ตอนที่ 20 จางลี่เซียน/1

3910 คำ
ม้าเร็วฝีเท้าจัดสองตัวถูกควบห้อตะบึงมุ่งหน้าตรงไปยังเมืองหลวงแห่งต้าถัง นั่นก็คือฉางอาน เมืองที่มีความหมายว่าความสุขชั่วนิรันดร์ ท่ามกล่างสายตาของสมาชิกบ้านตระกูลจางที่มายืนอออยู่หน้าคฤหาสน์เพื่อมาส่งจางเสี่ยวหมิงคุณชายแปดและอาจารย์ของเขาจ้าวจื่อหยางหรือแท้ที่จริงก็คือจ้าวเทียนอี้ขุนพลหนุ่มชื่อก้องแห่งต้าถัง บุคคลที่องค์รัชทายาทซึ่งกำลังจะขึ้นครองราชย์ในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ไว้พระทัยมากที่สุด ม้าฝีเท้าจัดทั้งสองตัวสามารถย่นระยะเวลาการเดินทางจากเมืองลั่วหยางไปเมืองฉางอานจากที่จะต้องเดินทางซึ่งต้องใช้เวลาประมาณโดยปกติไม่ต่ำกว่าสิบวัน กลับเหลือเพียงห้าวันเท่านั้น หลังจากที่เดินทางมาตลอดทั้งวันจวบจนกระทั่งพระอาทิตย์เริ่มลาลับขอบฟ้า วิถีชีวิตค่ำไหนนอนนั่นจึงบังเกิดขึ้น ซึ่งถือได้ว่าเป็นเรื่องปกติของแม่ทัพหนุ่ม หากแต่คนข้างกายนี่สิกลับวิตกไปต่างๆ นานาเมื่อค่ำคืนนี้จะต้องอาศัยนอนท่ามกลางป่าเขาลำเนาไพร และกองไฟอีกหนึ่งกองอยู่เพียงลำพังสองต่อสอง ดวงตาดำกลอกกลิ้งไปมาเมื่อได้ยินเสียงสัตว์ป่าร้องกึกก้องในยามค่ำคืน เพียงแค่พระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าเวลาแห่งรัตติกาลมาเยือน ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวเงียบสงัดไปหมดจนเสี่ยวหมิงอดหวาดหวั่นไม่ได้เพราะนี้เป็นครั้งแรกที่ออกเดินเดินทางไกลเช่นนี้ ในขณะที่จ้าวเทียนอี้กำลังนั่งเช็ดดาบคู่กายพร้อมจิบเหล้าอย่างสำราญท่ามกลางแสงจันทรา “ท่านอาจารย์นอนกลางป่ากลางเขาเช่นนี้ท่ามกลางเสียงสัตว์ป่า จะหลับตาลงได้อย่างนั้นหรอกหรือ ข้าพยายามตั้งหลายรอบแล้วแต่ก็หาทำได้ไม่ เหตุใดท่านจึงไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย” เสี่ยวหมิงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความกังวลอย่างเห็นได้ชัด “ข้าชินแล้วเสี่ยวหมิง ยิ่งกว่านี้ข้าก็ผ่านมาแล้ว เจ้าเคยนอนหลับท่ามกลางคนตายนับร้อยนับพันหรือไม่ ซึ่งข้าเดาได้เลยว่าเจ้าไม่เคยอย่างแน่นอน แต่ข้าผ่านมันมาหมดแล้วทั้งนั้น” คำตอบของแม่ทัพหนุ่มทำให้เสี่ยวหมิงเพิ่งนึกขึ้นมาได้ทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น “จริงสิ! ข้าทำไมถามอะไรโง่ๆ ออกไป ในเมื่อท่านพี่เทียนอี้เป็นถึงขุนพลใหญ่แห่งต้าถัง ทำศึกไปทั่วทุกแคว้นนับตั้งแต่สิ้นราชวงศ์อู่โจวของพระนางบูเช็กเทียน จักรพรรดิองค์ต่อๆ มาล้วนอ่อนแอด้วยกันทั้งสิ้น การแย่งชิงอำนาจวังหน้าก็ดุเดือด วังหลังก็อยากครอบครองอำนาจขึ้นมาเป็นใหญ่ดั่งเช่นพระนางบูเช็กเทียน มันถึงได้ฆ่ากันเองมาโดยตลอดขึ้นชื่ออำนาจใครๆ ก็อยากครอบครอง” “เฮ้อ!!!” เสี่ยวหมิงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เป็นเหตุให้แม่ทัพหนุ่มหันกลับมาสังเกตอาการศิษย์รักที่กำลังนั่งใช้ไม้เขี่ยกองไฟตรงหน้าไปมา “เจ้าไม่ได้ยินที่ข้ากล่าวเมื่อครู่หรอกหรือเสี่ยวหมิง จู่ๆ ก็เงียบงันและจู่ๆ ก็ถอนหายใจราวกับว่ามีเรื่องหนักอกเสียนี่กระไร หรือว่าเจ้าไม่อยากเดินทางไปฉางอานกับข้าแล้ว” สิ้นเสียงของเทียนอี้ เสี่ยวหมิงรีบเงยหน้าขึ้นมองแม่ทัพหนุ่มตรง หน้าทันที “ไม่ใช่นะขอรับท่านอาจารย์ ข้าก็แค่คิดอะไรเพลินๆ ไปเท่านั้นเอง อีกอย่างเสียงพวกสัตว์ป่าทำให้ข้านอนไม่หลับเลย ทั้งๆ ที่ข้าง่วงนอนจะตายอยู่แล้ว” หนุ่มน้อยหน้ามนไม่พูดเปล่า แต่กลับเผลอตัวแสดงท่าทางกระเง้ากระงอดออกมาเสียด้วย เล่นเอาคนที่กำลังมองอยู่ในขณะนี้อดแปลกใจไม่ได้กับท่าทางหญิงก็ไม่ใช่ชายก็ไม่เชิงที่เสี่ยวหมิงแสดงกิริยาออกมา “หากข้าไม่ได้อยู่ร่วมกับเจ้ามานานกว่าสามเดือน เพียงพิศแรกข้าจะคิดว่าเจ้าเป็นอิสตรีปลอมตัวมาอยู่ในร่างของบุรุษนะเสี่ยวหมิง ดูเข้าเถิด กิริยาเมื่อครู่มิสมชายชาติบุรุษแม้แต่น้อย กลับแลดูอิสตรีไปโดยปริยายเลยนะเจ้า” เสี่ยวหมิงรีบปรับกิริยาอาการของตนเองทันทีเมื่อได้ยินจ้าวเทียนอี้กล่าวออกมาเช่นนั้น “ข้าเป็นชายสมชายท่านอาจารย์ก็ล่วงรู้ดีนะขอรับ เพียงแต่ที่แสดงออกมาเมื่อกี้คงเป็นเพราะคิดถึงท่านแม่มากไปกระมังเวลาท่านแม่งอนให้ท่านพ่อ มักจะแสดงอาการเช่นนี้ก็เลยเผลอตัวเลียนแบบก็แค่นั้นเอง... จริงๆ นะขอรับ” จ้าวเทียนอี้คลี่ยิ้มออกมาบางๆ ก่อนจะหัวเราะเบาๆ ในลำคอเมื่อเห็นหนุ่มน้อยรีบแก้ตัว แต่ก็ไม่วายแสดงสีหน้าคล้ายอิสตรีอยู่ร่ำไป “อย่าเผลอตัวของเจ้าบ่อยไปนักเสี่ยวหมิง หาไม่แล้วเจ้าจะกลาย เป็นพวกตัดชายเสื้อให้ผู้คนพากันไปนินทาเอาได้ล่วงรู้หรือไม่” คำกล่าวของแม่ทัพหนุ่มทำให้คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น “พวกตัดชายเสื้ออย่างนั้นเหรอ” หนุ่มน้อยรำพึงออกมาเบาๆ ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อนึกถึงตำราประวัติศาสตร์ในสมัยปัจจุบันว่า พวกตัดชายเสื้อมีความหมายว่าอย่างไร “พวกตัดชายเสื้อในสมัยโบราณ เรียกแทนพวกชายรักชายหรือพวกเกย์ นี่ข้าแสดงอาการล่อแหลมเข้าข่ายคนพวกนั้นเหรอเนี่ย... ไม่นะ... ไม่จริง... ต่อไปข้าจะต้องไม่หลุด... จะต้องไม่หลุด” เสี่ยวหมิงพูดพลางแสดงสีหน้าขึงขังออกมาทันทีท่ามกลางสายตาของเทียนอี้ที่กำลังนั่งมองอยู่ตลอดเวลา “เสี่ยวหมิง! เสี่ยวหมิง! เจ้าเป็นอะไรรึเหตุใดวันนี้จึงแลดูแปลกพิกลผิดกับทุกวันที่ผ่านมา” แม่ทัพหนุ่มกล่าวด้วยความสงสัยเมื่อเห็นศิษย์รักทำท่าแปลกประหลาดเดี๋ยวก็ส่ายหน้า เดี๋ยวก็ยกมือทั้งสองจับใบหน้าของตนไปมาทำสลับกันอยู่เช่นนั้น “ข้าก็แค่กำลังปฏิเสธคำกล่าวของท่านอาจารย์ที่กลัวข้าจะเป็นพวกตัดชายเสื้อ ซึ่งไม่มีวันที่จะเป็นแบบนั้นแน่นอนท่านอาจารย์ ได้โปรดเชื่อข้าด้วยเถิดนะขอรับ ข้าไม่ได้เป็นพวกนั้นจริงๆ ให้ตายสิเอ้า!” เสี่ยว หมิงลงทุนสบถคำสาบานออกมาทันที “ข้าก็แค่เตือนเจ้าเอาไว้มิอยากให้เป็นเช่นนั้น เพราะถ้าหากเจ้าเป็นเช่นนั้นจริงๆ คนที่เสียใจที่สุดเห็นทีจะไม่ใช่ตัวของข้าหรอกแต่เป็นท่านพ่อและท่านแม่ของเจ้าต่างหากที่จะต้องเสียใจในการกระทำของเจ้า หากแม้นเจ้าเป็นพวกตัดชายเสื้อจริงๆ เกิดมาเป็นบุรุษต้องใช้ชีวิตให้สมชายเข้าใจหรือไม่เสี่ยวหมิง” เทียนอี้กล่าวกำชับเสียงเข้ม “ข้าเข้าใจและจะจำเอาไว้ขึ้นใจขอรับท่านอาจารย์” เสี่ยวหมิงรับปากอย่างแข็งขันก่อนจะได้ยินเสียงของเทียนอี้เอ่ยออกมาเบาๆ “มีอีกเรื่องที่ข้าจะต้องบอกกับเจ้าเพราะอีกไม่นานก็จะถึงฉางอาน เรื่องฐานะอันแท้จริงของข้า” แม่ทัพรูปงามเอ่ยพร้อมยกขวดเหล้าขึ้นจิบก่อนจะเอ่ยขึ้น “เจ้าจะไม่ถามข้าหรือเสี่ยวหมิงว่าแท้จริงแล้วข้าปกปิดฐานะอันแท้จริงเอาไว้ทำไม” กล่าวพร้อมหันกลับไปมองหน้าเสี่ยวหมิงที่กำลังนั่งฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ “ท่านอาจารย์ถามข้าอย่างนั้นเหรอ” หนุ่มน้อยเอ่ยถามย้ำกลับไปอีกครั้ง จ้าวเทียนอี้พยักหน้าขึ้นลงติดๆ กัน “ใช่! ข้ากำลังถามเจ้าอยู่” กล่าวพร้อมยกขวดเหล้าขึ้นจิบคราวนี้ดื่มเข้าไปอึกใหญ่เลยทีเดียว “ถ้าท่านอาจารย์ถามข้าเรื่องทีท่านปกปิดฐานะอันแท้จริงไม่ให้ผู้ใดรู้ ข้าก็เข้าใจท่านนะ ตัวคนเดียวเดินทางไกลๆ แบบนี้ การเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงจะไม่ปลอดภัยกับตัวเองเอามากๆ และหากมีความจำเป็นนอกเหนือจากนั้นข้าคิดว่าท่านอาจารย์มีเหตุผลเลือกที่จะปกปิดมากกว่าเปิดเผยเพราะความจำเป็นมากกว่าการโกหกและหลอกลวงเสียมากกว่า ซึ่งไม่ว่าท่านจะมีฐานะอันแท้จริงอย่างไรก็ตาม ท่านก็คืออาจารย์ของข้าเสมอขอรับ” คำกล่าวของเสี่ยวหมิงสร้างความพึงพอใจให้แก่จ้าวเทียนอี้อย่างยิ่งยวด เมื่อได้ยินเช่นนั้น “เจ้าสมแล้วที่เป็นศิษย์ของข้าเสี่ยวหมิง ต่อไปนี้เจ้าจงล่วงรู้เอาไว้เถิดว่า อาจารย์ของเจ้าที่กำลังนั่งอยู่ตรงหน้านี้แท้จริงแล้วคือขุนพลแห่งต้าถัง นามว่าจ้าวเทียนอี้ หาใช่จ้าวจื่อหยางนักปราชญ์หนุ่มแห่งราชวิทยาลัย กั๋วจื่อแต่อย่างใด และที่ข้าเข้าบ้านตระกูลจางก็เพื่อทำตามพระบัญชาขององค์รัชทายาท มีรับสั่งให้ข้าติดตามเรื่องสำคัญบางประการและสิ่งที่ล่วงรู้มาสามารถนำกลับไปกราบทูลให้ทรงทราบตามความเป็นจริงเสียที ส่วนเรื่องอะไรนั้นอย่าล่วงรู้เลยนะเสี่ยวหมิง ลำพังการปกปิดฐานะของข้าก็ลำบากใจมากอยู่แล้ว” เทียนอี้กล่าวพร้อมมองใบหน้าหล่อเหลาของศิษย์รักก่อนจะต้องเบิกตากว้างเมื่อเห็นบางอย่างกำลังปรากฏอยู่ตรงหน้า ในขณะที่เสี่ยวหมิงเอ่ยกับอาจารย์ของตนโดยมิทันสังเกตความเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นกับตนอยู่ในขณะนี้ “ท่านอาจารย์สบายใจเถิด ไม่ต้องกังวลแม้แต่น้อย ข้าเข้าใจที่ท่านกล่าวมาทั้งหมดเพราะข้าก็คิดว่า ท่านจะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอนตั้งแต่เมื่อครั้งได้พบกันครั้งแรก เมื่อล่วงรู้แบบนี้แล้วข้าก็สบายใจขึ้นเยอะเลยเพราะได้เป็นลูกศิษย์ของขุนพลเลื่องชื่อแห่งต้าถัง และไม่ต้องหวาด กลัวสิ่งใดยามเมื่อข้าอยู่กับท่าน... มาเถอะท่านอาจารย์ คืนนี้ข้าจะดื่มเป็นเพื่อนท่านเอง หมดขวดนี้ก็ต่อขวดใหม่ยังมีอีกเพียบท่านแม่ข้าเตรียมมาให้อีกเยอะ” เสี่ยวหมิงไม่พูดเปล่าหยิบขวดเหล้าที่เทียนอี้กำลังถือค้างไว้อยู่ในมือนำมาดื่มอึกใหญ่ก่อนจะยื่นส่งให้อาจารย์ของตนตามเดิม ก่อนจะเอ่ยถามเมื่อเห็นแม่ทัพใหญ่นั่งมองตนด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยอาการตื่นตะลึง “ท่านอาจารย์! ข้ามีสิ่งใดแปลกไปกระนั้นรึ!” เสี่ยวหมิงถามกลับไป ก่อนจะเอะใจเมื่อเห็นมือเรียวสวยขาวผุดผ่องดั่งอิสตรีกำลังยื่นขวดเหล้าส่งให้อาจารย์ของตน เสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่หาใช่ผ้าไหมทอด้วยสีขาวสีขาวทั้งชุดแต่อย่างใด แต่มันกลับกลายเป็นสีแดงเพลิงขับผิวขาวผ่องนวลลออท่ามกลางแสงจันทรา เสี่ยวหมิงใจหายวาบขึ้นมาโดยพลันเมื่อเห็นความเปลี่ยนแปลงของตนเช่นนั้น ก่อนจะเงยหน้ามองพระจันทร์ที่กำลังลอยเด่นอยู่เหนือผืนฟ้าเบื้องบน “พระจันทร์เต็มดวง!” จ้าวเทียนอี้ซึ่งในขณะนี้กำลังนั่งมองสตรีสาวที่อยู่ท่ามกลางแสงจันทรา ด้วยคืนนี้พระจันทร์เต็มดวงและเป็นคืนเดือนหงายทำให้เห็นทุกอย่างได้ชัดเจน แม่ทัพหนุ่มเห็นเสี่ยวหมิงค่อยๆ กลายร่างจากบุรุษเพศเป็นอิสตรีในชุดสีแดงเพลิงท่ามกลางแสงแห่งจันทรา หญิงงามที่สะกดสายตาจนจ้าวเทียนอี้ชะงักงันทันทีที่ได้เห็น “หญิงงามผู้นี้... คือ... คือผู้ใดเล่าเหตุใดไยจึงคุ้นตายิ่งนัก” แม่ทัพหนุ่มรำพึงออกมาเบาๆ และแล้วภาพวาดของบุตรสาวคนสุดท้องแห่งบ้านตระกูลจางก็ปรากฏขึ้นมาในความคิดทันที และหญิงงามที่กำลังนั่งอยู่ตรงหน้าในขณะนี้เหมือนในภาพวาดประดุจคนเดียวกันก็มิปาน “จางลี่เซียน!” เทียนอี้เอ่ยชื่อของธิดาคนสุดท้องของจางหยวนฟู่ออกมาโดยพลัน พร้อมๆ กับการปรากฏตัวของเซียนเต่าซึ่งอยู่ทางด้านหลังของแม่ทัพหนุ่มขึ้นมาทันใด “โป๊กกก!” เซียนเต่าใช้พัดที่ถืออยู่ในมือเคาะลงบนศีรษะของแม่ทัพใหญ่แห่งต้าถัง จนร่างสูงใหญ่ร่วงหล่นลงไปนอนกับพื้นหญ้าทันที “ตุ้บ!” เทียนอี้สลบเหมือดสิ้นสติไปชั่วพริบตาโดยมิทันได้เอ่ยกับหญิงงามที่อยู่ในหัวใจของตนสักเพียงคำ “นังหนู!!! ตอนนี้เจ้าคืนร่างเดิมแล้ว จงรีบดื่มน้ำทิพย์จากยอดเขาดอกบัวเร็วเข้า! เหตุใดจึงเลินเล่อเช่นนี้นะปล่อยให้จ้าวเทียนอี้เห็นร่างจริงของเจ้าได้อย่างไรกัน” เซียนเต่าเอ่ยตำหนิเสียงเข้มในขณะที่อีกฝ่ายเพิ่งจะหายจากอาการตกตะลึงเมื่อครู่ที่ผ่านมา “ขะ... ข้า... ข้ามิรู้ว่าคืนนี้พระจันทร์จะเต็มดวง เมื่อครู่ยังไม่เห็นดวงจันทร์โผล่ออกมาเลย จึงมิรู้ว่าถูกอาบแสงจันทร์ตั้งแต่ตอนไหน แล้วนี่ท่านพี่เทียนอี้เห็นกายจริงของข้าปรากฏแล้วจะทำเช่นไรดี” “ข้าจัดการทำให้หลับไปแล้ว ส่วนเรื่องเห็นกายจริงของเจ้าก็จงบอกว่าเพราะดื่มหนักข้าจะเสกคาถาทำให้จ้าวเทียนอี้มีอาการเมามายจนปวดหัวมากเพราะดื่มเหล้ากับเจ้าหนักไปหน่อย แล้วนี่ชักช้าอยู่ไยรีบดื่มน้ำทิพย์ได้แล้ว เมื่อคืนร่างเป็นบุรุษแล้วก็จงรีบหาผ้ามาคลุมกายให้มิดชิดอย่าได้อาบแสงจันทราอีกเด็ดขาด และจงจำเหตุการณ์ในคืนนี้เอาไว้ให้ดี รู้หรือไม่ว่ามันมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตของเจ้าในการกลับมาครั้งนี้” เซียนเต่าเอ่ยเตือนด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ข้าจะจำเอาไว้ให้ขึ้นใจ และขอบพระคุณท่านเป็นยิ่งนัก ที่มาช่วยเหลือข้าได้ทันเวลา หาไม่แล้วกายจริงของข้าต้องถูกเปิดเผยเป็นแน่แท้” กล่าวพร้อมรีบใช้มือล้วงเข้าไปในอกเสื้อพร้อมขวดหยกสีขาวตามติดมือมาด้วย ขวดหยกถูกเปิดจุกออกอย่างรวดเร็ว ก่อนจะนำมาหยดใส่ปากติดต่อกันสามหยดอย่างรวดเร็ว ร่างหญิงงามที่ปรากฏอยู่เมื่อครู่ที่ผ่านมา เลือนหายไปโดยพลันกลับกลายเป็นร่างของจางเสี่ยวหมิงเข้ามาแทนที่ ท่ามกลางความโล่งใจของเซียนเต่าที่ยืนมองร่างบุรุษที่กลับมาอย่างสมบูรณ์ “โชคยังดีที่ข้ายังไม่เข้าญาณ จึงออกมาช่วยเจ้าได้ทันเวลา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะออกมาช่วยเจ้าได้เสียทุกครั้งหรอกนะ และอีกไม่นานข้าจะต้องเข้าบำเพ็ญตบะ เห็นแบบนี้แล้วเป็นห่วงเจ้าเสียนี่กระไร เจ้านี่นะทำให้ข้าต้องกังวลใจอยู่ตลอดเลยสินะฟางเซียน” เซียนเต่ายังคงบ่นรำพึงรำพันมิรู้วายด้วยความเป็นห่วง “ท่านเซียนอย่าวิตกกังวลกับข้าอีกเลย ข้าขอสัญญาว่าจะคอยดูแลตัวเองให้ดี และพยายามสังเกตท้องฟ้าเบื้องบนและดวงจันทราให้บ่อยขึ้น จะไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีกแน่นอนขอรับข้าขอสัญญา” เสี่ยวหมิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงแข็งขัน “ถ้าเช่นนั้นก็ดีข้าจะได้สบายใจ เจ้าก็จัดการทางนี้ต่อก็แล้วกัน ข้าร่ายมนตร์เมามายเรียบร้อยแล้ว พรุ่งนี้เทียนอี้ของเจ้าจะตื่นขึ้นมาพร้อมกับอาการเมาจนลุกไม่ขึ้นเลยทีเดียว และเหตุการณ์คืนนี้จะทำให้คิดว่าเป็นเพราะดื่มมากจนเกินไปเป็นสิ่งที่แนบเนียนที่สุด คนฉลาดเช่นนี้ก็ต้องใช้วิธีที่ชาญฉลาดและแกมโกงกว่า” เซียนเต่ากล่าวพร้อมเริ่มสำรวจไปรอบๆ บริเวณ ก่อนจะใช้พัดประจำกายโบกสะบัดไปมาจนรอบทิศ พร้อมหันใช้พัดชี้ไปที่กองไฟตรงหน้าจนลุกโชติช่วงยิ่งไปกว่าเดิม “เจ้าจงรีบพักผ่อนเอาแรงเสียเถิดฟางเซียน ส่วนเรื่องสัตว์ป่าไปต้องห่วงข้าร่ายเวทกำบังพวกเจ้าทั้งสองคนเอาไว้หมดแล้ว ไม่ว่าคนหรือสัตว์จะไม่มีทางเห็นพวกเจ้าแน่นอน กองไฟที่อยู่ตรงหน้าจะลุกโชนให้ไออุ่นอยู่ตลอดเวลา ครั้นเมื่อพระอาทิตย์ขึ้นก็จะดับไปเอง”เซียนเต่ากล่าวพร้อมหัวเราะออกมาเบาๆ ในลำคอ “ข้าขอขอบพระคุณท่านมากขอรับที่คอยช่วยเหลือและดูแลข้ากับพี่เทียนอี้มาโดยตลอด” ฟางเซียนในร่างของเสี่ยวหมิงเอ่ยขอบคุณพร้อมก้มคำนับ “มันเป็นหน้าที่ของข้าที่จะต้องคอยปกป้องดูแลเจ้าและโอรสแห่งสวรรค์อยู่แล้ว รีบพักผ่อนเสียเถิด หนทางไปฉางอานยังอีกยาวไกลนักกว่าจะถึง” เซียนเต่ากล่าวพร้อมโบกสะบัดพัดไปมาก่อนจะเลือนหายไปโดยพลัน เสี่ยวหมิงรีบหาผ้ามาคลุมร่างของตัวเองอย่างมิดชิด ก่อนจะไปจัดการท่าทางการนอนของแม่ทัพลือนามให้นอนหลับในท่าสบายพร้อมนำเหล้าที่อยู่ในห่อผ้ามาเทลงบนพื้นจนหมดทุกขวด ก่อนจะนำมาวางใกล้ๆ กองไฟที่กำลังลุกโชนอยู่ในขณะนี้ “ข้าขอโทษนะท่านพี่ที่จะต้องทำแบบนี้ แต่เพื่อรักษาชีวิตของท่านให้ต้องทรมานใจและทรมานตัวเองกว่านี้ข้าก็จะทำเพื่อให้ท่านรอดตามลิขิตจากสรวงสวรรค์” เสี่ยวหมิงกล่าวพร้อมค่อยๆ ทรุดกายลงนอนใกล้ๆ ร่างใหญ่ของแม่ทัพหนุ่มที่กำลังนอนหลับใหลด้วยมนตร์เมามายของเซียนเต่า ผ้าคลุมผืนใหญ่ถูกแผ่ออกกว้างเพื่อปกปิดร่างของทั้งสองให้อบอุ่นขึ้นจากอากาศที่หนาวเย็นในยามค่ำคืน เวลาค่อยๆ เดินผ่านไปอย่างช้าๆ จากค่ำคืนแห่งรัตติกาลก้าวเข้าสู่รุ่งอรุณของชาววันใหม่ พระอาทิตย์เริ่มโผล่ขึ้นเหนือขอบฟ้ารำไร ทว่าสายหมอกหนายังคงปกคลุมเทือกเขาสูงจนไปถึงพื้นราบไปทั่วบริเวณ ทำให้อากาศยังคงเย็นยะเยือกจนร่างของบุรุษที่กำลังนอนหลับสนิทอยู่ท่ามกลางป่าเขาในขณะนี้ เริ่มขดตัวงอเพราะความหนาวเย็นข้างกองไฟที่ลุกโชนมาตลอดทั้งคืน ร่างสูงใหญ่ของแม่ทัพหนุ่มรูปงาม เริ่มขยับเขยื้อนไปมาหลังจากหลับใหลมาตลอดทั้งคืนด้วยมนตร์เมามายของเซียนเต่า ใบหน้าหล่อเหลาส่ายไปมาพร้อมเปลือกตาที่ปิดสนิทเริ่มค่อยๆ เปิดขึ้นอย่างช้าๆ จนเห็นแสงของพระอาทิตย์แยงเข้าดวงตาได้อย่างชัดเจน มือหนายกขึ้นบังแสงอย่างรวดเร็วพร้อมยันกายใหญ่ของตนให้ลุกขึ้นนั่ง “โอะ! โอ๊ย! เหตุใดข้าจึงปวดหัวแทบจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เช่นนี้นะ ไยจึงปวดหัวเช่นนี้” เทียนอี้บ่นรำพึงก่อนจะเห็นขวดเหล้ามากมายวางกองเต็มหน้ากองไฟที่เพิ่งมอดดับลง ดวงตาดำใหญ่มองไปที่ร่างศิษย์รักเขม็งเมื่อเห็นกำลังนอนขดอยู่ใต้ผืนผ้าคลุมใหญ่ หนุ่มน้อยหน้ามนยังคงหลับสนิทไม่รู้เรื่องรู้ราว ในขณะที่คนเป็นอาจารย์นั่งครุ่นคิดถึงภาพเหตุการณ์เมื่อคืนที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าอย่างมิรู้วาย “เสี่ยวหมิง! เหตุใดเมื่อคืนนี้ข้าจึงเห็นสิ่งแปลกประหลาดเกิดขึ้นกับตัวเจ้าด้วยนะ เหตุใดจึงเห็นเจ้ากลายเป็นจางลี่เซียนบุตรีคนสุดท้องของท่านผู้เฒ่าจางไปได้ แต่ข้ามั่นใจว่าตาไม่ฝาดแน่นอนข้าเห็นจริงๆ” สิ้นเสียงรำพึงรำพัน อาการปวดหัวรุนแรงพลันปรากฏขึ้นทันใด จนแม่ทัพรูปงามถึงกับยกสองมือกุมขมับเอาไว้ทั้งสองข้างเลยทีเดียว "โอ๊ยยยย!!! ข้าปวดหัว... ปวดเหลือเกิน" และเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังกล่าวทำให้ศิษย์รักซึ่งกำลังนอนหลับสนิทอยู่ในขณะนั้นตื่นจากนิทราขึ้นมาทันที พร้อมรีบรุดเข้าประคองอาจารย์ของตนด้วยความเป็นห่วง “ท่านอาจารย์! ท่านอาจารย์เป็นอย่างไรบ้างขอรับ นี่ท่านเป็นอะไร... เจ็บปวดตรงไหนอย่างนั้นหรือขอรับ” “ขะ... ข้า... ข้าปวดหัวยิ่งนักเสี่ยวหมิง เหตุใดจึงปวดมากมายเช่นนี้” เทียนอี้กล่าวพลางกุมขมับมิรู้วาย ใบหน้าเหยเกด้วยความเจ็บปวดอย่างเห็นได้ชัด “สงสัยเป็นเพราะว่าท่านอาจารย์คงดื่มเหล้ากับข้าเมื่อคืนมากจน เกินไป ข้าเองก็เมาหลับไปโดยไม่รู้ตัวตั้งแต่เมื่อไรก็มิอาจรู้ได้ แสดงว่าท่านอาจารย์คงดื่มเหล้าต่อเพียงลำพังแต่ผู้เดียวจนหมดกระมัง ข้าเองก็ลืมบอกท่านไปว่าเหล้าที่ท่านแม่ให้มานั้นแรงยิ่งนัก หมักเอาไว้หลายปีจนเข้มข้นเวลาดื่มจะลื่นคอทำให้ดื่มติดต่อกันไม่มีหยุดแต่ถ้าลุกขึ้นเมื่อไรจะสิ้นสติเมามายข้ามวันข้ามคืนเลยนะขอรับ” เสี่ยวหมิงเอ่ยคำเท็จสร้างเรื่องชี้แจง “นี่เจ้ากำลังจะบอกข้าว่าขวดเหล้าตรงหน้าทั้งหมด เจ้ากับข้าพากันดื่มเมื่อคืนอย่างนั้นหรอกหรือ แต่ที่ข้าจำได้ ข้ากำลังดื่มเหล้าเพียงขวดเดียวเท่านั้นนะ” แม่ทัพหนุ่มกล่าวย้อนแย้งออกไปด้วยเพราะจดจำได้แต่ก็ชักจะไม่แน่ใจเสียเท่าไรแล้วในตอนนี้ “เป็นความจริงดั่งคำข้าขอรับท่านอาจารย์ ข้ากับท่านดื่มด้วยกันหลายขวดเลยทีเดียวก่อนที่ข้าจะเป็นฝ่ายเมาหลับไปก่อน ถ้าไม่ใช่เพราะดื่มหนักมากไปขวดเหล้าพวกนี้จะวางเกลื่อนอยู่ตรงนี้ทำไมเล่าขอรับ” เสี่ยวหมิงยังไม่ละความพยายาม เอ่ยเจรจาจนเทียนอี้คล้อยตามเห็นดั่งคำของศิษย์รัก “คงจะเป็นดั่งคำของเจ้า หาไม่แล้วข้าจะปวดหัวแทบแตกเช่นนี้ได้อย่างไร เอาเถิดเสี่ยวหมิง เดี๋ยวข้าขอพักอีกสักหน่อยพออาการปวดหัวทุเลาลงแล้วค่อยเดินทางต่อ จากนี้ไปต้องเร่งฝีเท้าม้าเพราะข้าต้องกลับไปก่อนที่จะถึงวันขึ้นครองครองราชย์ขององค์รัชทายาท มีหลายเรื่องที่ข้าจะต้องเข้าเฝ้าและจะต้องกราบทูลให้ทรงทราบ” “ถ้าเช่นนั้นท่านอาจารย์พักก่อนเถิด ข้าจะก่อไฟเพื่อชงชาผสมสมุนไพรแก้อาการเมาค้างให้ท่านได้ดื่ม อาการปวดหัวจะได้ทุเลาเบาบางลงไปนะขอรับ” เทียนอี้พยักหน้าขึ้นลงติดๆ กัน ก่อนจะเอนตัวลงนอนพร้อมใช้ห่อผ้าของตนหนุนศีรษะให้ยกขึ้นสูง ดวงตาดำใหญ่ยังคงเฝ้ามองหนุ่มน้อยหน้ามนตรงหน้าที่กำลังสาละวนก่อไฟอยู่ในขณะนั้น ท่ามกลางความคิดร้อยแปดพันประการจนอาการปวดหัวทวีขึ้นมาอีกจนใบหน้าหล่อเหลาเหยเกเพราะความเจ็บปวด และจะปวดหัวรุนแรงทุกครั้งหากย้อนคิดถึงเหตุการณ์เมื่อค่ำคืนวาน “ข้าจะต้องสลัดวามคิดบ้าๆ นี่ออกไปเสียแล้ว ยิ่งคิด ยิ่งปวดหัวอยู่ร่ำไป คงจะจริงดั่งคำกล่าวของเสี่ยวหมิง หาไม่แล้วจะปวดหัวจนแทบแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เช่นนี้ได้อย่างไร เห็นทีเหล้าบ่มของบ้านตระกูลจางข้าขอลิ้มลองเพียงเท่านี้แม้ว่ารสชาติจะล้ำเลิศ ทว่าดื่มเข้าไปมากแล้วเป็นแบบนี้เห็นทีข้าขอผ่านจะเป็นการดี” แม่ทัพหนุ่มพึมพำอยู่ภายในใจก่อนจะหลับตาลงอีกคราเพื่อให้อาการปวดหัวทุเลาลงเมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้ง
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม