแม้แต่น้อย”
“แล้วเหตุใดฝ่าบาทจึงทรงประกาศให้นำหญิงสกุลจางทุกคนเข้าวังด้วยพ่ะย่ะค่ะ ในเมื่อทรงล่วงรู้ว่าจางลี่เซียนได้ลาลับไปแล้ว บุตรีสกุลจางคนอื่นๆ จะมีรูปโฉมดั่งเช่นนางก็หามีไม่” เทียนอี้มิวายเอ่ยความเห็นย้อนแย้งออกไป
“ที่ข้ามีคำสั่งให้คัดเลือกบุตรีที่มาจากสกุลจางทุกคนก็เพื่อนำมาเป็นหมากในแผนการบางอย่างของข้าด้วยส่วนหนึ่ง และอีกส่วนหนึ่งข้ามีความรู้สึกว่าจางลี่เซียนยังไม่ตาย” รับสั่งมาจากความรู้สึกลึกๆ ในพระทัย
และนั่นทำให้จ้าวเทียนอี้ถึงกับชะงักงันเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“เหตุใดฝ่าบาทจึงทรงมั่นพระทัยว่านางยังไม่ตายด้วยเล่าพ่ะย่ะค่ะ” แม่ทัพหนุ่มกราบทูลถามด้วยความอยากรู้
“ลางสังหรณ์ของข้าบอกว่า จางลี่เซียนยังไม่ตาย ซึ่งข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะเหตุใดจึงรู้สึกเช่นนั้น ดั่งเช่นลางสังหรณ์บอกกับข้าว่านางมีตัวตนจริงมิใช่เทพธิดาจากสรวงสวรรค์ ครานี้ก็เช่นกันความรู้สึกของข้าบอกว่านางยังไม่ตายแลเหมือนอยู่ไกลทางความคิดหากแต่ความเป็นจริงแล้วไซร้อยู่ใกล้เพียงแค่เอื้อมแต่มองไม่เห็นนางเท่านั้นเอง”
รับสั่งขององค์ฮ่องเต้ทำให้จ้าวเทียนอี้ต้องขบคิดตามขึ้นมาทันที
“เหมือนอยู่ไกลทางความคิดหากแต่ความเป็นจริงแล้วไซร้อยู่ใกล้เพียงแค่เอื้อมแต่มองไม่เห็น” เทียนอี้รำพึงอยู่ภายในใจเมื่อได้ยินรับสั่งจากองค์ฮ่องเต้
“หากฝ่าบาททรงมั่นพระทัยเพราะลางสังหรณ์เช่นนั้น กระหม่อมก็จะคอยรับพระบัญชาที่จะส่งมีพระกระแสรับสั่งลงมาพ่ะย่ะค่ะ ว่าจะทรงให้ทำเช่นไรต่อไป” ขุนพลหนุ่มเอ่ยกราบทูลกลับไปท่ามกลางความพึงพอใจขององค์ฮ่องเต้ พระเนตรดุดันเมื่อครู่ที่ผ่านมามีแววเศร้าหมองกลับไปดั่งเดิม ก่อนจะได้ยินเสียงของขุนพลหนุ่มเอ่ยกราบทูลสำทับขึ้นอีกคราเมื่อนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“ฝ่าบาทที่หอสมุดหลวงตอนนี้ตำแหน่งเจ้าหน้าที่ตรวจและคัดฎีกาก่อนจะขึ้นถวายว่างลงเพราะขุนนางคนเก่าได้ถึงแก่กรรมไป กระหม่อมจึงใคร่ขอฝากฝังญาติผู้น้องให้เข้าไปทำหน้าที่นี้จะได้หรือไม่พะย่ะค่ะ”
คำกราบทูลของจ้าวเทียนอี้ทำให้ฮ่องเต้หนุ่มขมวดพระขนงเข้มเข้าหากันด้วยความแปลกใจเมื่อทรงได้ยินเช่นนั้น
“เจ้ามีญาติผู้น้องด้วยอย่างนั้นรึ ข้าเพิ่งจะรู้”
