หงซือซือและพระชายาหานนั่งเคียงคู่กันชมการประลองอย่างตื่นตาตื่นใจ
“ข้าไม่เคยเลยว่าการประลองของเหล่าจอมยุทธ์ที่นี่จะตื่นเต้นราวกับการประลองเจ้ายุทธภพ” หานซู่ลี่แทบจะปรบมืออยู่ตลอดเวลาจนจอมยุทธ์หงนึกรำคาญต้องจับมือของนางลง
“เจ้าก็พอก่อนเถิดอย่าเอาแต่ปรบมืออยู่เลย นั่งดูเงียบๆ จะได้ไม่รบกวนพวกเขาประลองฝีมือ”
“ใช่ๆ ข้าลืมไป ก็ข้าไม่เคยเห็นคนประลองด้วยวิทยายุทธ์ล้ำเลิศเพียงนี้นี่นา”
“เมื่อกี้เจ้าพูดยังกับเคยไปดูการประลองชิงตำแหน่งเจ้ายุทธภพ”
“เคยที่ไหนกันเล่า? ข้ามาเมืองหมิงตอนไหนเจ้าก็รู้อยู่ จากนั้นก็วุ่นวายแค่เรื่องหาเงินกับสามี ตอนนี้ยังมาลูกฝาแฝดอีก จะเอายามไหนไปดูกัน”
พวกนางมัวแต่ต่อปากต่อคำ ไม่นานนักผลแพ้ชนะก็ปรากฏ ขณะที่ผู้ชนะกำลังยกมือขึ้นคารวะรอบตัวเพื่อขอบคุณผู้ชมรายรอบ พลันร่างหนึ่งก็ทะยานเข้ามากลางวง ยกมือคารวะผู้ชนะเมื่อครู่เป็นเชิงท้าทาย
“เจ้าดูแม่นางผู้นี้สิ นางช่างงดงามซ้ำยังองอาจยิ่ง” เมื่อสตรีผู้นั้นผินหน้ามาทางที่ทั้งสองนั่งอยู่ “นางท่าจะอายุน้อยกว่าเราสองคนเสียอีก” หานซู่ลี่เอ่ยความตื่นเต้น
หงซือซือสังเกตใบหน้า ลำคอ รูปร่าง และมือของนาง พลันผิดสังเกต “ข้าว่านางมิได้อายุเช่นที่เราเห็นดอก นี่ล่ะคนที่ข้ารอคอยอยู่”
“เจ้าหมายถึง?”
“นางคือศิษย์ผู้น้องของท่านพ่อข้า ท่านอาเจียง”
“อ้อ! นี่เองคนที่เจ้าบอกว่าต้องมาพบให้ได้ เหตุใดเจ้าจึงรู้ว่าเป็นนาง?”
“เจ้าดูเส้นที่ลำคอของนางสิ มันบ่งบอกอายุ และที่มือของนางก็เช่นกัน นางคงมีเวลาน้อยจึงมิได้กลบเส้นเลือดที่โปนขึ้นมาบ่งบอกว่าผู้เป็นเจ้าของเริ่มเข้าสู่วัยกลางคนแล้ว”
พระชายาหานมองตามแล้วพยักหน้า ค่อยๆ ไล่มองไปตามลำดับที่สหายนางกล่าว “จริงอย่างที่เจ้าว่า สังเกตดีๆ ก็จะรู้ว่านางมิใช่สตรีอายุน้อย”
ใช้เวลาประลองฝีมือไม่นานนักท่านอาเจียงของหงซือซือก็ชนะได้ไม่ยากนัก ทว่าเมื่อชนะแล้วนางกลับขอตัวไม่ประลองต่อ ทำให้รอบข้างฮือฮาด้วยความเสียดาย ทว่าเมื่อนางยิ้มแย้มโปรยยิ้มไปโดยรอบ ความงามของนางก็ทำเอาบุรุษทั้งหลายมึนงงไปชั่วขณะล้วนอภัยให้นางแต่โดยดี
“ท่านอาเจียง เพลงกระบี่ที่ท่านใช้คราวนี้แปลกกว่าครั้งก่อนมาก ตกลงว่าท่านไปได้วิชามาจากสำนักไหนหรือ?”
“จุ๊ๆ เจ้าอย่าเอ่ยเสียงดัง เราไปคุยกันที่ห้องพักเจ้าดีกว่า”
จอมยุทธ์หงนำทางคนทั้งคู่ไปยังห้องพักใหม่ของนางที่ยังไม่ยอมบอกให้คุณชายสามได้ทราบ เจียงเผิงเผิงเล่าให้นางฟังถึงวิชาที่ตนแอบแปลงโฉมเข้าไปในสำนักมืออสูรแล้วลอบเรียนรู้
“ข้าเดินทางขึ้นเหนือเพื่อหวังจะไปตามเจ้าผีไร้หลุมที่แคว้นเว่ย แต่เพราะเจอร่องรอยของคนสำนักมืออสูร จึงแปลงโฉมเป็นคนผู้หนึ่งติดตามพวกมันไปบนเขา ซงซานทางตอนเหนือ ที่นั่นเป็นสำนักที่พวกเขาใช้ฝึกวิชากัน เมื่อข้าได้เรียนรู้วิชากระบี่ของพวกเขาแล้วก็ไม่กล้าอยู่นานเพราะคนที่นั่นหูว่องตาไวนัก หากผิดสังเกตเข้าข้าเกรงตนเองจะลำบากจึงรีบหนีออกมา"
“ท่านอาเจียงสอนข้าด้วยเถิด หากข้าได้เจอกับพวกเขาจริงๆ จะได้รู้วิธีต่อกร” หงซือซือแม้ในยามนี้วิทยายุทธ์จะไม่ล้ำเลิศแต่เพราะนางรู้เคล็ดลับวิชาของสำนักต่างๆ ในยุทธภพแทบจะครบถ้วนทำให้สามารถป้องกันตนเองและต่อสู้กับคนพวกนั้นได้ ทุกครั้ง ท่านอาเจียงพยักหน้าแล้วก็เริ่มแสดงกระบวนท่าพื้นฐานให้พวกนางได้ดู
“เสียดายห้องนี้แคบไปนิดข้าไม่อาจแสดงท่าพิสดารกว่านี้ได้”
“เช่นนั้นเราไปสวนด้านหลังยามนี้แขกทั้งหมดน่าจะไปดูการประลองคงจะไม่มีผู้ใดไปที่นั่น” เจียงเผิงเผิงนำหน้าสตรีทั้งสองกระโจนลงทางหน้าต่างลงไปสวนด้านหลังรีบร้อนสอนเคล็ดวิชากระบี่กระชากวิญญาณอย่างเร่งร้อน เมื่อสอบถามแล้วพบว่าหงซือซือจำได้ครบถ้วนก็ล้วงผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาปาดเหงื่อสองสามครั้ง “ข้าเหนื่อยจนหน้ากากจะลอกอยู่แล้วนี่”
“อย่ามาหลอกข้าเลย ท่านไปอยู่สำนักมืออสูรจนฝึกวิชาเขาสำเร็จมาได้ แค่นี้คงไม่ทำให้หน้ากากท่านลอกดอกกระมัง?”
“เจ้าอย่ามารู้ทันข้า เออ...จริงสิ! คราวนี้เจ้ามีเรื่องใดจะถามข้าถึงได้ส่งจดหมายไปนัด” อาเจียงเดินไปนั่งที่ม้าหินใต้ต้นไม้ใหญ่ โดยมีสตรีทั้งสองตามไปนั่งด้วย “หรือว่าเป็นเรื่องที่เจ้าไม่อาจสืบหาด้วยตนเอง”
“ใช่! ข้าอยากจะถามเรื่องต้นตระกูลของข้า ท่านพอจะเคยได้ยินท่านอาจารย์ย่าหรือท่านพ่อข้าเอ่ยถึงหรือไม่?”
เจียงเผิงเผิงมองหน้าศิษย์รุ่นหลานแล้วเอ่ยขึ้นด้วยความหนักใจ “มิใช่ว่าข้าไม่อยากจะบอกเจ้า แต่ข้าเคยได้ยินเพียงเล็กน้อยเท่านั้น”
“ท่านโปรดบอกข้าเถิด”
“ท่านพ่อของเจ้าเคยเล่าว่าเขาเป็นบุตรของลูกบุญธรรมฮ่องเต้รัชกาลก่อน แต่เกิดเหตุวุ่นวายในวังทำให้ต้องหนีออกไปสู่ยุทธภพ และเมื่อได้ฝึกวิชาแปลงโฉมกับท่านอาจารย์แล้วจึงสามารถเร้นกายอยู่ได้ทุกที่ แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังไม่ค่อยจะปรากฏตัวที่เมืองหมิงบ่อยนัก”
หงซือซือคิ้วขมวดมุ่น “เรื่องใดกันทำให้ท่านพ่อถึงกับต้องหนีออกสู่ยุทธภพ”
“ในวังหลวงล้วนเต็มไปด้วยเรื่องชิงดีชิงเด่น ซ้ำยังอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ทุกเมื่อ หากมิใช่เรื่องอำนาจวาสนา ก็อาจจะเป็นการขวางทางผู้ใดสักคน”
หานซู่ลี่เห็นด้วยกับคำกล่าวของท่านอาเจียง เมื่อนางหันไปเห็นสหายกำลังอยู่ในภวังค์ก็นึกรู้ว่าความตั้งใจที่จะเข้าวังของหงซือซือคงไม่มีวันที่จะล้มล้างได้ “จอมยุทธ์หงหากเจ้าคิดจะไปสืบความจริงก็คงต้องวางแผนให้รัดกุมเสียหน่อย”
“ได้! ข้าจะคิดให้รอบคอบก่อนจะเข้าไป”
เจียงเผิงเผิงเห็นหลานต้องการจะไปค้นหาเรื่องที่เกี่ยวกับชาติกำเนิดของตนถึงเพียงนั้นก็นึกเป็นห่วง นางเองก็ท่องยุทธภพมาหลายสิบปีก็เข้าใจได้ว่าการห้ามมิใช่หนทางแก้ปัญหา “ข้าจะให้ยาที่เพิ่งได้มาจากผีไร้หลุมก็แล้วกัน เพราะขากลับจากเขาซงซานข้าได้พบเขาพอดี ยาสองชนิดนี้ยังมิเคยวางจำหน่ายมาก่อน เห็นแก่เคยเป็นสหายเก่าแก่เขาจึงให้ข้าในราคาย่อมเยา” นางยื่นขวดยาขนาดเล็กสองขวดให้กับหลานสาว “จงพกไว้ติดตัวเถิด”
“ขอบคุณท่านอาเจียง”
“เย็นนี้มีนิทานด้วยนี่ เมื่อวานเป็นเรื่องใดหรือ?”
เมื่อหลานสาวบอกชื่อเรื่องให้นางได้ฟัง เจียงเผิงเผิงถึงกับสะอึก “นี่พวกเขาเอาเรื่องอาจารย์กับท่านพ่อของเจ้าไปตกแต่งให้พิสดารอีกแล้วล่ะสินะ ล้วนแล้วมีแต่เรื่องไม่จริงเสียเกือบครึ่ง”
“ข้าก็อยากรู้เหมือนกัน พวกเขาจะรู้ไหมว่าเซียนพันหน้ายังมีศิษย์น้องอย่างท่านอยู่อีกคน?”
*************************
ไรท์แนะนำ....อีบุ๊กทุกเล่มมีจำหน่ายที่ mebmarket.com ค่ะ