บริเวณอุทยานหลวง
ร่างสูงใหญ่ของขุนพลหนุ่มแห่งต้าถัง กำลังเดินตามเสด็จองค์รัชทายาทไปอย่างกระชั้นชิด โดยมีจินเต๋อกงกงและเหล่านางกำนัลพร้อมทหารองค์รักษ์ตามเสด็จไปห่างๆ เพื่อคอยถวายการรับใช้และความปลอดภัย พระองค์และแม่ทัพหนุ่มเทียนอี้ต่างกำลังสนทนาเรื่องอื่นๆ เพื่อมิให้ผู้ใดได้ฟังข้อความอันแท้จริง จวบจนกระทั่งวงองค์สูงใหญ่ขององค์รัชทายาทเสด็จประทับยืนบริเวณสระน้ำกลางอุทยานหลวง
“เทียนอี้! มายืนใกล้ๆ ข้า!” องค์รัชทายาทมีรับสั่งกับขุนพลหนุ่มแห่งต้าถัง
“พ่ะย่ะค่ะ!” ร่างสูงใหญ่รับพระบัญชาพร้อมรีบรุดก้าวเข้าไปยืนเคียงข้างว่าที่องค์จักรพรรดิทันที
“เจ้าล่วงรู้ล่ะสิว่าผู้ใดกำลังสืบข่าวอยู่ จึงต้องพากันมาเดินอยู่ในอุทยานหลวงแบบนี้” รับสั่งพร้อมคลี่พระโอษฐ์อย่างรู้ทันพระสหายสนิท
“ถ้าให้กระหม่อมเดาไม่ผิดเห็นทีจะไม่พ้นอัครเสนาบดีเว่ยเฟยหลงเป็นแน่แท้ ในราชสำนักต่างล่วงรู้ดีว่าบุตรีของท่านเสนาบดีเว่ยเป็นหนึ่งในหญิงงามซึ่งถูกเสนอชื่อให้ได้รับการแต่งตั้งเป็นฮองเฮา”
องค์รัชทายาทก้มพระพักตร์ขึ้นลงด้วยความพึงพอใจ พร้อมมีรับสั่งเอ่ยขึ้น
“เรื่องที่ข้าให้เจ้าไปสืบเป็นเช่นไรบ้าง สตรีในภาพวาดและคัมภีร์อมตะ” พระองค์ยิงประเด็นเข้าเรื่องทันทีไม่ปล่อยให้เสียเวล่ำเวลา
ดวงตาดำใหญ่ยาวรีของเทียนอี้สั่นไหวเล็กน้อย ใบหน้าคมเข้มก้มลงต่ำพร้อมหลบสายพระเนตรเพื่อซุกซ่อนบางสิ่งบางอย่างที่ตนจำเป็นต้องปกปิดเพราะมันคือหน้าที่ของตระกูลจ้าวที่ได้รับถ่ายทอดและถือคำสั่งนี้มาจากบรรพบุรุษจากรุ่นสู่รุ่นเลยทีเดียว แม้จะเตรียมตัวมาแล้วล่วงหน้าแต่ทุกคราที่จะต้องกล่าวคำเท็จแม่ทัพหนุ่มหาได้สบายใจแม้แต่น้อย
“สตรีในภาพวาดที่ทรงมีพระบัญชาให้กระหม่อมกระจายสายข่าวลงสืบค้นทั่วทั้งแผ่นดิน บัดนี้ได้ข่าวมาแล้วว่า หญิงงามในภาพวาดที่พระองค์มีรับสั่งให้ค้นหานั้น มีตัวตนจริงบนผืนแผ่นดินนี้พ่ะย่ะค่ะ” จ้าวเทียนอี้กราบทูลรายงานไปตามความเป็นจริงและนั่นทำให้พระพักตร์ดุดันหากแต่คมเข้มขององค์รัชทายาทมีสีพระพักตร์แปรเปลี่ยนไปทันที วรองค์สูงใหญ่หันกลับมาทันทีด้วยความตื่นเต้น
“เจ้า... เจ้าว่ายังไงนะ... หญิงงามในภาพวาดมีตัวตนจริงๆ กระนั้นหรือ... นี่ข้ามิได้หูฝาดไปใช่ไหม” สุรเสียงมีรับสั่งด้วยทรงดีพระทัยอย่างยิ่งยวด
ข้างฝ่ายแม่ทัพใหญ่แห่งต้าถังพยักหน้าขึ้นลงติดๆ กัน ก่อนจะตัดใจสอดมือหนาล้วงไปในอกเสื้อของตนเพื่อนำบางอย่างถวายให้แก่พระองค์
“นี่คือภาพวาดของหญิงงามที่ทรงมีรับสั่งให้ออกค้นหาไปทั่วทั้งแผ่นดิน และกระหม่อมได้สืบค้นจนพบว่า หญิงงามในภาพวาดนั้น นางเป็นชาวเมืองลั่วหยาง บุตรีคนสุดท้องของคหบดีใหญ่จางหยวนฟู่ซึ่งเป็นเจ้าของห้างกระดาษซวนจื่อและห้างขายผ้าไหมในเมืองลั่วหยาง หญิงงามผู้นี้นางมีชื่อว่าจางลี่เซียนพ่ะย่ะค่ะ” เทียนอี้กราบทูลรายงานพร้อมถวายม้วนกระดาษที่อยู่ในมือของตนซึ่งเป็นภาพวาดของจางลี่เซียนให้แก่องค์รัชทายาท
ดวงเนตรดำใหญ่ทอดพระเนตรม้วนกระดาษตรงหน้า ภายในพระทัยทั้งตื่นเต้นและยินดีเป็นยิ่งนักเมื่อทรงล่วงรู้ว่า หญิงงามในภาพวาดที่ทำให้พระองค์ตกหลุมรักตั้งแต่แรกพบมีตัวตนอยู่จริงๆ พระหัตถ์รีบคว้าม้วนกระดาษจากมือแม่ทัพใหญ่แห่งต้าถัง ก่อนจะค่อยๆ คลี่ออกมาเพื่อทอดพระเนตร
ภาพวาดหญิงงามราวเทพธิดาจากสรวงสวรรค์ในชุดสีแดงเพลิง ใบหน้าเรียวดั่งดวงจันทร์ คิ้วโก่งดั่งคันศร ดวงตากลมโตดำใหญ่รับกับเส้นผมสีดำยาวสลวยถูกบรรจงตกแต่งและประดับด้วยปิ่นปักผมและเครื่องประดับล้ำค่ามากมาย กลางหน้าผากสวยมีกลีบดอกบัวบานแต้มจนโดดเด่นชวนหลงใหลจนไม่อยากละสายตาจากภาพวาดตรงหน้านี้ไปได้เลย
“จิตรกรเอกคนใดหนอจึงสะบัดปลายพู่กันบรรจงวาดภาพนางได้งดงามเช่นนี้ยิ่งนัก แน่ใจหรือว่านางคือคนมีเลือดมีเนื้อและมีชีวิตหาใช่ภาพวาดตามมโนจิตของเหล่าจิตรกรผู้นั้น” รับสั่งสุรเสียงแผ่วเบาแทบจะไม่ได้ยิน หากแต่แม่ทัพหนุ่มรูปงามอยู่ในระยะใกล้ชิดล้วนได้ยินรับสั่งอย่างชัดเจน
“จางลี่เซียน เป็นอิสตรีที่งดงามมากยิ่งนัก ดั่งชื่อของนางที่มีความ หมายว่า นางฟ้าแสนสวย ครั้งหนึ่งนางเคยมีตัวตน มีเลือดเนื้อและมีชีวิตอยู่จริงๆ พ่ะย่ะค่ะองค์ชาย” เทียนอี้เอ่ยแฝงเร้นความนัยบางอย่างเป็นเหตุให้องค์รัชทายาทที่กำลังชื่นชมและดื่มด่ำอยู่กับภาพตรงหน้าในขณะนั้นขมวดพระขนงเข้าหากันทันที
“เหตุใดเจ้าจึงกล่าวเช่นนั้นออกมา ราวกับว่านางเคยอยู่แต่ตอนนี้หาได้อยู่อีกต่อไป”
จ้าวเทียนอี้ก้มหน้าลงต่ำก่อนจะประสานสองมือเข้าหากันทันที
“จางลี่เซียนซึ่งเป็นเจ้าของภาพวาดนี้ได้จากไปเมื่อหกเดือนก่อนด้วยโรคประจำตัวของนางแล้วพ่ะย่ะค่ะ หากแม้นนางยังมีชีวิตอยู่เดือนหน้าก็จะมีอายุครบสิบแปดปีเต็ม”
คำกราบทูลของจ้าวเทียนอี้ทำเอาพระวรกายขององค์หวงไท่จื่อ ถึงกับชะงักงันเมื่อทรงได้ยินเช่นนั้น พระทัยที่ปิติยินดีเป็นอย่างยิ่งเมื่อครู่ที่ผ่านมา มลายหายไปโดยพลันมิเหลือสิ้น
“จะ... เจ้า... เจ้ากำลังบอกกับข้าว่า... นางตายแล้วอย่างนั้นหรือเทียนอี้!!!... เจ้าสืบมาอย่างแน่ชัดแล้วอย่างนั้นรึ” รับสั่งถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง ประหนึ่งราวกับว่ายังทรงตั้งความหวังลมๆ แล้งๆ เอาไว้ภายในพระทัย
ขุนพลใหญ่แห่งต้าถังเงยหน้ามองพระพักตร์ของว่าที่องค์จักรพรรดิ ซึ่งบ่งบอกได้ทันทีเมื่อได้เห็นสีพระพักตร์ของพระองค์ว่าทรงเจ็บปวดรวดร้าวมากมายเพียงใดเมื่อได้ยินข่าวรายงานเช่นนี้
“ข้อมูลที่กระหม่อมได้มานั้นเป็นความจริงทุกประการพ่ะย่ะค่ะ จางหยวนฟู่ซึ่งเป็นบิดาของนางได้บอกกับกระหม่อมด้วยตัวเอง นางได้ละร่างงามนี้ไปแล้วเพื่อไปจุติเป็นนางฟ้าอยู่บนสรวงสวรรค์แทนที่จะอยู่บนโลกมนุษย์ ทรงทำพระทัยและปล่อยวางเถิดพ่ะย่ะค่ะ อีกเพียงสองวันจะต้องเข้าพิธีราชาภิเษกขึ้นครองราชย์ปกครองแผ่นดินนี้ และสักวันหนึ่งพระองค์จะทรงลืมนางไปได้เอง”
พระพักตร์สงบนิ่งหากแต่ภายในพระทัยเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความเสียพระทัยมิรู้วาย ถ้อยคำของแม่ทัพเลื่องชื่อหาได้ทำให้พระ องค์ลืมนางในภาพวาดนี้ไปได้เลย แม้จะทรงเจ็บปวดรวดร้าวยิ่งนักเมื่อล่วงรู้ว่าความรักของพระองค์ที่มอบให้กับนางมิอาจเป็นไปได้อีกแล้วก็ตาม หากแต่จะให้ลืมเลือนนางนั้นไปจากหัวใจมิอาจทำพระทัยได้แม้แต่น้อย ขึ้นชื่อว่าบุรุษแม้จะแข็งแกร่งเพียงใด มีอันต้องแพ้พ่ายเพราะความรักทุกคราและพระองค์ก็เช่นกัน
พระหัตถ์หนาบรรจงม้วนภาพวาดตรงหน้าอย่างทะนุถนอมยิ่งนัก พร้อมนำไปเก็บไว้ภายในฉลองพระองค์มังกร แนบชิดกับพระอุระพลางลูบไล้ไปมาอย่างแผ่วเบาพร้อมมีรับสั่ง
“ข้าจะเก็บลี่เซียนเอาไว้ในหัวใจของข้าตลอดไป หามีหญิงใดมาทดแทนนางได้แม้แต่น้อย ข้ารู้สึกเจ็บปวดแปลบหัวใจตัวเองเป็นยิ่งนัก อยากอยู่เงียบๆ เพียงลำพัง อีกไม่นานข้าคงจะดีขึ้น พวกเจ้าออกไปจากตรงนี้ให้หมด... ข้าอยากอยู่คนเดียวสักพัก” รับสั่งสุรเสียงแผ่วเบาพร้อมทรงยืนเอาพระหัตถ์ไขว้เข้าหากันทางด้านหลังโดยมิรับสั่งสิ่งใดออกมาอีก
ร่างสูงของขุนพลหนุ่ม ค่อยๆ ล่าถอยออกมาช้าๆ อย่างเงียบๆ ก่อนจะมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าจินเต๋อกงกงที่กำลังยืนรอองค์รัชทายาทไม่ห่างจากจุดที่ทรงยืนอยู่เท่าใดนัก
“ท่านแม่ทัพจ้าว... องค์ไทจื่อทรงเป็นอะไรหรือเปล่า เหตุใดจึงทรงยืนอยู่เช่นนั้น มิยอมเสด็จออกมาจากสระบัว มีสิ่งใดเกิดขึ้นเช่นนั้นรึ” จินเต๋อเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงองค์รัชทายาทของตน
“พระองค์ต้องการอยู่เงียบๆ เพียงลำพัง กงกงอย่าเพิ่งเข้าไปรบกวนตอนนี้จะดีกว่า เรื่องบางอย่างทรงต้องใช้เวลาและใช้ความคิดหลายสิ่งหลายอย่างในฐานะองค์ฮ่องเต้ของปวงประชา ทำให้พระองค์ต้องการเวลาและใช้ความคิดเยอะ อีกไม่นานจะทรงดีขึ้น” แม่ทัพหนุ่มเอ่ยบอกกงกงผู้ซื่อสัตย์
“แต่สิ่งหนึ่งที่ข้าราชบริพารอย่างท่านแม่ทัพและข้าเป็นห่วงพระ องค์ตอนนี้ก็คือ องค์ไทจื่อยังมิยอมเลือกหญิงงามผู้ใดเพื่อเข้ารับการสถาปนาขึ้นเป็นฮองเฮาเสียที ทรงไม่ยอมมีพระชายาจนตอนนี้ทรงมีพระชนม์มายุยี่สิบสามพรรษาแล้วหาได้มีพระโอรสหรือพระธิดาแม้แต่น้อย การคัดเลือกสนมนางในเพื่อเข้าวังก็ยังไม่ยอมทรงมีพระบัญชาดั่งธรรมเนียมปฏิบัติ ท่านแม่ทัพเป็นพระสหายสนิทพอจะล่วงรู้หรือไม่ว่าเป็นเพราะสาเหตุใด จึงทรงเป็นเช่นนี้”
จ้าวเทียนอี้ส่ายหน้าไปมาติดๆ กัน แทนการตอบรับ แม้จะล่วงรู้ดีว่ามีสาเหตุมาจากอะไรแต่ก็มิอาจเปิดเผยให้ผู้ใดล่วงรู้ได้แม้แต่น้อยเช่นกัน
ท่าทางของแม่ทัพหนุ่มซึ่งแสดงออกมาเช่นนั้น ทำให้จินเต๋อถึงกับถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่เลยทีเดียวด้วยความกลัดกลุ้มใจในองค์รัชทายาทของตน
“เฮ้อ! เหตุใดจึงทรงเป็นเช่นนี้นะ แผ่นดินไร้สิ้นฮองเฮาก็มิได้ ยิ่งการถือกำเนิดโอรสและธิดาจากสวรรค์ด้วยแล้ว ก็ยิ่งเป็นเรื่องสำคัญต่อแผ่นดินต้าถังในภายภาคหน้า... จะทำเช่นไรดีหนอ... จะทำเช่นไรดี” จินเต๋อยังไม่วายรำพึงรำพันบ่นกระปอดกระแปดอยู่เช่นนั้น
ในขณะที่ดวงตาดำใหญ่ของขุนพลหนุ่มยังคงทอดสายตามองไปยังองค์รัชทายาทของตนทางด้านหลังอยู่ตลอดเวลาเช่นกันและเข้าใจความรู้สึกของพระองค์ในตอนนี้ยิ่งกว่าผู้ใดเพราะตนก็มีความรู้สึกที่ไม่แตกต่างแม้แต่น้อย
“ลี่เซียน! เจ้าจะรู้บ้างไหมว่ากำลังทำให้หัวใจของข้าโศกเศร้าและคร่ำครวญคิดถึงมากมายเพียงใด ความงามของเจ้านั้นช่างร้ายกาจยิ่งนัก ไม่เพียงพรากหัวใจของข้าไปอยู่ที่เจ้าแล้ว ยังทำให้องค์รัชทายาททรงมอบพระทัยให้เจ้าดุจเดียวกับข้าเช่นกัน” แม่ทัพหนุ่มเอ่ยพร้อมยกมือลูบไล้แผ่นอกกว้างของตนเองไปมา ด้วยเพราะรู้สึกใจหายจนบอกไม่ถูกที่ภาพวาดของลี่เซียนได้มอบถวายให้แก่องค์ไทจื่อเมื่อครู่ที่ผ่านมา
“แต่จะว่าไปแล้วข้ากลับดีใจอยู่ลึกๆ ที่เจ้าจากไป หากแม้นยังมีชีวิตอยู่ข้าจะต้องเจ็บปวดหัวใจตัวเองมากกว่านี้เป็นร้อยเท่าพันทวีเพราะทนไม่ได้ที่จะต้องเห็นเจ้าเป็นของบุรุษอื่น และผู้ที่อยากได้ครอบครองเจ้าก็ช่างมีอำนาจในแผ่นดินนี้เป็นยิ่งนัก” จ้าวเทียนอี้รำพึงอยู่ภายในใจ ดวงตายังคงจับจ้องที่องค์รัชทายาทของตนอยู่เช่นนั้นนิ่งนาน”
ภายในห้องพระบรรทม
พระหัตถ์หนาลูบไล้ภาพวาดตรงหน้าพระพักตร์ไปมาอย่างทะนุถนอม ดึกสงัดจนเกือบยามหนึ่งแล้วองค์รัชทายาทยังทรงประทับนั่งเสวยน้ำจัณฑ์อยู่เพียงลำพัง แก้วแล้วแก้วเล่ายังคงเสวยติดต่อกันโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ในขณะที่พระเนตรยังคงจับอยู่ที่ภาพวาดหญิงงามตรงหน้าพระพักตร์ตลอดเวลา ด้วยภาพวาดดังกล่าวได้วาดถอดแบบรายละเอียดทุกอย่างของสตรีในดวงใจเอาไว้ทั้งหมด ประหนึ่งภาพวาดนั้นมีชีวิตและจิตใจสามารถจับต้องได้ แตกต่างจากภาพวาดที่พระองค์ทรงได้มาในครั้งแรกอย่างสิ้นเชิง
“เหตุใดข้าจึงไร้วาสนาที่ไม่มีแม้กระทั่งโอกาสจะได้พบกับเจ้าเลยสักครั้ง กว่าจะล่วงรู้ว่ามีชื่อเสียงเรียงนามเช่นไรก็วาระสุดท้ายของเจ้าจบสิ้นลง เหตุใดสวรรค์จึงกลั่นแกล้งข้าเช่นนี้ เกิดมาทั้งทีเมื่อมีรักกลับมิสมหวัง กลับต้องสิ้นวาสนาเพราะความตายพลัดพรากเจ้าไปจากข้า... ทำไมข้าจึงต้องเจ็บปวดหัวใจเช่นนี้... ทำไม!!!” สิ้นพระสุรเสียงพระหัตถ์ที่กำแก้วน้ำจัณฑ์สีเงินยวงอยู่ในขณะนั้นถูกขว้างลงไปกับพื้นพระตำหนักทันที เพื่อระบายพระอารมณ์ที่ทรงอัดอั้นอยู่ภายในพระทัย
“เพล้ง!” แก้วน้ำจัณฑ์ดังกล่าวแตกออกเป็นสองเสี่ยงแยกจากกัน ในขณะที่จินเต๋อรีบก้าวเข้ามาในพระตำหนักทันทีที่ได้ยินเสียงคล้ายข้าวของตกแตกดังขึ้นภายใน ก่อนจะหยุดชะงักเมื่อเห็นแก้วน้ำจัณฑ์แตกกระจายอยู่ที่พื้น
“องค์ชายเกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ” กงกงผู้ซื่อสัตย์กราบทูลถามด้วยความเป็นห่วง
“ข้าไม่ได้เป็นอะไร! ไปเอาเหล้ามาให้ข้าอีก!” รับสั่งเร่งเอาน้ำจัณฑ์เพื่อนำมาเสวย
“ทรงเสวยน้ำจัณฑ์ตั้งแต่เสด็จกลับมาจากอุทยานหลวงจนถึงตอนนี้ก็ยามหนึ่งแล้วพ่ะย่ะค่ะ พระกระยาหารค่ำก็มิทรงแตะต้องแม้แต่น้อย วันมะรืนจะถึงวันประกอบพิธีราชาภิเษกขึ้นครองราชย์แล้ว ทรงถนอมพระวรกายด้วยเถิดองค์ชาย เหล่าเสนาบดีทั้งสี่ก็เพิ่งจะขอลากลับไปพยายามที่จะขอเข้าเฝ้าพระองค์แต่ก็ยังไม่มีพระบัญชาลงไปเสียที”
องค์รัชทายาทหนุ่มทรงประทับนิ่งเมื่อได้ยินกงกงผู้ซื่อสัตย์กราบทูลเช่นนั้น พระหัตถ์ยังคงลูบไล้ภาพวาดตรงเบื้องพระพักตร์อยู่ตลอดเวลา จนทำให้จินเต๋อต้องแอบชำเลืองมองว่าสิ่งที่อยู่ตรงเบื้องพระพักตร์ขององค์รัชทายาทคือสิ่งใดกันเล่า เหตุใดจึงทำให้พระองค์มีพระอารมณ์เศร้าหมองเช่นนี้หนอ
พระเนตรดำยาวรียังคงจับอยู่ที่ใบหน้าอันงดงามของลี่เซียนราวกับว่าจะทรงตรึงไว้ในดวงจิตก็ว่าได้ ก่อนจะหลับพระเนตรลงพร้อมมีรับสั่งขึ้น
“เจ้าจงไปบอกเหล่าเสนาบดีทั้งสี่ว่าหลังจากเสร็จพิธีราชาภิเษกของข้าแล้ว ให้เรียกประชุมเหล่าขุนนางน้อยใหญ่ที่ท้องพระโรงตำหนักเสวียนเจิ้ง ข้าจะออกว่าราชการในฐานะจักรพรรดิ มีเรื่องอะไรที่จะรายงานค่อยไปคุยกันในวันนั้น สำหรับช่วงนี้ข้าไม่ต้องการพบผู้ใดหรือไม่อนุญาตให้ใครเข้าเฝ้า ถ้าข้าไม่สั่ง! เข้าใจไหมจินเต๋อ!” ถ้อยรับสั่งสุดท้ายทรงหันไปทอดพระเนตรกงกงคนสนิทเขม็ง
“พ่ะย่ะค่ะองค์ชาย กระหม่อมจะนำพระบัญชาของพระองค์ไปบอกกับเหล่าเสนาบดีทั้งสี่ให้ล่วงรู้”
“ไม่มีอะไรแล้วเจ้าก็ไปพักผ่อนเสียเถอะไม่ต้องมาเฝ้าข้า... ข้าไม่อยากออกไปไหนทั้งนั้น... คืนนี้อยากอยู่คนเดียวเงียบๆ แบบนี้” รับสั่งสุรเสียงแผ่วเบาก่อนจะเทขวดน้ำจัณฑ์ลงบนแก้วเสวยที่เหลือ พร้อมเสวยเข้าไปโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ท่ามกลางสายตาที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงของจินเต๋อที่ยืนมององค์รัชทายาทของตนด้วยความเป็นห่วงยิ่งนัก
“เหตุใดองค์ไทจื่อจึงทรงเสวยน้ำจัณฑ์หนักเช่นนี้นะ มีเรื่องที่ทำให้ทุกข์พระทัยเช่นนั้นหรือไร ทรงต้องการสิ่งใด อยากได้อะไรมีหรือจะไม่ได้ในเมื่อจะทรงเป็นองค์ฮ่องเต้แห่งแผ่นดินต้าถังนี้แล้วอีกเพียงไม่กี่วัน ข้าไม่อยากจะเชื่อเลย ไม่อยากจะเชื่อจริงๆ ว่าฮ่องเต้ในอนาคตจะทรงมีพระอาการคล้ายคนผิดหวังจากอะไรบางอย่าง... หรือว่า” จินเต๋อรำพึงอยู่คนเดียวก่อนจะทบทวนความทรงจำของตนเองและมาสะดุดหยุดลงเมื่อเห็นภาพวาดหญิงงามที่องค์ไทจื่อทรงทอดพระเนตรอยู่ตลอดเวลาในขณะนี้
“หรือว่าสาเหตุที่ทำให้พระองค์ทรงมีพระอาการเป็นแบบนี้ จะเป็นภาพวาดที่กำลังทรงทอดพระเนตรกระนั้นสิ! ข้าอยากล่วงรู้เหลือเกินว่า หญิงที่อยู่ในภาพวาดมีอะไรดีนักเชียวจึงทำให้ทรงเป็นเช่นนี้ไปได้”
จินเต๋อรำพึงรำพัน กงกงผู้ซื่อสัตย์ยังคงยืนเฝ้ามองไม่ยอมห่างจากหน้าพระตำหนัก แม้จะมีรับสั่งให้กลับไปพักผ่อนแล้วก็ตามแต่ก็มิอาจ จะกลับไปได้ด้วยเป็นห่วงองค์รัชทายาทที่ตนคอยเฝ้าดูแลมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ หากแม้นสามารถทำให้พระองค์กลับมาทรงพระเกษมสำราญได้อีก จินเต๋อก็จะทำเพื่อองค์รัชทายาท