ตอนที่ 18 เข้าวัง/3

1654 คำ
สามเดือนผ่านไป จางเสี่ยวหมิงและแม่ทัพรูปงามในบทบาทของท่านอาจารย์ ต่างกำลังทบทวนวิชาความรู้ตั้งแต่เช้าจนถึงช่วงบ่าย จ้าวเทียนอี้ถ่ายทอดให้กับลูกศิษย์หน้ามนอย่างเต็มที่ ด้วยเพราะศิษย์รักก็ช่างมีพรสวรรค์รับองค์ความรู้จากตนได้ไปหมดทุกอย่างเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นความรู้เรื่องบู๊และบุ๋น คุณชายแปดแห่งบ้านตระกูลจางทำได้ดีกว่าที่คิดเอาไว้มากมายยิ่งนัก ประกอบกับเรื่องที่เคลือบแคลงสงสัยในตัวของลูกศิษย์ได้มลายหายไป ด้วยเพราะเซียนเต่าร่ายเวทปิดกั้นมิให้อิทธิฤทธิ์ของคัมภีร์อมตะสำแดงเดช นับตั้งแต่วันแรกที่ได้พบสิ่งแปลกประหลาดในกายของเสี่ยวหมิง จวบจนกระทั่งถึงวันนี้ก็ไม่ปรากฏให้เห็นอีกเลย ทำให้แม่ทัพใหญ่ละความสนใจที่จะสืบหาต่อไป คงเหลือแต่เพียงการสืบหาสตรีสาวที่ปรากฏอยู่ในภาพวาดจนทำให้องค์รัชทายาทต้องตามหาแทบพลิกแผ่นดิน เสียงหัวเราะของบุรุษระหว่างอาจารย์กับลูกศิษย์ดังก้องอยู่ภายในสวน ซึ่งจำลองมาจากอุทยานในพระราชวังไทจี๋ในรัชสมัยของจักรพรรดิถังไท่จง ทั่วทั้งบริเวณรายล้อมไปด้วยต้นไม้และดอกไม้นานาพรรณ สร้างบรรยากาศในการเรียนไม่ให้ตึงเครียดแม้แต่น้อย และเทียนอี้ก็พึงพอใจที่จะถ่ายทอดวิชาความรู้ของตนท่ามกลางธรรมชาติมากกว่านั่งอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมในห้องหนังสือทางเรือนตะวันตกเสียมากกว่า “เจ้าตอบคำถามของข้าได้จนหมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว แสดงให้เห็นแล้วว่าเจ้ามีความรู้ความสามารถเพียงพอที่จะเข้าไปรับใช้ในราชสำนักคอยถวายงานให้แก่องค์ฮ่องเต้ได้แล้วนะเสี่ยวหมิง” จู่ๆ เทียนอี้ก็เอ่ยถ้อยคำที่ไม่คาดคิดออกมา เล่นเอาหนุ่มน้อยหน้ามนชะงักงันขึ้นมาทันที ด้วยแม่ทัพหนุ่มเฝ้าครุ่นคิดอยู่หลายวันกับลูกศิษย์คนนี้ บางสิ่งบางอย่างลึกๆ ภายในใจต้องการให้หนุ่มน้อยหน้ามนผู้นี้อยู่ใกล้ชิดตนตลอด เวลา แต่อีกใจด้วยความรู้และความสามารถที่ได้รับไปจากตนนั้น เสี่ยวหมิงสามารถร่ำเรียนได้อย่างแตกฉานสมควรสนับสนุนให้ตระกูลจางส่งบุตรชายคนเล็กผู้นี้ให้เข้าไปถวายการรับใช้ในราชสำนักและคอยเป็นหูเป็นตาแทนตน ยามเมื่อขุนพลหนุ่มต้องทำศึกสงครามจะได้ล่วงรู้ความเป็นไปของราชสำนักได้ทั้งหมด “เหตุใดท่านอาจารย์จึงกล่าวเช่นนั้นเล่าขอรับ ข้าน่ะหรือจะได้เข้าไปถวายงานกับองค์ฮ่องเต้ แล้วการสอบเข้าเป็นจอหงวนของข้าเล่ามิต้องผ่านการสอบหรอกหรือท่านอาจารย์” เสี่ยวหมิงตัดสินใจถามกลับไปหลังจากหยุดชะงักไปหลายนาที “การเปิดสอบจอหงวนเพิ่งผ่านพ้นไปเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา และต้าถังก็ได้จอหงวนคนใหม่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขณะนี้ถูกแต่งตั้งให้ไปประจำอยู่ที่เมืองจินโจว กว่าจะเปิดสอบก็อีกสามปีข้างหน้า ข้าจึงเห็นควรให้เจ้าได้เข้าไปถวายงานในราชสำนัก ณ หอสมุดหลวงในพระราชวัง เพื่อถวายงานให้แก่องค์รัชทายาทที่กำลังจะเสด็จขึ้นครองราชย์ซึ่งใกล้จะถึงวันประกอบพระราชพิธีนี้แล้ว” เสี่ยวหมิงพยักหน้าขึ้นลงพลางคิดตาม ทว่าก็ยังมิเห็นแตกต่างประการใด “ข้าก็มิเห็นว่าจะแตกต่างตรงไหนเลยท่านอาจารย์ กล่าวให้ข้าได้รู้หรือไม่ขอรับ การเข้าไปในราชสำนักเช่นนั้นมีข้อดีและข้อเสียประการใดบ้าง” หนุ่มน้อยหน้ามนกล่าวอย่างรอบคอบ มิใช่อะไรหรอกสาเหตุที่ถามเพราะหวั่นเกรงจะต้องพานพบกับองค์ฮ่องเต้ดั่งเช่นชาติอดีตที่เคยประสบมานั่นเอง เทียนอี้คลี่ยิ้มบางๆ อย่างพึงพอใจเมื่อได้ยินลูกศิษย์หน้ามนเอ่ยถามออกมาเช่นนั้น “นับว่าเจ้าฉลาดมากที่เอ่ยถามข้าเช่นนี้ ข้อดีนั้นก็คือเจ้าจะได้ความรู้ขึ้นอีกมากมายหลายเท่าตัวนักเสี่ยวหมิง และเมื่อคราใดถึงวาระเปิดสอบจอหงวน เจ้าจะมีประสบการณ์สะสมหลายปี หากสอบผ่านไม่ใช่ขุนนางระดับห้าแต่จะถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นระดับสี่เลยทันที ได้รั้งตำแหน่งจ้าวเมืองเลยเชียวนะ” “อ๋อ... เป็นเช่นนี้เองน่ะหรือขอรับ ข้าก็เพิ่งล่วงรู้นี่เอง เรียนมาตั้งนานเพิ่งจะมากระจ่างแจ้งเมื่อท่านอาจารย์อธิบายให้ข้าฟัง อ่านแต่ตำราประวัติศาสตร์และอารยธรรมของแต่ละราชวงศ์ จนถึงยุคล่มสลายกลายเป็นสาธารณรัฐมาก็หลายเล่มไม่มีเล่มไหนระบุไว้อย่างชัดเจนแบบนี้เลย เห็นทีข้าต้องบันทึกเอาไว้ในหอสมุดหลวงเมื่อได้โอกาสเสียแล้ว” เสี่ยวหมิงกล่าวอย่างลืมตัว เมื่อเอ่ยถึงการเรียนรู้ตำราประวัติศาสตร์จีนในภพชาติปัจจุบัน เป็นเหตุให้คิ้วเข้มของเทียนอี้ขมวดมุ่นเข้าหากันเมื่อได้ยินเช่นนั้น “เหตุใดเจ้าจึงกล่าวถ้อยคำแปลกประหลาดเสียจริง สิ่งใดคืออารยธรรม สิ่งใดคือยุคล่มสลาย และอะไรคือสาธารณรัฐ ถ้อยคำเหล่านี้ข้าได้ยินจากปากเจ้าเป็นครั้งแรก ในแผ่นดินต้าถังหามีผู้ใดกล่าวถ้อยคำแปลกประหลาดเช่นนี้ออกมาแม้แต่น้อย” เทียนอี้กล่าวพร้อมมองใบหน้าศิษย์รักเขม็ง “เอาแล้วไงฟางเซี่ยน... ลืมตัวอีกแล้วช่างโง่เขลาเสียจริงๆ เลยเจ้าเอ่ยคำพวกนี้ต่อหน้าท่านพี่ จะแก้ตัวประการใดดีล่ะทีนี้ ท่านพี่เทียนอี้ฉลาดล้ำเลิศยิ่งนักและช่างสังเกตเสียนี่กระไร” “ว่าอย่างไรเสี่ยวหมิงมิได้ยินหรอกหรือที่ข้าถาม” แม่ทัพรูปงามก็ไม่วายที่จะต้องเอาคำตอบให้ได้ “อะ... เอ่อ... ข้าเองก็มิล่วงรู้หรอกขอรับท่านอาจารย์ว่าถ้อยคำเหล่านั้นแปลกประหลาดหรือไม่ เพียงแต่เมื่อครั้งได้ไปที่สำนักเส้าหลินและสนทนาธรรม รวมไปถึงได้อ่านตำรามากมายจากสำนักดังกล่าว ทำให้ได้ยินถ้อยคำเหล่านั้นมาจากหลวงจีนรูปหนึ่งที่สนทนากับข้า และข้าก็ยังจดจำได้ไม่ลืมจนได้เอ่ยกับท่านอาจารย์นี่แหละขอรับ” เสี่ยวหมิงกล่าวชี้คำเท็จเพื่อชี้แจงกลับไปและนั่นทำให้แก้สถานการณ์เอาตัวรอดไปได้อีกครา เทียนอี้พยักหน้าขึ้นลงติดๆ กันด้วยความพอใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น พร้อมตัดสินใจเอ่ยบางอย่างออกไปทันที “อีกสามวันข้างหน้าข้าจะต้องกลับฉางอานแล้ว เจ้าอยู่ทางลั่วหยางคอยทบทวนตำรับตำราและคอยฝึกกระบี่และเพลงยุทธ์ที่ข้าถ่ายทอดให้อย่างสม่ำเสมอ บอกตามตรงนะข้าอยากนำเจ้าไปกับข้าด้วยจริงๆ ไม่รู้เพราะอะไร... แต่เจ้าคงจะไม่ไปตามคำแนะนำของข้าหรอก” เทียนอี้เอ่ยจากส่วนลึกของจิตใจที่คิดออกมาแบบนั้น และนั่นทำให้คนตรงหน้าดีใจอย่างยิ่งยวดที่ได้ยินคำกล่าวออกจากปากคนรัก ก่อนจะตัดสินใจออกไปทันทีโดยไม่ต้องคิดแม้แต่น้อย “ใครบอกว่าจะไม่ไป... ข้า... ข้าจะไปกับท่านอาจารย์... ให้ข้าไปด้วยนะขอรับ... ไม่ว่าท่านอาจารย์จะอยู่แห่งหนใด ข้าขอตามไปด้วยทุกแห่งจะไม่ยอมห่างกายท่านแม้แต่น้อย ขอเพียงแค่ให้ได้รับใช้ท่านอย่างใกล้ชิดเท่านั้นก็พอ” หนุ่มน้อยหน้ามนกล่าวพร้อมแสดงสีหน้าและแววตาเพื่ออ้อนวอน “เจ้าไม่ต้องทำหน้าแบบนั้นก็ได้ เพียงแค่ถ้อยคำที่เจ้าเอ่ยออกมาก็เพียงพอแล้ว ข้าดีใจนะที่เจ้าจะติดตามข้าไปฉางอาน มันทำให้ข้ารู้สึกโล่งใจอย่างประหลาดไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลังอย่างไรก็ไม่รู้ออกไปจนหมดสิ้น ครั้นเมื่อถึงฉางอานเจ้าไปพำนักที่บ้านของข้าก่อน หลังจากนั้นจึงค่อยเข้าวัง ข้าจะหาลู่ทางให้เจ้าได้เข้าไปถวายงานในหอสมุดหลวงให้ได้” เทียนอี้กล่าวพร้อมยกมือหนาตบลงที่บ่าของลูกศิษย์หนุ่มซึ่งกำลังนั่งอยู่ตรงข้ามตน พร้อมเอ่ยขึ้น “เมื่อเจ้าไปถึงฉางอานและเข้าไปพักที่บ้านของข้า มีบางสิ่งบาง อย่างที่ข้าต้องบอกความจริงให้แก่เจ้าได้ล่วงรู้ เมื่อถึงเวลานั้นหวังว่าจะเข้าใจข้านะเสี่ยวหมิง” แม่ทัพหนุ่มกล่าวอธิบาย เสี่ยวหมิงคลี่ยิ้มออกมาบางๆ เมื่อได้ยินเช่นนั้นด้วยล่วงรู้ดีว่าสิ่งที่ขุนพลลือชื่อเอ่ยถึงนั้นคือสิ่งใด หากเป็นเรื่องของการปกปิดฐานะอันแท้จริงเป็นเรื่องเล็กน้อยยิ่งนัก หากแต่ถ้าเทียบกับคนธรรมดาที่มิล่วงรู้สิ่งใดเลย การปกปิดฐานะอันแท้จริงถ้าไม่มีเหตุเพื่อความปลอดภัยหลายต่อหลายอย่าง ก็จะมีสาเหตุเดียวนั้นก็คือการหลอกลวงซึ่งประเด็นหลังตัดไปได้เลยไม่ต้องนำมาคิด “ไม่ว่าความจริงนั้นจะเป็นสิ่งใดก็ตาม ขอท่านอาจารย์ได้โปรดวางใจเถิด ข้าเข้าใจขอรับ” เสี่ยวหมิงเอ่ยตอบกลับไปและนั่นทำให้เทียนอี้พึงพอใจอย่างยิ่งยวด “ดี! ดีมากเสี่ยวหมิง มิเสียแรงที่ข้าถ่ายทอดองค์ความรู้ทุกอย่างให้แก่เจ้าจนมิเหลือสิ้น ผู้มีปัญญาเป็นเลิศจะมีความคิดและการพิจารณาที่แยกแยะและรอบคอบเสมอ ส่วนเรื่องที่จะพาเจ้าไปกับข้าด้วยนั้น ข้าจะสนทนากับท่านพ่อของเจ้าทันทีเพื่อแจ้งให้ท่านผู้เฒ่าจางได้รับทราบล่วงหน้า” “ขอบคุณขอรับท่านอาจารย์” เสี่ยวหมิงยกสองมือประสานเข้าหากันพร้อมก้มคำนับทันที ร่างใหญ่ลุกขึ้นจากเก้าอี้นั่งที่ตั้งอยู่ติดพื้น ก่อนจะก้าวเดินออกไปจากบริเวณที่ใช้เป็นสถานที่เรียนและฝึกเพลงยุทธ์มุ่งหน้าไปยังเรือนตะวันตกอันเป็นทิศทางของห้องหนังสือ ซึ่งประมุขแห่งบ้านตระกูลจางกำลังนั่งทำบัญชีอยู่ในขณะนี้
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม