เรือนตะวันตก
ภายในห้องหนังสือ
“หะ... หา! ใต้เท้าจ้าวว่ายังไงนะ จะนำเสี่ยวหมิงเข้าไปถวายงานในราชสำนักอย่างนั้นหรือขอรับ” หยวนฟู่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเบาหวิวเมื่อได้ยินว่าบุตรชายคนเล็กจะเดินทางเพื่อติดตามอาจารย์ของตนเข้าไปในเมืองหลวง
“ท่านได้ยินไม่ผิดหรอกท่านผู้เฒ่า เสี่ยวหมิงต้องการจะไปสะสมประสบการณ์ ณ หอสมุดหลวง ในราชสำนักซึ่งผู้ใดสามารถเข้าไปในสถานที่ดังกล่าวแล้ว ล้วนแล้วแต่เป็นผู้รอบรู้ด้วยศาสตร์ทุกแขนงของแผ่นดินต้าถังด้วยกันทั้งสิ้น ระยะเวลากว่าสามปี จนกว่าการสอบจอหงวนจะเวียนมาบรรจบครบอีกครั้ง เสี่ยวหมิงนอกจากจะผ่านการคัดเลือกเป็นจอหงวนแล้วยังถูกแต่งตั้งให้เป็นขุนนางระดับสี่ รั้งตำแหน่งจ้าวเมืองทันที”
สิ้นเสียงของแม่ทัพเทียนอี้ ใบหน้าที่แสดงออกถึงความเคร่งเครียดของจางหยวนฟู่เริ่มคลี่คลายลงไปโดยพลัน
“เสี่ยวหมิงบุตรของข้าได้ก้าวถึงระดับนั้นเชียวหรือใต้เท้า ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ” ชายชราพึมพำออกมาเบาๆ
“เป็นจริงดั่งคำที่ข้าพูดท่านผู้เฒ่าจาง ด้วยเพราะสั่งสมประสบ-การณ์ในหอสมุดหลวงมาก่อนเช่นนี้แล้วท่านผู้เฒ่ามิต้องเป็นกังวลแต่อย่างใด บุตรชายคนเล็กของท่านได้เป็นขุนนางชั้นสูงแน่นอน และมีโอกาสก้าวถึงตำแหน่งเสนาบดีเลยนะท่านผู้เฒ่า”
หยวนฟู่ยืนฟังด้วยอาการตื่นเต้นแทบจะไม่อยากเชื่อว่าบุตรของตนจะได้โอกาสเช่นนั้น ผิดกับเมื่อครู่ที่ผ่านมาซึ่งมีอาการหวาดกลัวขึ้นมาทันทีเพียงแค่ได้ยินว่าจะเข้าไปในราชสำนัก เพราะเป็นห่วงบุตรในอุทรอย่างยิ่งยวด
“ใต้เท้าแน่ใจเช่นนั้นจริงหรือขอรับว่าเสี่ยวหมิงลูกของข้าจะสามารถทำได้ ข้าเกรงว่าจะทำให้ท่านต้องผิดหวังหากไม่สามารถทำอย่างที่กล่าวไว้ไม่ได้” หยวนฟู่มิวายที่จะกล่าวถ้อยคำที่เต็มไปด้วยความกังวล
“ไม่เลยท่านผู้เฒ่าจาง เสี่ยวหมิงของท่านพิสูจน์ให้ข้าได้เห็นหลายสิ่งหลายอย่าง บุตรชายของท่านนั้นมีความรู้แตกฉานเป็นพื้นฐานเดิมที่ดีอยู่ก่อนแล้ว เมื่อรับองค์ความรู้ของข้าเข้าไปทั้งบู๊และบุ๋น ยอดคนจึงบังเกิด ภายภาคหน้าจางเสี่ยวหมิงของท่านจะทำให้ตระกูลจางมีเกียรติสูงสุดที่ได้ถวายการรับใช้แด่องค์ฮ่องเต้ ขุนนางระดับเสนาบดีไม่ไกลเกินเอื้อม ซึ่งอันที่จริงแล้วตระกูลจางของท่านก็เป็นตระกูลชั้นสูงคอยรับใช้อดีตฮ่องเต้ตั้งแต่แรกตั้งราชวงศ์ถังมิใช่หรอกรึ”
หยวนฟู่ก้มคำนับให้กับขุนพลหนุ่มเมื่อได้ยินคำกล่าวเช่นนั้น
“ตระกูลจางที่คอยถวายการรับใช้องค์ฮ่องเต้ตั้งแต่ยุคต้นราชวงศ์ เป็นตระกูลที่อยู่ฉางอาน มิเกี่ยวข้องกับสายตระกูลจางทางลั่วหยางแต่อย่างใด ตระกูลจางที่มาจากสายเมืองลั่วหยางส่วนใหญ่จะเป็นพ่อค้าเล็กๆ ธรรมดาเช่นข้าเท่านั้นขอรับ หาใช่ตระกูลจางชั้นสูงดั่งที่ท่านเอ่ยถึงแต่อย่างใด
“เป็นเช่นนั้นหรอกหรือท่านผู้เฒ่า... คราแรกข้านึกว่าเป็นสายตระกูลเดียวกันเสียอีก”
หยวนฟู่ส่ายหน้าไปมาติดๆ กันเป็นการปฏิเสธ
“หากแม้นว่าเสี่ยวหมิงมีบุญวาสนาสามารถเข้ารับราชการจนได้เป็นขุนนางระดับสูงถึงเพียงนั้น ก็นับว่าเป็นความโชคดีของตระกูลจางของข้าเป็นยิ่งนัก เมื่อข้ารู้เช่นนี้แล้วก็มิอาจขัดความเจริญของลูกแต่อย่างใด เพียงแต่อดใจหายมิได้เท่านั้น ว่าจากกันคราวนี้ อีกนานเพียงใดกันเล่าจึงจะได้เห็นหน้ากันอีก” หยวนฟู่เอ่ยออกมาเสียงเบาหวิว
“ท่านผู้เฒ่าสบายใจเถิด ช่วงที่ยังไม่เข้าไปในราชสำนักเสี่ยวหมิงจะพักอยู่ที่บ้านข้าในเมืองฉางอานตลอดเวลา หากแม้นท่านผู้เฒ่าเดินทางมาที่ฉางอานก็สามารถมาเยี่ยมได้ตลอด หรือไม่ข้าจะบอกกับทุกๆ คนว่าเสี่ยวหมิงเป็นญาติของข้า หากแม้นได้เข้าวังไปแล้วก็ตาม แต่ก็สามารถกลับมาพำนักที่บ้านของข้าได้ตลอดเวลาไม่ต้องไปนอนในวัง สะดวกต่อทุกฝ่าย ท่านผู้เฒ่าก็ไม่ต้องห่วงเช่นนี้ดีหรือไม่” เทียนอี้เสนอความคิดเห็นของตนออกมาอย่างรวดเร็ว มิรู้เป็นเพราะอะไรจึงออกหน้าให้เด็กหนุ่มผู้นี้ยิ่งนัก
คำกล่าวของจ้าวเทียนอี้ทำให้ประมุขบ้านตระกูลจางถึงกับฉีกยิ้มออกมาได้เมื่อได้ยินเช่นนั้น
“ขอบคุณใต้เท้าขอรับ ข้าขอขอบคุณท่านยิ่งนักที่เมตตาเสี่ยวหมิงลูกชายของข้า... ข้าขอบคุณท่านมากจริงๆ” หยวนฟู่ก้มคำนับแล้วคำนับอีกให้แก่แม่ทัพหนุ่ม จนอีกฝ่ายต้องรีบเข้าห้ามปราม
“ไม่ต้องคำนับข้าอีกแล้วท่านผู้เฒ่า เรื่องเล็กน้อยเพียงแค่นี้เอง... ข้าก็รักและเอ็นดูเสี่ยวหมิงประดุจน้องชายของข้าจริงๆ มีสิ่งใดที่ข้าช่วยได้จะช่วยอย่างเต็มที่เลยทีเดียว
“นับเป็นบุญวาสนาของเสี่ยวหมิงยิ่งนัก ที่ได้รับการเอ็นดูจากผู้หลักผู้ใหญ่ ถ้าเช่นนั้นข้าจะได้ให้บ่าวไพร่เตรียมข้าวของจำเป็นที่จะต้องใช้ในการเดินทางเพื่อจะได้ไม่ขาดแคลน ว่าแต่จะพากันเดินทางไปฉางอานกันเมื่อไรหรือขอรับ”
“ข้าจะเดินทางกลับฉางอานในอีกสามวันข้างหน้า ถ้าจะให้ดีขอเพียงแค่ม้าฝีเท้าดีเพียงสองตัวก็พอให้ข้ากับเสี่ยวหมิง นอกนั้นมิต้องการอะไร เวลาข้าเดินทางไม่ต้องการสิ่งใดมากกว่านี้ บ่าวไพร่ไม่เอา เงินทองไม่ต้อง ขบวนเกี้ยวยิ่งไม่ต้องนำมาร่วมเดินทางเพราะจะเป็นเป้าให้กลุ่มโจรดักปล้น ข้าขอเพียงแค่นี้เท่านั้น” เทียนอี้กล่าวน้ำเสียงจริงจัง
“ข้าจะจัดหาในสิ่งที่ท่านต้องการทุกอย่างไม่ต้องห่วงขอรับใต้เท้า ถ้าจะมีไปเพิ่มก็คงจะเป็นพวกอาหารต่างๆ ที่จำเป็นต้องมีเวลาเดินทางไกลจะได้ไม่หิว ถ้าเช่นนั้นแล้วข้าจะไปบอกฮูหยินกับลูกชายคนอื่นๆ ของข้าให้ล่วงรู้ว่าเสี่ยวหมิงจะเดินทางไปฉางอานกับท่าน” หยวนฟู่กล่าวพร้อมทำท่าจะขอตัวก่อนจะได้ยินเสียงของแม่ทัพหนุ่มเอ่ยขึ้นเมื่อนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
ม้วนกระดาษที่ถูกจิตรกรเอกบรรจงสะบัดปลายพู่กันวาดสตรีสาวนางหนึ่ง ซึ่งมีความงดงามอย่างยิ่งยวดถูกเก็บไว้กับตัวจ้าวเทียนอี้ตลอดเวลา บัดนี้เห็นสมควรจะต้องส่งนำส่งคืนประมุขของตระกูลจางเสียที ด้วยเพราะตลอดสามเดือนที่ผ่านมา แม่ทัพหนุ่มมิสามารถหาข่าวสารเพิ่มเติมสตรีในภาพวาดตามพระบัญชาขององค์รัชทายาทได้อีกเลย จะเก็บเอาไว้กับตัวก็เปล่าประโยชน์ ครั้นจะคืนกลับไปก็เกิดอาการใจหายเสียทุกคราด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ใจตัวเองว่าได้ตกหลุมรักหญิงงามในภาพวาดเข้าให้แล้วนั่นเอง จนแล้วจนรอดก็มิได้ส่งคืนเสียที
“เดี๋ยวก่อนท่านผู้เฒ่า!” เทียนอี้เอ่ยทักท้วงก่อนจะก้าวเดินเข้าไปหาพร้อมสอดมือหนาเข้าไปในอกเสื้อของตนก่อนจะดึงออกมาพร้อมกับม้วนกระดาษเล็กๆ พร้อมยื่นส่งให้
“พอดีว่าข้าไปเดินดูของใช้ส่วนตัวที่ตลาดมา เห็นร้านขายภาพวาดตั้งอยู่ใจกลางตลาดบอกว่าภาพวาดนี้เป็นของตระกูลจางให้นำมาคืนกับท่านด้วย ข้าก็เลยอาสารับมาเพื่อคืนให้ถึงมือท่านผู้เฒ่า” เทียนอี้ไม่พูดเปล่าคลี่ม้วนกระดาษนั้นออกมาทันทีท่ามกลางอาการตกใจของหยวนฟู่อย่างเห็นได้ชัด
“ตะ... ใต้เท้า!” หยวนฟู่เกิดอาการติดอ่างขึ้นมาทันที
“เจ้าของร้านนั้นบอกกับข้าว่า ภาพวาดนี้เป็นภาพบุตรีของท่านเพียงคนเดียวเป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่ ท่านผู้เฒ่าถ้าเป็นเช่นนั้นจริงก็ได้โปรดเก็บไว้เถิด” เทียนอี้กล่าวพร้อมยืนสังเกตอาการตกใจจนแสดงอาการอึกๆ อักของหยวนฟู่อย่างเห็นได้ชัดจนเกิดความสงสัยกับท่าทีดังกล่าวขึ้นมาทันที
“ข้าทำสิ่งใดผิดกระนั้นหรือท่านผู้เฒ่าจาง รู้สึกว่าท่านตกใจมากเลยนะที่เห็นภาพนี้” เทียนอี้พูดพร้อมจับสังเกตชายชราตรงหน้าเขม็ง
ข้างฝ่ายหยวนฟู่ก็ไม่คิดว่าจะได้เห็นภาพวาดของลี่เซียนในสถาน-การณ์แบบนี้ ซ้ำร้ายคนที่นำมาให้ก็เกี่ยวข้องกับเมืองหลวงและต้องเข้าออกวังหลวงอยู่ตลอดเวลาทำให้ประมุขตระกูลจางเกิดหลุดอาการที่สามารถจับผิดออกมาได้ก่อนจะรีบแก้ไขสถานการณ์ให้กับตัวเองอย่างเร่งด่วน
มือหนารับภาพวาดหญิงสาวที่แสนจะงดงามเอาไว้ในมือ ก่อนจะแสร้งทำเป็นถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“เฮ้อ! ลี่เซียนลูกรักของพ่อ ป่านนี้เจ้าคงจะไปจุติเป็นเทพธิดาบนสรวงสวรรค์แล้วใช่ไหมลูก” หยวนฟู่พึมพำอยู่กับภาพวาดทำให้เทียนอี้ยืนฟังอยู่ในขณะนั้นรำพึงอยู่ภายในใจ
“หญิงงามในภาพวาดมีตัวตนจริงๆ หรือนี่”
“เหตุใดท่านผู้เฒ่าจึงมีท่าทางเศร้ายิ่งนัก นี่ข้ากำลังมอบสิ่งที่ทำให้ท่านเศร้าหมองอย่างนั้นหรอกหรือ” เทียนอี้เอ่ยถามเข้าประเด็นทันที
“ท่านไม่ได้ทำสิ่งใดให้ข้าเศร้าเลย เป็นข้าต่างหากที่เศร้าใจเอง ภาพวาดนี้คือลี่เซียนบุตรสาวคนสุดท้องของข้าเอง ข้าพยายามที่จะไม่เห็นสิ่งใดที่เกี่ยวข้องกับลูกของข้าคนนี้ เพราะยิ่งเห็นก็จะทำให้คิดถึงและยิ่งเศร้าใจมากไปกว่าเดิมเพราะความคิดถึงลูกของข้ายิ่งนัก”
“ในเมื่อท่านคิดถึงนางยิ่งนัก เหตุใดจึงมิไปเยี่ยมเยือนนางกันเล่าหรือว่า นางอยู่ห่างไกลเกินไปอย่างนั้นรึ” เทียนอี้ค่อยๆ ตะล่อมถาม
“ใช่ขอรับ นางอยู่ห่างไกลข้ากับฮูหยินและบรรดาพี่ๆ ของนางทั้งแปดคนยิ่งนัก เพราะบุตรสาวเพียงคนเดียวของข้าคนนี้นางได้จากไปแล้วเมื่อหกเดือนก่อน หลังจากไปรักษาอาการป่วยที่เทือกเขาซงซานแต่ก็ไม่ดีขึ้น ก่อนจะจากไปอย่างสงบ ป่านนี้คงจะกลายเป็นเทพธิดาอยู่บนสรวงสวรรค์แล้วกระมัง หากนางยังอยู่เดือนหน้าก็จะอายุครบสิบแปดปีแล้ว”
“แปล๊บบบบ!!!!” จ้าวเทียนอี้รู้สึกเจ็บปวดแปลบเข้าไปถึงขั้วหัวใจจนบอกไม่ถูก เหตุใดจึงรู้สึกใจหายและเศร้าใจเช่นนี้หนอ คำกล่าวของหยวนฟู่ทำให้จ้าวเทียนอี้เริ่มลำดับภาพออกมาได้อย่างคร่าวๆ ทันที ว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง
“ข้าเสียใจด้วยนะท่านผู้เฒ่ากับการจากไปของบุตรีเพียงคนเดียวของท่านกับฮูหยินจาง” แม่ทัพหนุ่มกล่าวด้วยความรู้สึกที่ออกมาจากใจจริงของเขา น้ำเสียงดุดันเมื่อเพียงครู่อ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด
“ขอบคุณขอรับใต้เท้า นางเป็นบุตรีเพียงคนเดียวที่ข้าและฮูหยิน รวมไปถึงพี่ชายทุกๆ คนต่างก็รักนางมาก ไม่คิดว่าจะอายุสั้น ทุกวันนี้ฮูหยินของข้ายังทำใจไม่ได้เลย เห็นข้าวของเครื่องใช้หรือภาพวาดที่เป็นของลี่เซียนข้าก็จะเก็บทั้งหมดไม่อยากเห็นเพื่อให้คิดถึงอีก” หยวนฟู่กล่าวพร้อมวางภาพวาดตรงหน้าเอาไว้บนโต๊ะทำบัญชีของตนก่อนจะก้าวเดินนำภาพดังกล่าวหมายเผาไฟทิ้งไปเสีย
“ท่านผู้เฒ่าหยุดก่อน! เหตุใดจึงจะเผาทำลายภาพวาดบุตรีของท่านเล่า” แม่ทัพรูปงามเอ่ยทัดทานเสียงดังพร้อมก้าวเดินเข้าไปหาหยวนฟู่อย่างรวดเร็ว ภายในใจเป็นห่วงภาพวาดตรงหน้าถูกทำลายลงยิ่งนัก
“ข้าก็จะเผาภาพวาดของลี่เซียน จะได้ไม่หลงเหลือให้ต้องคิดถึงอีก หากแม้นฮูหยินของข้ามาเห็นเข้า นางจะต้องล้มป่วยลงอีกเพราะคิดถึงลูกของข้าคนนี้” หยวนฟู่กล่าวพร้อมจ่อกระดาษไปที่เทียนไขที่ถูกจุดอยู่มุมโต๊ะหนังสือ
“ถ้าเช่นนั้นข้าขอภาพวาดนี้จากท่านก็แล้วกัน ท่านผู้เฒ่า” เทียนอี้ตัดสินใจเอ่ยออกไป ท่ามกลางความแปลกใจของหยวนฟู่เมื่อได้ยินเช่นนั้น
“ท่านจะเก็บภาพวาดลี่เซียนไปทำไมกันเล่าใต้เท้า นางไม่มีตัวตนอยู่บนผืนแผ่นดินนี้แล้ว ร่างกลับคืนสู่ปฐพี ดวงวิญญาณกลับไปสู่พระโพธิ สัตว์เจ้าแม่กวนอิมแล้ว”
“เหตุที่ข้าเก็บเอาไว้มิใช่เพื่อตัวข้าเอง แต่เพื่อตระกูลจางของท่าน สักวันหนึ่งคนในตระกูลจางจะลืมเลือนจางลี่เชี่ยนบุตรสาวผู้นี้ของท่านไปจากความทรงจำทั้งหมด แม้แต่ใบหน้าก็มิอาจจดจำได้อีก หากท่านเผาทำลายทิ้งจนหมดวันข้างหน้าหากแม้นคิดถึงนางอยากเห็นภาพนางจะมีสิ่งใดได้เห็นเล่า มาเถิดท่านผู้เฒ่าข้าเป็นคนอาสานำมาให้ท่านเช่นนั้นแล้วข้าจะเป็นผู้เก็บรักษาเอาไว้ให้เอง” แม่ทัพหนุ่มกล่าวพร้อมยื่นมือเพื่อรอรับภาพวาดตรงหน้ากลับคืนมาดั่งเดิม
หยวนฟู่เกิดอาการกลืนไม่เข้าคายไม่ออกขึ้นมาทันที จะปฏิเสธไม่ให้ก็ไม่ได้จะทำให้มีพิรุธจะเผาทำลายก็ไม่ได้อีกเพราะถูกขอร้อง ชายชราจำต้องส่งภาพวาดดังกล่าวให้กับเทียนอี้อย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้เลย
“ถ้าเช่นนั้นข้าขอมอบลี่เซียนเอาไว้ให้ใต้เท้าดูแลด้วยก็แล้วกัน” หยวนฟู่กล่าวพร้อมส่งภาพวาดตรงหน้าให้แม่ทัพหนุ่มรูปงามก่อนจะเดินออกจากห้องอย่างช้าๆ ท่ามกลางสายตาของแม่ทัพรูปงามยืนมองตามหลังจนชายชราก้าวพ้นออกจากห้องไป
จ้าวเทียนอี้หันกลับมามองสาวงามในภาพวาดตรงหน้า ก่อนจะค่อยๆ ใช้มือหนายกขึ้นสัมผัสพร้อมลูบไล้ไปมากับภาพวาดตรงหน้า
“ลี่เซียน! นั่นคือชื่อของเจ้าหรอกหรือ เสียดายยิ่งนักที่เจ้านั้นอายุสั้นแต่ข้าก็ดีใจที่เจ้ามิได้มีตัวตนอยู่ในผืนแผ่นดินนี้อีกแล้ว เพราะหากเจ้ายังอยู่ ข้าคงทุกข์ทรมานใจยิ่งนัก ที่จะต้องนำเจ้าถวายให้แก่องค์รัชทายาทซึ่งจะก้าวขึ้นเป็นจักรพรรดิอีกไม่นานนับต่อจากนี้ หากแม้นชาติหน้ามีจริงและข้านั้นมีวาสนา หวังว่าจะได้พบเจ้าอีกนะ จางลี่เซียน” แม่ทัพชื่อก้องรำพึงอยู่ภายในใจ ก่อนจะม้วนภาพวาดดังกล่าวพร้อมนำไปเก็บไว้ใต้อกเสื้อดั่งเดิม
ต่อนี้ไปหญิงงามในภาพวาดตามคำพระบัญชาขององค์รัชทายาทไร้สิ้นตัวตนอย่างแน่นอน นางพ้นทุกข์ไปมิต้องเข้าไปถวายตัวให้แก่องค์ฮ่องเต้และจะต้องใช้ชีวิตในวังหลวงท่ามกลางสายตาที่เต็มไปด้วยความอิจฉาริษยาของพระสนม และเจ้าจอมต่างๆ จนไปถึงฮองเฮา แม้ว่าภายในหัวใจของเทียนอี้จะคาดหวังลึกๆ ว่าหญิงงามในภาพวาดจะมีตัวตนจริงก็ตาม แต่ถ้าจะให้เลือกก็ขอเลือกรักคนที่ไม่ตัวตนจะดีกว่า
ซึ่งก็สมดั่งใจหวังในเมื่อจางลี่เซียนได้ลาลับจากผืนแผ่นดินนี้ไปแล้ว สตรีเพียงหนึ่งเดียวที่อยู่ภายในหัวใจของแม่ทัพหนุ่มชื่อก้องมาโดยตลอดนับตั้งแต่วินาทีแรกที่ได้เห็นภาพวาดดังกล่าวและจะคงอยู่ในหัวใจจ้าวเทียนอี้ในส่วนลึกของจิตใจตลอดไป