ณ เรือนตะวันออก
ร่างสันทัดของชายวัยกลางคนอายุประมาณห้าสิบต้นๆ กำลังนั่งจิบน้ำชาที่บ่าวรับใช้ของตระกูลจางนำมารับรองขุนนางใหญ่ที่นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ด้วยเพราะเป็นคนอารมณ์ดี ใบหน้าอวบอูม ดวงตาดำใหญ่และเส้นผมสีดอกเลาขาวโพลนไม่เว้นแม้กระทั่งเครายาวสีเงินยวงที่เจ้าตัวยกขึ้นลูบไล้ด้วยความเคยชินเวลาใช้ความคิด ก่อนจะหันกลับไปกระซิบกระซาบกับชายหนุ่มรูปงามที่ติดตามมาด้วย ซึ่งยืนอยู่ข้างๆ ตน
“เอ่อ... ท่านแม่ทัพ จะเป็นการสมควรกระนั้นหรือที่ให้ข้านั่ง ส่วนตัวท่านกลับยืนทั้งๆ ที่ท่านเป็นขุนนางฝ่ายบู๊ระดับสูงของราชสำนักซึ่งมียศศักดิ์สูงกว่าข้ามากนักที่เป็นเพียงข้าราชการลำดับชั้นที่ห้าเท่านั้น” ท่านเจ้าเมืองเอ่ยถามด้วยความเกรงใจเมื่อแม่ทัพใหญ่แห่งต้าถังกำลังยืนอยู่เคียงข้างตนแทนที่จะนั่ง
“ท่านไม่ต้องคิดมากท่านเจ้าเมือง... มีหน้าที่ทำตามคำสั่งเท่านั้นก็พอ งานนี้องค์หวงไทจื่อ[1] ทรงรอคอยผลการสืบค้นจากข้าอยู่มิรู้วาย ดังนั้นทำตามที่ข้าบอกก็เพียงพอแล้ว” จ้าวเทียนอี้เอ่ยเบาๆ กับเจ้าเมืองลั่วหยาง พร้อมสายตาเห็นร่างของชายสูงวัยและอ่อนวัยกว่ากำลังเดินตามหลังกันมาติดๆ
ครั้นจางหยวนฟู่และจางอี้เหินเดินทางมาถึงเรือนตะวันออก ซึ่งจัดเป็นเรือนรับรองแขกคนสำคัญที่เดินทางมาเยี่ยมเยือนตระกูลจาง สองคนพ่อลูกรีบเข้าไปทักทายขุนนางใหญ่ทันที
“ต้องขออภัยท่านเจ้าเมืองที่ให้ท่านรอ เหตุใดจึงมาถึงบ้านข้าด้วยตัวเอง อันที่จริงท่านส่งคนจากจวนมาบอกข้าก็ได้ว่าจะให้เข้าพบ นี่กระไรต้องลำบากเดินทางมาหาข้าด้วยตัวเอง” หยวนฟู่ก้มคำนับแล้วคำนับอีกเป็นการขออภัยขุนนางชั้นผู้ใหญ่ตรงหน้า
“ไม่ต้องมากพิธีหรอก อันที่จริงข้าก็ตั้งใจอยากมาเยี่ยมเยือนเจ้าเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว อีกทั้งต้องการตรวจความเรียบร้อยกระดาษซวนจื่อที่ทางวังหลวงมีคำสั่งซื้อมามากมายยิ่งนัก ข้าเป็นห่วงและกังวลกลัวว่าตระกูลจางจะผลิตกระดาษไม่ทัน เพราะถ้าไม่ได้ตามจำนวนแล้วละก็เสียหายใหญ่หลวงเลยเชียวนะ” เจ้าเมืองลั่วหยางเอ่ยด้วยน้ำเสียงกังวล
“ขอบพระคุณท่านเจ้าเมืองที่เป็นห่วง ตระกูลจางซาบซึ้งใจยิ่งนักที่ท่านมอบให้ ตระกูลจางมีกระดาษซวนจื่อสำรองเอาไว้มากมาย ซึ่งสามารถนำส่งสินค้าได้เกินครึ่งให้แก่วังหลวงเลยก็ได้เสียแต่ตอนนี้ ส่วนที่เหลือใช้เวลาไม่เกินสองเดือนก็แล้วเสร็จขอรับ”
“ถ้าเช่นนั้นข้าก็เบาใจ หากเจ้ารับปากว่าสามารถส่งกระดาษไปยังวังหลวงได้ครบตามจำนวนและตามกำหนด เพราะกระดาษซวนจื่อของเจ้าเป็นหน้าเป็นตาของเมืองลั่วหยางเลยเชียวนะ” กล่าวพร้อมพยักหน้าขึ้นลงติดต่อกันด้วยความพอใจ พลางเหลือบสายตาไปยังแม่ทัพหนุ่มชื่อก้องที่ยืนอยู่ข้างกาย
“จริงสิ ข้ามาวันนี้นอกจากเรื่องกระดาษซวนจื่อของตระกูลจางแล้ว ข้าได้ถือโอกาสพานักปราชญ์ที่เก่งทั้งบู๊และบุ๋นตามที่เจ้าต้องการมาด้วย และที่ยืนอยู่ข้างกายข้านี้ก็คือ ท่านจ้าวจื่อหยาง เป็นนักปราชญ์และเป็นอาจารย์ราชวิทยาลัยระดับกั๋วจื่อ” เจ้าเมืองลั่วหยางกล่าวแนะนำตัวตามแผนการของแม่ทัพจ้าวได้อย่างแนบเนียน
จางหยวนฟู่และจางอี้หานหันไปมองร่างสูงใหญ่ที่ยืนอยู่ข้างกายเจ้าเมืองลั่วหยางทันที ด้วยใบหน้าที่คมคายหล่อเหลาหากแต่เรียบเฉย จนเหมือนเย็นชากระดุจน้ำแข็ง รับกับร่างกายที่สูงใหญ่ แข็งแกร่ง ลักษณะองคาพยพเช่นนี้เป็นบุคคลที่มีอำนาจยิ่งใหญ่ในตัวจนประมุขตระกูลจางสามารถสัมผัสได้
“ขอบพระคุณใต้เท้าที่ได้กรุณพาท่านจ้าวจื่อหยางมาที่บ้านตระกูลจาง บุญคุณนี้ข้าจะมิมีวันลืมเลย” หยวนฟู่ก้มคำนับแล้วคับอีก
“ไม่ต้องขอบใจข้าหรอก แต่เป็นความโชคดีของตระกูลจางยิ่งนักที่บังเอิญว่านักปราชญ์จ้าวเดินทางมาที่ลั่วหยางและมีเจตนาที่จะถ่ายทอดองค์ความรู้ทั้งบู๊และบุ๋นให้กับผู้ที่เหมาะสม ข้าจึงนำมาที่ตระกูลจาง ไม่เคยมีใครโชคดีเท่านี้มาก่อนเพราะนักปราชญ์จ้าวเป็นผู้รอบรู้และเชี่ยว ชาญองค์ความรู้รอบด้าน และลูกหลานขุนนางลำดับชั้นที่สามเท่านั้นจึงจะสามารถได้ศึกษาเล่าเรียนกับอาจารย์ระดับกั๋วจื่อแบบนี้”
คำกล่าวของเจ้าเมืองลั่วหยาง ทำให้จางหยวนฟู่ปลื้มใจจนบอกไม่ถูก ที่ได้นักปราชญ์เป็นถึงอาจารย์ ราชวิทยาลัยระดับกั๋วจื่อมาถ่ายทอดองค์ความรู้ให้แก่ลี่เซียน
“ข้าขอบพระคุณใต้เท้ายิ่งนักที่จะมาถ่ายทอดความรู้ให้แก่บุตรชายของข้า มิรู้จะกล่าวสิ่งใดนอกจากตื้นตันใจจนมิรู้จะกล่าวสิ่งใดออกมา ข้าเกรงใจเป็นยิ่งนัก” หยวนฟู่เอ่ยตามความรู้สึกของตนพร้อมก้มคำนับแล้วคำนับอีก
“ท่านผู้เฒ่าจางไม่ต้องเกรงใจ มันเป็นสิ่งที่ข้าต้องการถ่ายทอดความรู้ที่ข้ามีทั้งหมดให้แก่บุคคลที่เหมาะสม หากแม้นผู้นั้นมีความรู้ความ สามารถรับองค์ความรู้ที่ข้าตั้งใจถ่ายทอดไปได้ทั้งหมด นับเป็นวาสนาของผู้นั้น” จ้าวเทียนอี้เอ่ยกับประมุขตระกูลจาง
หยวนฟู่พยักหน้าติดๆ กันเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“ถ้าเช่นนั้นท่านต้องการสิ่งใดบ้าง ข้าจะจัดหาเตรียมไว้ให้พร้อมโดยพลัน” หยวนฟู่เอ่ยถามแม่ทัพหนุ่มรูปงามซึ่งในขณะนี้อยู่ในคราบนักปราชญ์นามว่าจ้าวจื่อหยาง
“ข้าใคร่อยากล่วงรู้ว่าผู้ใดจะเรียนกับข้าบ้าง เป็นบุรุษหรืออิสตรี” เทียนอี้ตั้งคำถามแรกทันที
“เป็นบุตรชายคนที่แปดของข้าเองชื่อว่าจางเสี่ยวหมิง ส่วนบุตรคนอื่นๆ ของข้ามิได้เข้าเรียนรู้เพราะถนัดทำการค้ามากกว่า มีเพียงเสี่ยว หมิงเท่านั้นที่ตั้งใจจะสอบเข้ารับราชการให้ได้”
คำกล่าวของหยวนฟู่ทำให้แม่ทัพจ้าวพยักหน้าติดต่อกันพร้อมเอ่ยขึ้น
“แต่ข้าได้ยินมาว่าตระกูลจางมีบุตรชายเพียงเจ็ดคนเท่านั้นและมีบุตรีเป็นคนที่แปดมิใช่หรอกรึ หรือว่าสิ่งที่ข้าได้ยินมาไม่ถูกต้อง” เทียนอี้รุกเข้าประเด็นทันที
“ใต้เท้าเข้าใจถูกแล้วขอรับว่าข้ามีลูกชายเจ็ดคนและลูกสาวหนึ่งคนซึ่งเป็นคนที่แปด ส่วนเสี่ยวหมิงนี้คือลูกชายบุญธรรมซึ่งได้รับเอาไว้ เนื่องจากน้องสาวของฮูหยินข้ายกให้เป็นบุตรอีกคนของตระกูลจางขอรับ”
“เป็นเช่นนี้เอง” แม่ทัพจ้าวเอ่ยออกมาเบาๆ
“ถ้าเช่นนั้นข้าจะสั่งให้บ่าวไพร่เตรียมเรือนนอนและสิ่งจำเป็นให้ แก่ท่านตลอดจนถึง เครื่องมือต่างๆ ให้เรียบร้อย ใต้เท้าจะพำนักอยู่นานเพียงใดก็ได้”
“ข้ามีเวลาเพียงแค่สามเดือนเท่านั้นท่านผู้เฒ่า ระหว่างนี้ก็จะถ่ายทอดองค์ความรู้ให้กับบุตรชายของท่าน ขึ้นอยู่กับว่าจะสามารถรับจากข้าไปได้มากน้อยเพียงใด ถ้าเช่นนั้นข้าขอทำความรู้จักกับลูกศิษย์ของข้าเสียหน่อยจะได้หรือไม่” แม่ทัพหนุ่มกล่าวพร้อมสังเกตไปรอบๆ
“ได้เลยขอรับใต้เท้า ถ้าเช่นนั้นข้าจะให้อี้หานไปตามเสี่ยวหมิงมาพบท่าน”
หยวนฟู่กุลีกุจอทันที หากแต่ยังมิทันที่จะทำการดังกล่าว ร่างสูงเพรียวของคนที่เพิ่งถูกเอ่ยถึงกำลังเดินผ่านหน้าเรือนตะวันออกเข้าให้พอดิบพอดี
“เสี่ยวหมิง!” หยวนฟู่เดินไปเรียกบุตรชาย
ร่างสูงเพรียวหยุดชะงักโดยพลันเมื่อถูกบิดาเรียกรั้งร่างไว้ให้รอ
“ขอรับท่านพ่อ... เรียกข้าอย่างนั้นเหรอ” ฟางเซียนหันกลับมาด้วยความแปลกใจเมื่อบิดาเดินตรงเข้ามา
“ตามพ่อมาเร็วลูก มาพบใต้เท้าจ้าว”
คำกล่าวของบิดาทำให้ลี่เซียนหยุดชะงักทันที
“ใครนะขอรับใต้เท้าจ้าว” กล่าวด้วยความแปลกใจเพราะสะดุดใจชื่อสกุลนั่นเอง
“ใต้เท้าจ้าวจื่อหยางจะมาเป็นอาจารย์สอนให้เจ้าอย่างไรเล่าลูกรัก ท่านเป็นคนเก่งมากเลยนะ แค่เห็นลักษณะก็ล่วงรู้ทันทีว่าเป็นผู้มีวาสนามากล้น... รีบเดินตามพ่อมา” หยวนฟู่เอ่ยเร่งเร้า
“ฟางเซียนในร่างบุรุษเดินตามอย่างว่าง่าย ก่อนจะหยุดชะงักทันทีเมื่อดวงตาของเธอเห็นร่างสูงใหญ่ของแม่ทัพจากตระกูลจ้าวยืนสูงตระหง่านอยู่ตรงหน้าเธอ
“เทียนอี้!!!” ฟางเซียนเรียกชื่อของยอดขุนพลหนุ่มออกมาจนทุกคนภายในนั้นได้ยินอย่างชัดเจน
แม่ทัพจ้าวมองร่างสูงเพรียวตรงหน้าด้วยความแปลกใจเมื่อได้ยินหนุ่มน้อยหน้ามนเรียกชื่ออันแท้จริงของตนออกมาอย่างถูกต้อง
สายตาของทั้งสองสบประสานเข้าหากัน ต่างฝ่ายต่างยืนมองราวกับว่ารู้จักกันมาก่อนเป็นอย่างดี พร้อมเสียงของบุรุษหนุ่มหน้ามนเอ่ยขึ้น
“ท่านพี่เทียนอี้! เป็นท่านจริงๆ ด้วย ท่านยังไม่ตาย... นี่ข้ากลับมาตอนที่ท่านยังไม่จบชีวิตลงใช่ไหม”
คำกล่าวของหนุ่มน้อยหน้ามนจางเสี่ยวหมิงเล่นเอาทุกคนภายในห้องนั้นต่างหันกลับไปมองแม่ทัพจ้าวเป็นตาเดียวกันเมื่อได้ยินเช่นนั้น ในขณะที่จ้าวเทียนอี้มองหนุ่มหน้ามนตรงหน้าด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดา
[1] ตำแหน่งองค์ชายรัชทายาท เป็นผู้สืบทอดราชบัลลังก์จักรพรรดิคนต่อไป โดยมากมักจะเป็นพระโอรสในองค์จักรพรรดิกับฮองเฮา เนื่องจากเหมาะสมสูงศักดิ์มากที่สุด แต่บางครั้งองค์จักรพรรดิก็แต่งตั้งหวงไท่จื่อ โดยพิจารณาจากความสามารถขององค์ชาย หรือความโปรดปรานเป็นพิเศษก็มีเช่นกัน เช่น เจี๋ยหมิ่นหวงไท่จื่อ หลี่จ้งจวิ้น พระโอรสองค์ที่ 3 ของถังจงจง