คิ้วเข้มเรียงตัวได้รูปสวยของขุนพลหนุ่มแห่งต้าถัง ขมวดมุ่นเข้าหากันทันทีเมื่อหนุ่มน้อยหน้ามนที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าในขณะนี้เอ่ยชื่อแซ่อันแท้จริงของตนออกมา โดยมีสายตาของทุกคู่ต่างมองมาที่แม่ทัพรูปงามเป็นจุดเดียวกัน
“เหตุใดบุตรชายของท่านผู้เฒ่าจางจึงเอ่ยชื่อแซ่อันแท้จริงของข้าได้ถูกต้องเช่นนั้นเล่า ไม่ได้การแล้ว หนุ่มน้อยผู้นี้ไม่ธรรมดาเป็นแน่แท้ ต้องสืบความเพื่อค้นหาความจริงออกมาให้ได้” จ้าวเทียนอี้รำพึงอยู่ภายในใจก่อนจะคลี่ยิ้มออกมาบางๆ หากแต่เย็นยะเยือกประดุจน้ำแข็งเสียนี่กระไร
“คุณชายจางจำผิดคนแล้ว ข้าหาได้มีชื่อเสียงเรียงนามตามคำกล่าวของเจ้าแต่อย่างใดไม่ บุคคลที่กล่าวถึงนั้นเป็นถึงแม่ทัพใหญ่แห่ง ต้าถัง ซึ่งเป็นขุนนางสูงศักดิ์อยู่ลำดับที่สามขององค์จักรพรรดิถังรุ่ยจง ตรงกันข้ามกับข้าที่เป็นเพียงนักปราชญ์จากราชวิทยาลัยระดับกั๋วจื่อเท่านั้น”
คำกล่าวของแม่ทัพหนุ่มทำให้ทุกคนที่อยู่ภายในเรือนตะวันออกพากันพยักหน้าขึ้นลงติดๆ กัน
“นั่นน่ะสิเสี่ยวหมิงเจ้าเอาสิ่งใดมาพูด เหตุใดจึงกล่าววาจาเลอะเทอะ เห็นใต้เท้าจ้าวกลายเป็นท่านขุนพลจ้าวเทียนอี้อันเลื่องลือไปได้ ขอขมาใต้เท้าเดี๋ยวนี้เลยนะลูกคนนี้!” หยวนฟู่เอ็ดลูกของตนพลางหันกลับไปก้มคำนับขุนพลหนุ่ม
“ข้าต้องขออภัยใต้เท้าจ้าวด้วยนะขอรับที่บุตรชายคนเล็กของข้ากล่าววาจาเลอะเลือนเช่นนั้น คงเป็นเพราะท่องตำรามากเกินไป ขอใต้เท้าได้โปรดอภัยให้แก่บุตรชายของข้าด้วยเถิด” หยวนฟู่พูดพร้อมก้มคำนับแม่ทัพรูปงามครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อเป็นการขอขมาแทนบุตรของตน
“ท่านผู้เฒ่าไม่ต้องขออภัยข้า มิได้ถือสาแต่อย่างใด ได้โปรดอย่าคำนับข้าอีกเลย” เทียนอี้กล่าวพร้อมก้าวเดินเข้าไปหาจางหยวนฟู่พร้อมจับมืออันเหี่ยวย่นนั้นไว้เพื่อให้หยุดคำนับตน
ฟางเซียนรีบปรับอาการของตนเองให้กลับไปเป็นปกติดั่งเดิมอย่างรวดเร็ว พลางเจ็บใจตัวเองที่เผลอตัวเอ่ยในสิ่งที่ไม่ควรกล่าวออกไป แน่นอนว่าการปรากฏตัวของคนรักในชาติอดีตต้องมีสาเหตุเป็นอื่นไปไม่ได้ นอกจากการค้นหาจางลี่เซียนเพื่อนำไปถวายตัวให้แก่จักรพรรดิองค์ใหม่ที่กำลังจะขึ้นครองราชย์นั่นเอง
“โธ่เอ๊ย เจ้าเป็นบ้าอะไรขึ้นมานะ ทำไมถึงหลุดปากเอ่ยชื่อท่านพี่แบบนั้นออกมาได้ เหตุการณ์ในครั้งนี้ไม่เหมือนในอดีตชาติเพราะครั้งนั้นมีคำสั่งให้ข้าเข้าถวายตัวเป็นสนมขั้นห้า หลังจากฮ่องเต้ได้พบกับข้าแล้วจึงได้แต่งตั้งข้าเป็นพระสนมเอกเจาอี๋ ไม่ได้... ข้าจะต้องไม่ให้มันซ้ำรอยเดิมเด็ดขาด หาไม่แล้วข้ากลับมาในชาติอดีตก็เปล่าประโยชน์อย่างสิ้นเชิง” ฟางเซียนรำพึงอยู่ภายในใจพร้อมเอ่ยขึ้น
“ข้าขออภัยใต้เท้าด้วยขอรับ ที่กล่าววาจาเลอะเลือนเช่นนั้น ครั้นเมื่อข้าล่วงรู้ว่าท่านมาจากตระกูลจ้าวซึ่งเป็นตระกูลขุนนางระดับสูงในราชสำนัก ประกอบกับได้อ่านบันทึกเหตุการณ์การสู้รบของท่านแม่ทัพจ้าวเทียนอี้ จึงคิดว่าเป็นท่านทำให้กล่าววาจาเช่นนั้นออกมา ไม่มีเหตุสิ่งใดแอบแฝงแม้แต่น้อย มันเป็นการเข้าใจผิดของข้าเองเพราะได้อ่านตำราพิชัยสงครามมากเกินไปขอรับ” เสี่ยวหมิงพูดพร้อมประสานมือพลางก้มคำนับเพื่อเป็นการขอขมา
เหตุผลอันน่าฟังดังกล่าว ทำให้แม่ทัพหนุ่มรูปงามพยักหน้าขึ้นลงติดๆ กันเมื่อได้ยินเช่นนั้น แต่ด้วยอุปนิสัยการเป็นนักรบและช่างสังเกตหาได้ปล่อยปละประเด็นออกไปแม้แต่น้อยแม้จะเป็นเรื่องหยุมหยิมก็ตาม
“ข้ามิได้ถือสาคุณชายแต่อย่างใด หากแม้นเข้าใจถูกต้องแล้วเช่นนั้นก็สบายใจ เอาเป็นว่าลูกศิษย์ของข้าคนนี้ฝักใฝ่เรียนรู้ตำราทั้งบู๊ทั้งบุ๋น สังเกตได้จากถ้อยคำที่ได้กล่าวเมื่อครู่นี้ หากเจ้าต้องการจะสอบจอหงวนเพื่อเข้ารับราชการให้ได้ ข้ายินดีที่จะถ่ายทอดองค์ความรู้ให้จนหมดขึ้นอยู่กับว่า คุณชายจางจะรับจากข้าได้มากน้อยเพียงใด” เทียนอี้พูดพร้อมคลี่ยิ้มส่งให้พร้อมก้าวเดินเข้าไปหาคุณชายน้อยหน้ามนเพื่อรับการขอขมา พร้อมใช้มือของตนแตะมือของคุณชายน้อยเพื่อให้ยกเลิกการคำนับ
ครั้นมือหนาจับถูกกำไลหยกที่สวมอยู่ในข้อมือของคุณชายเล็กแห่งบ้านตระกูลจาง เทียนอี้กลับต้องหยุดชะงักเมื่อดวงตามองเห็นภาพเรือนลางบางอย่างวูบเข้าวูบออกในร่างของคุณชายหนุ่มตรงหน้า สาเหตุเป็นเพราะขุนพลหนุ่มคือผู้เก็บรักษาคัมภีร์อมตะที่ฮ่องเต้แต่ละพระองค์พยายามค้นหามาตลอดหลายพันปี คัมภีร์ดังกล่าวอยู่คู่กายของเทียนอี้เสมอ เมื่อผู้ครอบครองคัมภีร์อมตะโคจรมาพบกับ กระดองเต่าที่สลักจารึกคาถาโบราณที่กลายร่างมาเป็นกำไลหยกคู่กาย ผลของมันจึงทำให้อีกฝ่ายซึ่งครอบครองคัมภีร์อมตะ เห็นบางสิ่งบางอย่างที่แอบแฝงอยู่ภายในร่างแปลงดังกล่าวนั่นเอง
“ใต้เท้ามีอะไรอย่างนั้นเหรอขอรับ เหตุใดจึงมองข้าเช่นนั้น” เสี่ยวหมิงเอ่ยถามด้วยความสงสัยเมื่อแม่ทัพรูปงามมองตนด้วยสายตาไม่กะพริบเลยทีเดียว
จ้าวเทียนอี้รู้สึกตัวขึ้นมาโดยพลันเมื่ออีกฝ่ายเอ่ยถามเช่นนั้น
“ข้าเพิ่งจะเคยเห็นบุรุษสวมใส่กำไลหยกดั่งเช่นอิสตรี เหตุใดคุณชายจึงนำติดกาย มิกริ่งเกรงว่าผู้ใดจะกล่าวขานว่าเจ้ามิสมชายกระนั้นรึ” คำกล่าวของขุนพลหนุ่มทำให้เสี่ยวหมิงนึกขึ้นได้ทันที
“เอ่อ... คือ...” จางเสี่ยวหมิงพยายามนึกหาคำตอบดีๆ และนั่นทำให้ทุกคนต่างหันมาให้ความสนใจกำไลหยกที่อยู่ติดข้อมือนั้นเป็นตาเดียวกัน
“ท่านพ่อ... ข้าก็เพิ่งรู้ว่าเสี่ยวหมิงมีกำไลหยกติดข้อมือ เมื่อก่อนไม่เคยมีแต่หลังจากฟื้นขึ้นมาและกลายร่างเป็นบุรุษเพศก็เพิ่งรู้เอาวันนี้ มันจะเกี่ยวกับการที่น้องเปลี่ยนร่างจากอิสตรีเป็นบุรุษหรือเปล่าท่านพ่อ” อี้หานกระซิบถามท่านพ่อของตน
และนั่นทำให้จางหยวนฟู่ถึงกับเบิกตากว้างขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“ไม่ได้การแล้วลูกอี้ เห็นทีจะเกี่ยวเนื่องกันเป็นแน่แท้ จะตอบเช่นไรดีจึงจะสมเหตุสมผลกันเล่าและไม่เป็นที่น่าสงสัย ใต้ท้าวจ้าวฉลาดปราดเปรื่องยิ่งนัก เดี๋ยวความลับก็แตกพอดี” หยวนฟู่กล่าวอย่างเป็นกังวล พร้อมกับเสียงของเสี่ยวหมิงเอ่ยแทรกขึ้น
“เรียนใต้เท้า กำไลข้อมือหยกดังกล่าว ท่านพ่อและท่านแม่ได้ มาจากเทือกเขาซงซาน ซึ่งท่านเจ้าอาวาสแห่งสำนักเส้าหลินมอบให้มา จุดประสงค์เพื่อให้เพื่อป้องกันมิให้ข้าน้อยเกิดอาการเจ็บป่วย เพราะในวัยเยาว์นั้นช่างเป็นเด็กขี้โรคยิ่งนัก และนับตั้งแต่ได้กำไลหยกนี้มา อาการเจ็บป่วยได้หายเป็นปลิดทิ้ง ข้าน้อยเคยถอดออกจากกายปรากฏว่าเกิดเจ็บหนักแทบเอาชีวิตไม่รอดเมื่อสามเดือนก่อนขอรับ และเมื่อได้นำมาสวมไว้เหมือนเดิมปรากฏว่าอาการเจ็บป่วยหายเป็นปลิดทิ้ง” เสี่ยวหมิงอธิบายอย่างฉะฉาน ทำให้สองพ่อลูกตระกูลจางต่างพากันถอนหายใจอย่างโล่งอกออกมาพร้อมกัน
“เฮ้อ... รอดตัวไป เหตุผลของเสี่ยวหมิงที่ยกมากล่าวอ้างนั้นช่างเชื่อถือได้ยิ่งนัก” หยวนฟู่พึมพำออกมาเบาๆ ทว่าอาการของสองคนพ่อลูกมิอาจรอดพ้นสายตาอันคมกริบจากแม่ทัพใหญ่ไปได้เลยแม้แต่น้อย
“เป็นเช่นนั้นรึ!” เทียนอี้กล่าวออกมาเพียงสั้นๆ สายตายังคงจับจ้องใบหน้าหล่อเหลาของหนุ่มน้อยหน้ามนตรงหน้าตาไม่กะพริบ เป็นเหตุให้เสี่ยวหมิงต้องเอ่ยถามออกไป
“ท่านมิสิ่งใดอย่างนั้นหรือขอรับ จึงมองข้าเช่นนั้น”
คำถามของหนุ่มน้อยหน้ามนทำให้เทียนอี้คลี่ยิ้มออกมา พร้อมเอ่ยขึ้น
“หามิได้ ข้าเพียงแต่นึกอะไรบางอย่างเพลินไปหน่อย กำลังคิดว่าวันรุ่งขึ้นจะเปิดตำราบู๊หรือบุ๋นเพื่อสอนคุณชายแบบไหนดี แต่เอาเป็นว่าข้าคิดออกแล้วว่าจะมอบความรู้ทั้งสองอย่างให้พร้อมๆ กันในแต่ละวัน โดยช่วงเช้าจะศึกษาองค์ความรู้ฝ่ายบู๊และตอนบ่ายศึกษาองค์ความรู้ฝ่ายบุ๋น เช่นนี้ดีหรือไม่คุณชายจาง”
เสี่ยวหมิงยิ้มกว้างด้วยความดีใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น สองมือประสานเข้าหากันเพื่อน้อมคาราวะ
“ข้าขอขอบคุณใต้เท้ามากขอรับที่ได้จะทำการชี้แนะและสั่งสอนข้า”
“ไม่เป็นไร และต่อไปนี้จงเรียกข้าว่าท่านอาจารย์ ไม่ต้องเรียกว่าใต้เท้า ข้ามิได้มียศศักดิ์สูงส่งมาจากที่ไหน” ประโยคสุดท้ายเทียนอี้กล่าวพร้อมหันกลับไปมองเจ้าเมืองแห่งลั่วหยางที่กำลังยิ้มกว้างเมื่อนำขุนพลหนุ่มรูปงามเข้าบ้านตระกูลจางได้อย่างแนบเนียน ท่ามกลางความดีใจของทุกคนที่อยู่ในเรือนตะวันออกทั้งหมด
หากแต่ดวงตาคมกริบดั่งนกเหยี่ยวของจ้าวเทียนอี้ กลับมองคุณชายหน้ามนตรงหน้าด้วยความสงสัยอย่างยิ่งยวดเพราะภาพซ้อนวูบวาบที่อยู่ในร่างของคุณชายแปดแห่งบ้านตระกูลจาง ทำให้แม่ทัพหนุ่มเคลือบแคลงสงสัยอย่างมิรู้วายเลยทีเดียว
“คุณชายน้อยผู้นี้ต้องมีบางอย่างแน่นอน เงาวูบวาบเมื่อครู่ข้ามิได้ตาฝาดแต่อย่างใด มันเป็นสิ่งที่สะท้อนออกมาต้องมีบางอย่างแน่ๆ และข้าจะต้องล่วงรู้ให้ได้” จ้าวเทียนอี้รำพึงอยู่ภายในใจพร้อมคลี่ยิ้มส่งให้กับสมาชิกตระกูลจางอย่างเป็นมิตร