ตอนที่ 17 เข้าวัง/2

2156 คำ
ยามหนึ่ง ร่างหนุ่มน้อยหน้ามนของคุณชายเล็กแห่งตระกูลจางกำลังนิทราสนิท กำไลหยกที่อยู่ติดข้อมือบังเกิดสำแดงฤทธิ์เดชออกมาโดยพลัน แสงเรืองรองส่องประกายวูบวาบก่อนจะกลายเป็นเซียนเต่าในร่างของเทพเจ้ารูปงาม ยืนมองร่างแปลงของจางเสี่ยวหมิงที่กำลังนิทราอย่างเป็นสุข “โอ๊ย ข้าล่ะปวดหัว ทำไมจึงหลงลืมไปได้ ว่าผู้ครอบครองคัมภีร์อมตะหากโคจรมาพบกับผู้ครอบครองจารึกโบราณซึ่งสามารถไขปริศนาและอ่านคัมภีร์อมตะนั้นได้จะทำให้ผู้ครอบครองคัมภีร์ดังกล่าวสามารถเห็นร่างจริงที่แอบแฝงอยู่ภายในนั้นไม่วันใดก็วันหนึ่ง เซียนเต่าเอ๊ยเหตุใดเจ้าจึงเลินเล่อเช่นนี้ ต้องคิดหาทางออกแล้ว คิดสิคิด” เซียนหนุ่มรูปงามเดินกลับไปกลับมาภายในห้องพร้อมสะบัดพัดที่อยู่มือไปมาเพื่อใช้ความคิด โดยมิทันเห็นว่าดวงตาสีดำสนิทของหนุ่มน้อยน้อยหน้ามนกำลังมองอยู่ ร่างเพรียวลุกขึ้นพรวดพราดจากฟูกนอนอย่างรวดเร็วด้วยความตกใจ เมื่อเห็นชายหนุ่มรูปงามปรากฏกายอยู่ในห้องนอนของตน “เจ้าเป็นใคร! บังอาจเข้ามาห้องของข้า! หัวขโมยอย่างนั้นรึ!” เสี่ยวหมิงเอ่ยพร้อมรีบถลาไปคว้าดาบที่วางอยู่บนโต๊ะข้างหัวเตียงก่อนจะหยุดชะงักเมื่อเซียนเต่าโบกพัดไปมาเพียงแค่ครั้งเดียว ร่างสูงของเสี่ยวหมิงก็ถูกตรึงไว้กับที่ทันที “เจ้าเด็กโง่! ตื่นขึ้นมาก็เอะอะโวยวายขึ้นมาทันทีเลยนะ แต่ข้าก็ผิดเองที่ไม่ได้บอกอะไรเกี่ยวกับตัวข้าให้เจ้าฟัง ถ้าเช่นนั้นจะบอกให้เข้าใจ ข้าคือเซียนผู้รักษาหอสมุดอยู่บนสรวงสวรรค์ มีหน้าที่คอยดูแลคัมภีร์อมตะและผู้ครอบครองรวมไปถึงเจ้า ตามคำสั่งขององค์เง็กเซียน และข้านี่แหละเป็นผู้ทำให้เจ้าได้กลับมาในชาติอดีตตามคำอธิษฐานก่อนที่เจ้าจะตายเมื่อชาติที่แล้ว” สิ้นคำกล่าวของเซียนเต่าเสี่ยวหมิงอ้าปากค้างขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น “เป็นท่านน่ะหรือที่พาข้ากลับมาในชาติอดีตตามคำอธิษฐานก่อนตายเมื่อชาติที่แล้ว” เซียนเต่าพยักหน้าขึ้นลงติดๆ กันแทนคำตอบ พร้อมเอ่ยขึ้น “และที่เจ้าได้กลายร่างเป็นบุรุษเพศก็เพราะข้า การที่เจ้าได้กลับ มาเพื่อแก้ไขเหตุการณ์ในอดีตสิ่งสำคัญที่สุดคือจะต้องรักษาชีวิตจ้าวเทียนอี้ โอรสแห่งสวรรค์ซึ่งได้ถูกเลือกจากองค์เง็กเซียนให้มีชีวิตเป็นอมตะเพื่อรักษาคัมภีร์ดังกล่าวไปตราบนานเท่านานในภพมนุษย์ ซึ่งเจ้าต้องพยายามทุกวิถีทางมิให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยดั่งเช่นชาติอดีต จนกว่าจะเกิดปรากฏการณ์พระอาทิตย์ทรงกลดในช่วงกลางวัน และเกิดจันทราคลาสในเวลากลางคืนและเกิดขึ้นในวันเดียวกัน หากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าววันนั้น กำไลข้อมือหยกที่อยู่ติดกายเจ้าจะเป็นกุญแจสำคัญเพื่อใช้อ่านคัมภีร์อมตะนี้ มอบชีวิตอมตะให้แก่จ้าวเทียนอี้เพียงหนึ่งเดียวทั่วหล้า” เซียนเต่าอธิบายให้หนุ่มน้อยได้ฟังอย่างละเอียด “แต่ข้าคิดเห็นแตกต่างไปจากท่าน ก่อนอื่นช่วยคลายสะกดข้าจะได้ไหม ยืนแบบนี้ข้าเมื่อย” หนุ่มน้อยบ่นกระปอดกระแปดออกมาทันที และนั่นทำให้เซียนเต่านึกขึ้นได้คลายสะกดให้ทันที “ค่อยยังชั่ว” เสี่ยวหมิงเคลื่อนไหวไปมาตามปกติพร้อมเอ่ยขึ้น “แต่ข้ากลับเห็นต่างไปจากท่านเซียน การมีชีวิตเป็นอมตะมันเป็นความโชคดีกระนั้นหรือขอรับ ในขณะที่กาลเวลาหมุนเวียนผ่านไป ท่านพี่เทียนอี้จำต้องเฝ้ามองคนรอบข้างตายจากครั้งแล้วครั้งเล่า ข้ากลับคิดว่าสู้ตายไปเสียดีกว่าจะเป็นการดีเพื่อให้เป็นไปตากฎเกณฑ์ของธรรมชาติ” เซียนเต่าโบกพัดไปมาด้วยความพึงพอใจเมื่อได้ยินเสี่ยวหมิงกล่าวแสดงความคิดเห็นเช่นนั้น “ลิขิตของสวรรค์มิอาจฝ่าฝืนได้ เป็นโชคอันยิ่งใหญ่ของตระกูลจ้าวที่ได้สืบทอดคัมภีร์อมตะซึ่งเหล่าฮ่องเต้นับตั้งแต่โบราณกาลเพียรเฝ้าค้นหามาโดยตลอด และผู้ที่จะมีชีวิตอมตะมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นแม้จะต้องทุกข์ทรมานแต่ก็มิอาจหนีพ้นและเจ้าได้กลับมาด้วยเหตุผลข้อนี้” “ข้าน่ะหรือได้กลับมาแก้ไขเหตุการณ์ในอดีตด้วยเหตุนี้ เหตุใดเมื่อชาติอดีตข้าและท่านพี่เทียนอี้จึงพบจุดจบอันน่าเวทนาเช่นนั้นเล่า ข้ากลับมาแก้ไขเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นเมื่อชาติอดีตจะไม่ส่งผลถึงชาติปัจจุบันของข้ากระนั้นหรือท่านเซียนช่วยชี้แจงข้าด้วยเถอะ” เซียนเต่าคลี่ยิ้มออกมาบางๆ พร้อมถอนหายใจออกมาเบาๆ “ลิขิตของสวรรค์ข้ามิอาจเปิดเผยได้ เมื่อถึงเวลาเจ้าจะประสบเอง ทุกคนล้วนแล้วเกิดมาต้องตายขึ้นอยู่กับว่าถูกกำหนดให้ตายเช่นไร แต่จ้าวเทียนอี้ถูกสวรรค์ลิขิตให้เป็นเช่นนั้นมิอาจฝืนได้ เจ้าเองก็เช่นกันสักวันเจ้าก็จะต้องกลับไปในชาติปัจจุบันเช่นกันจะช้าหรือเร็วเท่านั้น” คำกล่าวของเซียนเต่าทำให้ฟางเซียนซึ่งอยู่ในร่างแปลงของเสี่ยวหมิงใจหายขึ้นมาทันที “ถ้าเช่นนั้นข้าขอถามท่านเซียนสักเพียงคำด้วยเถิด” หนุ่มน้อยเอ่ยพร้อมทอดสายตามองเซียนหนุ่มรูปงามตรงหน้า “เจ้าอยากถามข้าสิ่งใดจงกล่าวมา ถ้าข้าตอบได้ก็จะตอบ สิ่งใดที่ข้าตอบไม่ได้นั้นเป็นเพราะความลับของสวรรค์มิอาจเปิดเผยได้นั่นเอง” หนุ่มน้อยหน้ามนยืนนิ่งเมื่อได้ยินเช่นนั้น ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยออกไปในสิ่งที่ตนใคร่รู้ “ข้าและท่านพี่เทียนอี้จะได้ครองคู่สมความปรารถนาในชาตินี้หรือ ไม่” เสี่ยวหมิงเอ่ยถามพร้อมกลั้นใจรอคอยคำตอบที่คาดหวังเอาไว้ในใจ เซียนเต่ายืนมองใบหน้าหล่อเหลาตรงหน้าเมื่อได้ยินคำถามเช่นนั้น ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ พร้อมเอ่ยขึ้น “คำถามของเจ้าข้ามิอาจตอบได้เพราะเป็นความลับของสวรรค์ จะสมหวังหรือไม่นั้นเบื้องบนเท่านั้นเป็นผู้กำหนดโชคชะตาของเจ้าทั้งสอง จงจำเอาไว้หวังฟางเซียน นี่คือโอกาสอันดีของเจ้าแล้วที่ได้กลับมาในชาติอดีต ซึ่งน้อยนักจะมีใครสามารถกลับมาได้เช่นเจ้า หากให้บอกตามตรงนี่คือครั้งแรกที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ระหว่างภพสวรรค์และภพมนุษย์ ดังนั้นเจ้าและข้าจะต้องร่วมมือกันเพื่อรักษาชีวิตของจ้าวเทียนอี้เอาไว้ให้ได้ เพราะคนรักของเจ้ามีเกณฑ์ที่จะต้องดับสูญและมีเพียงข้าและเจ้าเท่านั้นที่จะช่วยแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่แห่งต้าถังนี้ได้” คำกล่าวของเซียนเต่าทำให้หัวใจของฟางเซียนกระตุกวาบขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น ด้วยสติปัญญาอันชาญฉลาดทำให้นางพอจะคาดเดาบางอย่างเอาไว้ภายในใจ “ข้าพอจะคาดเดาได้บ้างแล้ว ชาติอดีตของข้าคือสตรีที่เต็มไปด้วยความโง่เขลาเบาปัญญาจึงเป็นสาเหตุทำให้ท่านพี่เทียนอี้ต้องพบจุดจบพร้อมกันกับข้า และที่ข้าได้กลับมาเพราะคำอธิษฐานของข้าให้บังเกิดเป็นผู้มากด้วยสติปัญญาอันปราดเปรื่องใช่หรือไม่” เซียนเต่าพยักหน้าขึ้นลงแทนการยอมรับ “ดังนั้นข้าจะบอกเจ้าว่า ให้ระมัดระวังตนเองให้จงหนัก อย่าให้ผู้ใดเห็นร่างจริงของเจ้าโดยเด็ดขาด หาไม่แล้วทุกอย่างจะแปรเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ข้าจะเสกอำนาจเพื่อปิดกั้นอิทธิฤทธิ์ของคัมภีร์อมตะมิให้เห็นร่างจริงของเจ้ายามเมื่ออยู่ใกล้กัน และหากแม้นเจ้ามีภัยจงกำหนดจิตระลึกถึงข้า ไม่ว่าจะอยู่ห่างไกลและมีอันตรายเพียงใดข้าจะมาช่วยเจ้า จงระลึกอยู่เสมอว่ากำไลหยกที่อยู่ติดกายเจ้าในขณะนี้ คือกุญแจสำคัญที่จะทำให้เจ้าอ่านคัมภีร์อมตะเพื่อมอบชีวิตอันเป็นนิรันดร์ให้แก่คนรัก จงรักษายิ่งกว่าชีวิต” เสี่ยวหมิงพยักหน้าขึ้นลงติดๆ กันก่อนจะยกมือประสานเพื่อคาราวะ “ข้าน้อยขอสัญญาท่านเซียน จะระลึกไว้อยู่เสมอ ว่าแต่สนทนากันมาตั้งนานข้าอยากล่วงรู้นามของท่านจะให้เรียกว่ากระไรรึ” “ข้ามีนามว่าขงเหวินซือ หรือเรียกว่าเซียนเต่าก็ได้” เซียนรูปงามเอ่ยพร้อมส่งยิ้มละไม สายตาเหลือบไปมองด้านหลังของประตูห้องนอนเมื่อญาณสัมผัสได้ว่า จ้าวเทียนอี้ เดินมาหยุดยืนอยู่หน้าห้องและกำลังฟังการสนทนาระหว่างเสี่ยวหมิงกับเซียนหนุ่มรูปงาม “เทียนอี้กำลังยืนฟังการสนทนาอยู่หน้าห้องนอนของเจ้าในขณะนี้” เซียนหนุ่มกล่าวพร้อมยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ คำกล่าวของเซียนหนุ่มทำให้เสี่ยวหมิงเบิกตากว้างขึ้นมาทันที “เสร็จกันแล้วจะทำเช่นไรดีเล่า ท่านพี่ได้ยินข้ากับท่านสนทนาอะไรกันบ้างก็มิรู้” “เจ้ามิต้องตกใจ ข้าร่ายเวทปิดกั้นเอาไว้หมดแล้ว เทียนอี้จะได้ยินว่าเจ้าท่องตำราพิชัยยุทธ์เท่านั้น สำคัญที่เจ้าจงเก็บอาการเอาไว้ให้ดีเพราะจากนี้ไปหนทางในวันข้างหน้าช่างยาวไกลยิ่งนัก มีเพียงเจ้าและคนรักของเจ้าจะต้องฝ่าฟันไปด้วยกัน และจงพึงระวังหัวใจของตนเองเอาไว้ให้ดีเมื่อมีอีกหนึ่งบุรุษได้มอบรักแท้ให้แก่เจ้าดุจเดียวกับจ้าวเทียนอี้เช่นกัน” คำกล่าวของเซียนหนุ่มรูปงามทำให้คิ้วที่เรียงตัวได้รูปสวยขมวดเข้าหากันโดยพลันเมื่อได้ยินเช่นนั้น “ท่านกำลังจะบอกกับข้าว่าบุรุษผู้นั้นคือองค์จักรพรรดิที่กำลังจะขึ้นครองราชย์อย่างนั้นหรือ... ไม่! ไม่จริง! เป็นไปไม่ได้! ข้ามีรักมั่นต่อพี่เทียนอี้แต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น มิอาจปันใจให้แก่องค์จักรพรรดิแน่นอน... ไม่มีทาง!” ฟางเซียนในร่างแปลงบุรุษโวยวายขึ้นมาโดยพลัน ไม่เชื่อว่านางจะสามารถปันใจรักให้แก่องค์ฮ่องเต้นั่นได้ “ทุกสิ่งจะเกิดขึ้นและดำเนินต่อไปอย่างไร กายของเจ้าและหัวใจของเจ้าเท่านั้นจะชี้ชะตานับจากนี้ต่อไปเบื้องหน้า จงจำคำของข้าเอาไว้ให้ดี” เซียนหนุ่มกล่าวพร้อมค่อยๆ เลือนหายไปต่อหน้าต่อตาท่ามกลางสายตาของหนุ่มน้อยหน้ามนที่เฝ้าครุ่นคิดกับถ้อยคำดังกล่าวของเซียนเต่า “ใจข้านี้มีแต่ท่านพี่เทียนอี้เพียงผู้เดียวหาแปรเปลี่ยนเป็นชายอื่น ความรักของข้ามอบให้กับคนที่รักเท่านั้นมิมีผู้ใดแทรกแซงหัวใจของข้าเด็ด ขาด” ฟางเซียนในร่างแปลงบุรุษรำพึงอยู่ภายในใจ ก่อนจะแสร้งเล่นละครเมื่อล่วงรู้ว่าจ้าวเทียนอี้กำลังยืนฟังการสนทนาของตนและเซียนหนุ่มรูปงามอยู่ในขณะนี้ ร่างสูงบิดกายไปมาพลางส่งเสียงหาวออกมาอย่างดัง “หาวววววว!!!” เสียงหาวนอนดังออกมาถึงนอกห้อง จนขุนพลหนุ่มรูปงามได้ยินอย่างชัดเจน “คืนนี้เราอ่านตำราพิชัยยุทธเพียงแค่นี้ก่อนดีกว่า รีบนอนเอาแรงพรุ่งนี้จะได้ตื่นมาเรียนรู้จากท่านอาจารย์ อ่านตำราจบไปหลายเล่มแล้ว หากท่านอาจารย์เอ่ยถามสิ่งใดข้าอาจจะตอบได้ไม่มากก็น้อยสินะ” หนุ่มน้อยกล่าวพร้อมหันกายไปเป่าเทียนไขที่สาดแสงสว่างอยู่ในห้องนอน พร้อมก้าวขึ้นเตียงเพื่อเข้าสู่นิทรา ร่างสูงใหญ่ของขุนพลหนุ่มแห่งต้าถังยืนสูงตระหง่านอยู่นอกประตูห้อง ใบหน้าหล่อเหลาแสดงความแปลกใจออกมาทันทีพร้อมคิ้วเข้มขมวดมุ่นเข้าหากันเมื่อลูกศิษย์ใหม่ของตนดับไฟเข้านอนไปแล้ว “แปลกจริงเหตุใดข้าจึงได้ยินเสี่ยวหมิงสนทนากับผู้อื่นอยู่ภายในห้อง ทว่ากลับไม่มีเสียงของคู่สนทนาแต่อย่างใดและน่าประหลาดยิ่งนักยืนใกล้ขนาดนี้เหตุใดจึงได้ยินเสียงสนทนาแผ่วเบายิ่งนัก หรือว่าข้าคงคิดไปเองกระนั้นรึ” แม่ทัพรูปงามบ่นรำพึง พร้อมค่อยๆ ถอยหลังออกจากหน้าประตูเพื่อเดินกลับไปยังเรือนนอนของตน “ถึงอย่างไรเสียข้าจะต้องล่วงรู้ในสิ่งที่ข้าเห็นให้จงได้ ลางสังหรณ์ของข้าไม่เคยแปรเปลี่ยนหนุ่มน้อยผู้นี้ต้องมีบางอย่างซ่อนเร้นเอาไว้แน่นอน” เทียนอี้รำพึงอยู่ภายในใจ ร่างสูงใหญ่ค่อยๆ ก้าวเดินตามทางที่ทอดยาวภายใต้แสงเงาแห่งจันทรา หากขุนพลหนุ่มสงสัยสิ่งใดจะต้องล่วงรู้ให้ได้และสิ่งนั้นเป็นจริงดั่งคิดเสมอไป
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม