1สัปดาห์ต่อมา…
ฉันสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวคู่กับกางเกงยีนขายาว สอดชายเสื้อใส่ในกางเกงให้เรียบร้อย หวีผมม้าให้อยู่ทรงและรวบหางม้าขึ้นให้เรียบร้อย คว้าเสื้อแขนยาวสีครีมมาใส่คลุม ทุกอย่างเสร็จพร้อมในเวลาอันรวดเร็ว ปิดประตูล็อกห้องและรีบวิ่งลงบันได
“บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าเดินเสียงดัง”
“โยไม่ได้เดินค่ะ โยวิ่ง”
“โยเกิร์ต!” พ่อตะเบ็งเสียงด้วยความโมโห ความคุกรุ่นในอารมณ์ถ่ายทอดออกมาจากสีหน้า พ่อไม่พอใจที่ฉันยอกย้อนไปแบบนั้น ฉันก็ไม่ได้ตั้งใจจะย้อน ฉันแค่พูดในความจริง ฉันวิ่งลงมาจากชั้นสอง บันไดเป็นไม้เนื้อแข็ง แน่นอนว่ามันต้องเกิดเสียงดังตึงตึง! จากส้นเท้าที่กระทบลงกับพื้น ใครสามารถวิ่งได้แบบเสียงเบาบ้างล่ะ ก็ไม่มี
“ขอตัวนะคะ โยมีงาน” ฉันอยากรีบเผ่นออกจากบ้านหลังใหญ่โตแต่ไร้ความอบอุ่น ตั้งแต่โตมาฉันไม่เคยได้รับความอบอุ่นจากพ่อและย่าเลย
“เลิกทำซะทีนะไอ้งานแบบนั้นน่ะ ใครรู้เข้าฉันอายเขาตาย”
“แบบไหนคะ” ฉันหมุนตัวหันหน้ากลับไปหาพ่อ สีหน้าของฉันคงกวนอารมณ์พ่อมาก ดูจากแววตาที่โกรธขึ้งมากขึ้นเป็นเท่าตัวของท่าน
“เชียร์เบียร์เชียร์เหล้าอะไรของแกนั่นไง ใครเขาจะเชื่อว่าแกขายแค่เบียร์”
“ก็เรื่องของเขาสิ คนที่มันคิดแบบนั้นมันไม่ได้ให้เงินโยใช้นี่” ฉันเชิดหน้าตอบพ่ออย่างไม่เกรงกลัว ฉันทำงานหาเงินเลี้ยงตัวเอง จริงอยู่ว่างานพาร์ตไทม์อย่างอื่นมีอีกเยอะแยะให้เลือกทำ แต่แล้วมันมีงานไหนที่ได้เงินขนาดนี้บ้าง
แต่ละอีเวนต์ที่ฉันไปทำ ฉันได้รับเงินเป็นหมื่น ถึงจะไม่ได้มีลานเบียร์ทุกเดือน แต่ฉันก็สามารถหาเงินมาจ่ายค่าเทอมได้ทันแถมยังซื้อของที่ตัวเองอยากได้ได้ทุกชิ้น
“แล้วแกไม่นึกถึงหน้าฉันบ้างหรือไง”
“แล้วพ่อไม่นึกถึงอนาคตของโยบ้างหรือไง” ฉันเดินเข้าไปใกล้พ่อมากขึ้น ตั้งใจจะประจันหน้ากับท่านเพื่อเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงกดต่ำแต่แฝงความเสียใจที่มันจุกแน่นในอกมาตลอดเกือบหนึ่งปี “พ่อเป็นคนบอกว่าถ้าโยจะเรียน ให้โยหาเงินเรียนเอง โยก็ทำอยู่นี่ไง”
เมื่อเกือบหนึ่งปีที่ผ่านมา เป็นวันที่หัวใจของฉันบอบช้ำมากที่สุดที่ได้ฟังจากปากของคนเป็นพ่อ ‘ไปลาออกซะ ฉันไม่มีเงินส่งแกเรียนแล้ว’
พอฉันทวงถามถึงเงินก้อนนั้น ก้อนที่พ่อเคยบอกกับฉันว่าจะส่งจนฉันจบปริญญาตรี ให้เรียนเอกชนใกล้บ้านนี่ได้เลย ทว่าพ่อกลับให้คำตอบที่เหมือนสายฟ้าฟาดลงมา ความรู้สึกเจ็บแปลบแล่นไปทั่วทั้งกาย หนักที่สุดคือหัวใจของฉัน ‘ก้อนนั้นพ่อจะไว้ส่งยูโรเรียน’
ยูโรคือน้องชายคนเล็กของบ้าน คนกลางคือเยลลี่ ทั้งสองเป็นลูกต่างแม่ของฉัน เราโตมาในบ้านหลังเดียวกัน แต่ถูกเลี้ยงแยกกัน สองคนนั้นน้าตุ๊กแม่ของเขาเป็นคนเลี้ยงเอง ส่วนฉันอายอน้องสาวของพ่อและเป็นแม่ของลูกหมีเป็นคนเลี้ยงดูตั้งแต่วันที่แม่ฉันเสีย ฉันเรียกท่านว่า ‘แม่’ มาโดยตลอด
แม่ยอบอกว่าฉันเกิดมาได้ไม่กี่เดือน แม่ของฉันก็เสียชีวิตลงท่านถูกรถชนขณะที่กำลังยืนรอรถโดยสาร คนขับรถคันนั้นหลับในรถถึงพุ่งมาชน
พ่อเคยบอกว่ารักแม่ฉันมาก แต่มันน่าตลกตรงที่เยลลี่อายุห่างจากฉันแค่ 2ปี รักมากแต่ลืมแม่ได้ไวเชียว
“แกไปทำงานประจำแล้วเรียนมหาลัยที่แบบไม่ต้องเข้าเรียนก็ได้นี่”
“แต่โยจะเรียนที่นี่ โยหาเงินส่งตัวเองเรียนได้ พ่อก็อย่ายุ่ง” ฉันเบือนหน้าหนีขี้เกียจต่อความยาวสาวความยืด เราคุยกันได้ไม่นานก็ต้องเถียงกันตลอด เป็นแบบนี้มาตั้งแต่วันที่พ่อให้ฉันเลิกเรียนแล้ว
ฉันยกมือไว้บอกลาแม่ยอที่มองฉันด้วยสายตาที่แสดงถึงความเป็นห่วงที่ต้องเถียงกับพ่ออีกแล้ว และเมื่อหันไปหาย่าเย็นท่านก็ทำหน้าบึ้งตึง มือกางพัดแล้วโบกสะบัดด้วยท่าทางที่แสดงถึงความหงุดหงิด ย่าเย็นก็ไม่พอใจที่ฉันทำงานเป็นสาวเชียร์เบียร์ ฉันยกมือไหว้ท่านก็หันหลังให้
ใครไม่พอใจก็ช่างเหอะ! ฉันก็ไม่ได้ทำอาชีพนี้อย่างเดียวเสียหน่อย ฉันทำทุกอาชีพที่มันได้เงิน
“โย ๆ กูไปด้วย” ลูกหมีรีบวิ่งออกมาจากหลังบ้าน เธอก็ไม่บอกฉันเอาไว้ก่อนว่าจะออกไปพร้อมกัน
“นึกว่าจะไปสาย ๆ” ฉันนั่งลงที่พื้นหน้าบ้าน เปิดตู้เล็กข้าง ๆ เพื่อหารองเท้าผ้าใบคู่ใหม่ แต่มันดันหาไม่เจอ “เฮ้ย รองเท้ากูหายไปไหน”
“คู่ไหน” ลูกหมีช่วยมองหา
“ไนกี้อะ กูเพิ่งใส่ไปแค่ครั้งเดียวเอง”
“พี่เยลใส่ไปอะพี่โย เห็นว่าจะไปรับศิลปินอะไรนี่แหละ” ยูโรเดินงัวเงียออกมาจากในบ้าน เขาทิ้งตัวลงนั่งที่พื้นแล้วบ่นยาว “เมื่อเช้าย่าปลุกมากินข้าว จะนอนต่อสักหน่อย เสียงพี่ทะเลาะกับพ่อก็ดังอีก นอนไม่หลับเลย”
“นึกว่าพ่อแอบเอาไปทิ้งซะอีก”
พอรู้ว่าเยลลี่ใส่ไปฉันก็โล่งใจไปหนึ่งเปลาะ คิดว่าพ่อจะแอบเอาของฉันไปทิ้งเหมือนเมื่อก่อน ท่านเคยบอกว่าข้าวของที่ได้มาจากการทำงานแบบนั้นมันไม่มีค่า จะไม่มีค่าได้ไงซื้อมาตั้งหลายพัน!
ฉันเลยต้องเอารองเท้าผ้าใบคู่เดิมออกมาสวม โชคดีที่ซักทำความสะอาดอยู่ตลอดมันเลยดูไม่เก่า
“ลานเบียร์เปิดแต่เช้าเลยเหรอ” ยูโรถามขึ้นมา ฉันหันไปส่ายหน้าน้อย ๆ ลานเบียร์บ้าบออะไรเปิด 8โมง
“งานอื่น ไปละ เดี๋ยวสาย”
“เดี๋ยวดิพี่”
“มีไร”
“ขอตังค์พันดิ พ่อไม่มีให้อะ”
“เอาไปทำไร”
“จ่ายค่างานเลี้ยงก่อนเรียนจบอะ พ่อบอกไม่มีให้ ผมบอกตรง ๆ ว่าอายเพื่อนอะพี่ พวกมันมีจ่ายกันทั้งนั้น”
ฉันหันไปสบตากับลูกหมีด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าในใจ นี่พ่อลามไปถึงน้องแล้วเหรอ ขนาดลูกชายหัวแก้วหัวแหวนพ่อยังไม่ให้ แล้วลูกชังอย่างฉัน…เหอะ! ฉันควักเงินให้น้องไปหนึ่งพันบาทตามที่น้องขอ
“มึงก็ใจดีไปให้ไอ้ยู ดูไม่ออกเหรอว่ามันโกหกอะ เพิ่งจะเปิดเทอมมอหกเองนะ จะรีบจ่ายค่างานเลี้ยงเพื่อ?” ลูกหมีเอ่ยออกมาขณะที่พากันเดินออกจากรั้วบ้าน
“ช่างแม่งเหอะ ยังไงซะก็หน้าที่พี่ที่ต้องให้น้อง” พ่อฉันได้กล่าวไว้!
“แต่บางทีมันก็ไม่โอเคนะเว้ย ขอตังค์อยู่เรื่อยแถมยังโกหกอีก”
“เค้นถามไปก็ไม่ได้ความจริง ไป ๆ มา ๆ จะเถียงกันแล้วพ่อก็ออกมาด่ากูอีก เป็นแบบนั้นก็ไม่ไหว มีตังค์อยู่ก็ให้ ๆ มันไปจะได้จบ ๆ”
“แต่ถ้ามันมากเกินก็ไม่ต้องให้แล้ว” ฉันฟังลูกหมีพูดแล้วพยักหน้าให้ ฉันก็รู้ลิมิตตัวเองว่าสามารถให้ได้แค่ไหน ถ้ามันมากไปหรือเป็นช่วงที่ฉันไม่มีเงิน ฉันก็ไม่ให้หรอก
“เหี้ย! จะสายแล้วมึง” ฉันเอ่ยออกมาด้วยความตกใจหลังจากที่ยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกา มัวแต่เดินอ้อยอิ่ง ลูกหมีจึงจับมือฉันวิ่งออกมาที่หน้าปากซอย เรียกมอเตอร์ไซค์รับจ้างกันคนละคันให้ไปส่งที่สถานีรถไฟฟ้า ฉันนั่งแล้วไปเปลี่ยนเป็นแอร์พอร์ตลิงก์เพื่อนั่งไปถึงสนามบิน ส่วนลูกหมีนั่งยาวไปลงที่สถานีสยามมีนัดกับแอลและใบบัวเพื่อนสนิทในแก๊ง
3คนนั้นเขานัดกันไปเดินเล่น ฉันแอบเสียดายนิด ๆ ที่ไม่ได้ไปเดินเล่นด้วย ในวันหยุดฉันต้องออกไปทำงานตามที่ได้รับมา แต่ก็ใช่ว่าจะมีงานทุกสัปดาห์หรอกนะ หากได้โอกาสก็จะรีบคว้าไว้ เรื่องเดินเล่นไว้ทีหลังได้