“ญาติผู้น้องคนนี้นับถือกระหม่อมเปรียบเสมือนญาติใกล้ชิด อีกทั้งได้ติดตามมาอยู่กับกระหม่อมด้วย ทั้งยังเชี่ยวชาญศาสตร์ทั้งบู๊และบุ๋น ฝักใฝ่ตำราและแตกฉานคัมภีร์หลากหลายแขนงยิ่งนัก ในอนาคตต้าถังจะได้จอหงวนคนใหม่ที่เก่งกล้าสามารถอย่างแน่นอน กระหม่อมเห็นความฉลาดและมีความสามารถมากจึงอยากให้ได้ฝึกงานในหอสมุดหลวงเพื่อศึกษาความรู้เพิ่มเติม เมื่อครบรอบเปิดสอบจอหงวนจะได้มีความรู้พอกพูนมากยิ่งขึ้นพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หนุ่มก้มพระพักตร์ขึ้นลงติดๆ กัน ก่อนจะแย้มพระโอษฐ์ด้วยความพึงพอใจเมื่อได้ยินขุนพลหนุ่มกล่าวถึงญาติผู้น้องของตนเช่นนั้น
“ข้าเชื่อว่าญาติผู้น้องของเจ้าเป็นผู้มีความรู้ความสามารถเช่นนั้น เอาเถิดข้าอนุญาตแต่การที่จะเข้ามาปฏิบัติงานในหอสมุดหลวงได้นั้น ล้วนแล้วแต่ต้องเป็นขันทีขั้นห้า ขึ้นไปทั้งสิ้น ญาติผู้น้องของเจ้าจะยอมเป็นขันทีอย่างนั้นรึ” พระองค์รับสั่งถามพร้อมแย้มโอษฐ์ออกมาบางๆ พลางพระสรวลเบาๆ ในพระศอ
จ้าวเทียนอี้เมื่อได้ยินรับสั่งเช่นนั้นก็หัวเราะออกมาเบาๆ เพราะหลง ลืมประเด็นนี้ไปโดยปริยาย
“เห็นทีไม่ยอมเป็นแน่แท้พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท แต่จะว่าไปญาติผู้น้องของกระหม่อมก็ช่างบอบบางราวอิสตรีเป็นยิ่งนัก หากไม่บอกว่าเป็นบุรุษก็คงจะเป็นอิสตรีปลอมตัวมา ดีนะที่เคยประลองดาบซ้อมเพลงยุทธ์ด้วย กันมาก่อนหาไม่แล้วก็คงจะคิดว่าเป็นหญิงเสียมากกว่า”
“ญาติผู้น้องของเจ้าเรียนรู้เพลงยุทธ์ด้วยหรอกรึ” พระองค์รับสั่งถามด้วยความแปลกพระทัย พลางใช้ความคิดก่อนจะมีรับสั่งขึ้น
“ข้าต้องการคนที่มีลักษณะเช่นนี้พอดีเลยเทียนอี้ ญาติผู้น้องของเจ้าเหมาะมากที่จะเจาะหาข่าวทั้งวังหน้าและวังหลังในตำแหน่งขันที ถ้าเช่นนั้นให้ญาติผู้น้องของเจ้าเข้ามาดูแลฎีกาในหอสมุดหลวง ในตำแหน่งขันทีขั้นห้าและคอยรับคำสั่งจากข้าเพื่อสืบหาข้อมูลทั้งวังหน้าและวังหลัง ตำแหน่งนี้จะกลืนไปทุกที่ของพระราชวังต้าหมิงกง” พระองค์รับสั่งอย่างหมายมั่นในพระทัย
“กระหม่อมขอขอบพระทัยฝ่าพระบาทที่ทรงเมตตา” จ้าวเทียนอี้กล่าวพร้อมก้มลงคำนับฮ่องเต้ของตนไปกับพื้นพระตำหนัก
“ลุกขึ้นเถอะ! ข้าเองก็กำลังเฟ้นหาคนที่สามารถไว้ใจได้อยู่พอดี ยิ่งเป็นคนของเจ้าข้าก็ยิ่งสบายใจเพราะหมายถึง คนของบ้านตระกูลจ้าวทุกคนล้วนแล้วแต่จงรักภักดีต้าถังมาทุกยุคทุกสมัย พรุ่งนี้ก็ให้ญาติผู้น้องของเจ้าเข้าไปที่หอสมุดหลวงได้เลย ข้าจะมีโองการแต่งตั้งตามหลังไป” รับสั่งพร้อมหันพระวรกายเพื่อเสด็จออกจากพระตำหนัก
“ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเมตตา หากจางเสี่ยวหมิงล่วงรู้คงดีใจยิ่งนัก”
ครั้นขุนพลหนุ่มเอ่ยชื่อแซ่ของญาติผู้น้องออกมา ฮ่องเต้หนุ่มที่กำลังจะเสด็จออกจากพระตำหนักพลันหยุดเสด็จทันทีพร้อมค่อยๆ หันกลับมามองจ้าวเทียนอี้ขุนพลหนุ่มคู่พระทัยของพระองค์
“ญาติผู้น้องของเจ้ามีชื่อแซ่ว่ากระไรนะ” รับสั่งถามย้ำเพื่อความแน่พระทัยอีกครั้ง
“ญาติผู้น้องของกระหม่อมชื่อจางเสี่ยวหมิงพ่ะย่ะค่ะ”
“จางเสี่ยวหมิงอย่างนั้นรึ”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” เทียนอี้กราบทูลกลับไปพลางเงยหน้ามองฮ่องเต้ของตน
“มีสิ่งใดอย่างนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ” เทียนอี้เอ่ยถามด้วยความอยากรู้
จักรพรรดิหนุ่มย้อนคิดไปถึงพระสุบินเมื่อคืนก่อน ที่ได้ภาพวาดจางลี่เซียนและได้รับข่าวร้าย เมื่อทรงล่วงรู้ว่านางได้ลาลับจากโลกนี้ไป หากแต่พระสุบินท่ามกลางความเมามายจะเชื่อถือได้อย่างนั้นหรือไร
“ไม่มีอะไร! ข้าแค่สะดุดกับแซ่จางญาติผู้น้องของเจ้าเท่านั้น คงจะเป็นเครือญาติหรือไม่ก็บังเอิญใช้สกุลจางเหมือนกับจางลี่เซียนกระมัง”
พระองค์รับสั่งตัดบทโดยมิทันได้ฟังคำอธิบายจากขุนพลหนุ่มแต่อย่างใด พร้อมหันพระวรกายเสด็จกลับพระตำหนักส่วนพระองค์ หากแต่กลับทรงครุ่นคิดไปตลอดทางที่กำลังพระดำเนิน ท่ามกลางสายตาของจ้าวเทียนอี้ที่ยืนมององค์จักรพรรดิก่อนจะหันหลังเดินออกจากพระตำหนักเสวียนเจิ้งเช่นเดียวกัน
“ฝ่าบาททรงครุ่นคิดสิ่งใดอยู่นะ เหตุใดพอข้าเอ่ยถึงเสี่ยวหมิงจึงมีพระอาการเช่นนั้นน่าแปลกใจยิ่งนัก” ขุนพลหนุ่มขบคิดอยู่ภายในใจ ร่างสูงใหญ่เดินออกจากพระตำหนักเพื่อเดินตรงไปที่เกี้ยวกลับจวนที่พักของตน
[1] ตำหนักเสวียนเจิ้ง (***) เป็นที่ทำการประจำวันของจักรพรรดิ และเป็นที่ ๆ บรรดาเหล่าข้าราชการชั้นสูงจะมาเข้าเฝ้ารับคำสั่งราชการ
[2] ต้าเจียงจวิน (***) หมายถึงแม่ทัพใหญ่ คล้ายผู้บัญชาการทหารสูงสุด