บทที่ 5
ภูตผีปีศาจ
เวลาล่วงเลยถึงปลายยามเซิน (15.00-16.59น.) ดวงอาทิตย์เริ่มอ่อนแสงลง หมู่วิหคนานาพันธุ์เริ่มบินกลับสู่รังนอน บ้างส่งเสียงร้องคล้ายทำนองเพลง บ้างหยุดเกาะที่กิ่งไม้เพื่อพักเอาแรงก่อนออกบินต่อ
สองมนุษย์หนึ่งครึ่งอสูรจัดแจงหาที่พักแรม วันนี้เป็นคืนเดือนดับ คงไม่ใช่เรื่องดีเท่าใดนัก หากว่าพวกเขาจะเดินทางกันต่อจนดวงอาทิตย์ลาลับแล้วค่อยหาที่พักแรม
เหอเจ่อฮั่นก่อไฟขึ้นกองใหญ่ เช้าวันนี้เขารู้สึกเหมือนมีลางสังหรณ์ใจบางอย่าง มาตรว่าจะเป็นเรื่องไม่ดีเท่าใดนัก ตลอดทั้งวันมานี้เขาจึงรู้สึกใจคอไม่ค่อยดี ทั้งยังรู้สึกหวาดระแวงอยู่ตลอดเวลา
ชายหนุ่มถือไฟไล่ไปทั่วรอบๆ บริเวณที่จะพักแรมเพื่อขับไล่สัตว์ร้าย ซ่งหานหลิ่งที่จับปลาสามตัวมาได้มองดูการกระทำของอีกฝ่ายแล้วก็ได้แต่รู้สึกกังขา
“อาฮั่นเจ้าเตรียมไม้เสียบย่างปลาไว้แล้วหรือไม่?” ซ่งหานหลิ่งเอ่ยถาม ในขณะที่มือก็สาละวนอยู่กับการควักไส้ควักพุงปลาออก ข้างกายของเขามีเป้าจื่อไป๋นั่งดูด้วยความสงบเสงี่ยม
“เตรียมแล้วๆ” คนที่กำลังถือไฟไล่แมลงและสัตว์ร้ายอื่นๆ อยู่ร้องบอก
เป้าจื่อไป๋เห็นดังนั้นจึงเดินไปหยิบไม้เสียบปลามาให้ท่านหมอหนุ่มอย่างรู้งาน ความจริงแล้วหน้าที่นี้ควรเป็นนางที่จะต้องทำมากกว่า
ทว่าคุณชายท่านนี้ย่างปลาได้หอมน่ากินยิ่งนัก ไม่รู้ว่าเขาใส่สมุนไพรชนิดใดลงไปบ้าง จึงทำให้ปลาที่เขาย่างออกมานั้นอร่อยเลิศล้ำหาที่ใดเปรียบ
“ขอบใจ” ซ่งหานหลิ่งเอ่ยขอบคุณความช่วยเหลือ เขาเสียบปลาสามตัวที่หมักกับสมุนไพรเรียบร้อยแล้วกับไม้ ก่อนจะนำปลาทั้งสามตัวไปย่างไฟอ่อนๆ
“อาฮั่น นั่นเจ้าทำอะไรอยู่” ซ่งหานหลิ่งเอ่ยปากถาม แต่มือกับตายังจดจ่ออยู่กับปลาย่างสามตัว
“ไม่มีอันใดหรอก เพียงแค่ไล่พวกแมลงเท่านั้น” เหอเจ่อฮั่นเอ่ยตอบก่อนจะเดินมานั่งลงข้างๆ ชายหนุ่ม ซึ่งอีกฝั่งมีเป้าจื่อไป๋นั่งเฝ้าอยู่ไม่ไกล
“อาหลิ่ง เจ้าน่าจะให้นางทำ หน้าที่พวกนี้หากใช่ของบุรุษไม่ คราวหน้าเจ้าจับปลามาได้ก็มอบให้นางจัดการเสีย เป็นสตรีแต่กลับไม่เก่งเรื่องงานครัว บุรุษที่ใดจะกล้าตบแต่งนางกัน”
ซ่งหานหลิ่งลอบยิ้มขัน ทว่าคนถูกว่าตรงๆ กลับตีหน้าซื่อ คล้ายไม่เข้าใจว่าที่ผู้เป็นนายพูดไปนั้น เป็นการว่ากล่าวตักเตือนตนเอง
“นายท่าน...ท่านหมายความว่าเยี่ยงไรหรือเจ้าคะ?” คนซื่อเอ่ยถามตาใส
เหอเจ่อฮั่นนิ่วหน้า เมื่อครู่นี้มิใช่ว่าเขากำลังสั่งสอนนางอยู่หรอกหรือ?
“ข้าหมายความว่า ต่อไปให้เจ้าหัดทำงานครัว ทำเหมือนอย่างที่อาหลิ่งทำ”
เหอเจ่อฮั่นพูดแล้วก็ส่ายหน้า นางใสซื่อจนเกือบจะเรียกได้ว่าโง่งมถึงเพียงนี้ แต่กลับใช้ชีวิตรอดมาได้ด้วยตัวคนเดียว สวรรค์ช่างเมตตานางยิ่งนัก
“เจ้าค่ะ ต่อไปข้าจะเรียนรู้จากคุณชายให้มากๆ” เป้าจื่อไป๋ยิ้มรับ ก่อนจะก้มหน้ามองปลาย่างด้วยแววตาละห้อย
ซ่งหานหลิ่งมองสองนายบ่าวสลับกัน เขาหันมองเป้าจื่อไป๋อีกครั้ง ก่อนจะหันหน้ามาหาผู้เป็นนายท่านของนาง
“เจ้าจะเข้มงวดกับนางไปไย ถึงอย่างไรก็ต้องอยู่ด้วยกันไปจนชั่วชีวิต นางยังเด็ก อีกทั้งไม่ค่อยรู้ความ ค่อยๆ บอก ค่อยๆ สอนไปดีกว่า อย่าดุด่าว่ากล่าวให้ต้องเจ็บช้ำน้ำใจกันเลย”
“เจ้าเป็นห่วงนางรึ? เป็นมารดาของนางหรืออย่างไร ถึงได้เอาอกเอาใจให้ท้ายนางถึงเพียงนี้ กับข้าที่เป็นสหายของเจ้า เจ้ายังไม่เคยไยดีปานนี้ แต่นี่อะไร” เหอเจ่อฮั่นเอ่ยถามเสียงห้วน แต่น้ำเสียงกลับไร้ซึ่งความขุ่นเคือง
“เจ้าสิเป็นมารดาของนาง บังคับจัดแจงให้นางเรียนรู้งานครัวเพื่อเตรียมตัวออกเรือนเสียขนาดนี้” ซ่งหานหลิ่งว่ากลับ
เหอเจ่อฮั่นหันขวับมองคนนั่งข้างๆ ก่อนจะเอ่ยปากต่อคำ “หากข้าเป็นมารดาของนาง เจ้าก็คงต้องเป็นบิดาของนางแล้ว ตามอกตามใจกันยิ่งกว่าพ่อลูกในไส้”
เถียงกันอีกแล้ว...
เป้าจื่อไป๋เท้าคางมองสองบุรุษโต้เถียงกันไปมา หลายวันมานี้นางชินกับภาพคนสองคนเถียงไปเสียแล้ว หากวันใดพวกเขาไม่ลับฝีปากกัน คาดว่าคงมีคนใดคนหนึ่งนอนไม่หลับเป็นแน่
“คุณชาย นายท่าน ปลาสุกแล้วเจ้าค่ะ” หญิงสาวหนึ่งเดียวเอ่ยบอก ก่อนจะยื่นปลาย่างไปให้พวกเขา
“กินดีๆ เล่า ประเดี๋ยวก้างติดคอแล้วจะแย่เอา” เหอเจ่อฮั่นเอ่ยกำชับคนที่นั่งอยู่ถัดไปจากหมอหนุ่ม
“เจ้าค่ะๆ” เป้าจื่อไป๋พยักหน้ารับคำ ทว่าในใจก็ตอบกลับว่านางไม่ได้เด็กถึงขนาดไม่ระวังก้างปลาเวลากินเสียหน่อย ทว่าเถียงไปก็ไร้ประโยชน์ ดังนั้นนางจึงลงมือจัดการปลาย่างหอมฉุยในส่วนของตนเองเงียบๆ
“นิสัยมารดา...มารดาจริงๆ” ซ่งหานหลิ่งเอ่ยขึ้นลอยๆ
“เจ้า!...”
“นายท่านกินปลาเถอะเจ้าค่ะ” เป้าจื่อไป๋เอ่ยขัดขึ้นด้วยรอยยิ้ม ในหัวของนางตอนนี้รู้ซึ้งแล้วว่าต่อไปจะมีวิธีอยู่ร่วมกับนายท่านและคุณชายซ่งเช่นไร
เมื่อท้องอิ่มทั้งสามคนก็ต่างนอนหลับสนิท เมื่อเวลาล่วงไปถึงกลางยามโฉ่ว (01.00-02.59น.) จึงไม่มีผู้ใดสัมผัสได้ถึงความผิดแปลกที่เกิดขึ้นรอบกาย
การเคลื่อนไหวที่แผ่วเบาของสัตว์เลื้อยคลานชนิดหนึ่ง ส่งผลให้วัชพืชน้อยใหญ่ที่มันเคลื่อนกายผ่านเฉาตายลงภายในชั่วพริบตา
เมื่อมันเลื้อยมาถึงจุดที่คนทั้งสามกำลังนอนหลับอยู่ ร่างกายที่แต่เดิมเป็นงูยักษ์ตัวใหญ่ก็แปรเปลี่ยนเป็นหนึ่งบุรุษรูปร่างสูง ผิวกายดำเลื่อมทั้งยังมีเกล็ด ดวงตาสีแดงฉานดุจสีเลือด ผมสีขาวปลิวไสวเล็กน้อยยามที่สายลมพัดผ่าน
“เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของอดีตท่านผู้สร้างจริงๆ” บุรุษผู้แปลกประหลาดเอ่ยขึ้น ดวงตาทั้งคู่ของมันเบิกกว้างเมื่อมองไปยังร่างที่หลับใหลของเหอเจ่อฮั่น
บรรดาเทพชั้นสูงของเผ่าสวรรค์นั้น ล้วนแล้วแต่สืบเชื้อสายมาจากท่านผู้สร้างเมื่อครั้งอดีตกาลทั้งสิ้น และจะมีกลิ่นอายพิเศษแฝงอยู่ แต่ไม่ใช่ว่าใครก็จะสามารถรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายพิเศษนั้น
ห่าวอู๋ละสายตาไปมองอีกด้าน เมื่อเห็นเป็นมนุษย์ธรรมดาผู้หนึ่งจึงหันหน้าหนี ทว่าเมื่อกวาดสายตามองผ่านร่างของสองบุรุษไป ห่าวอู๋ก็ถึงกับต้องขมวดคิ้ว เมื่อเขามองไปเห็นร่างของสตรีนางหนึ่งที่กำลังหลับใหลอยู่
“เสือดาวหิมะ?”
มิใช่ว่าเผ่าพันธุ์ของสัตว์อสูรชนิดนี้จบสิ้นไปหลายร้อยปีแล้วหรอกหรือ?
“เป็นความพิเศษของสายเลือดเผ่าสวรรค์อย่างนั้นสินะ” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงหยามเหยียด
เมื่อนึกถึงเผ่าสวรรค์ ความกรุ่นโกรธเคืองแค้นที่มีมาช้านานตั้งแต่ครั้งบรรพกาลก็ปะทุขึ้นมาในอก แม้กาลเวลาจะผ่านเลยมาหลายแสนปี ทว่าเขากลับไม่เคยลืมภาพที่ตนเองถูกรังแกเมื่อครั้งในอดีตได้เลย
ห่าวอู๋หลับตาลง ก่อนจะใช้จิตสัมผัสควานหาผู้ที่มีกลิ่นอายของพลังปราณของเขาผสมอยู่ในกาย
“เป็นเขา?”
ห่าวอู๋มองไปร่างของเหอเจ่อฮั่น เป็นบุรุษผู้นี้แน่ที่รุกล้ำเข้าไปในดินแดนเปลี่ยวร้างของเขา ทั้งยังได้ดื่มน้ำจันทร์ในบ่อมายา ทำให้พลังปราณในกายมีกลิ่นอายของดินแดนเปลี่ยวร้างแฝงอยู่
ต้องเท้าความก่อนว่าดินเปลี่ยวร้างนั้น เมื่อครั้งก่อนบรรพกาลเป็นที่พักค้างอ้างแรมของบรรดาผู้สร้าง เมื่อครั้งบรรดาผู้สร้างนั้นถือกำเนิดขึ้นมาใหม่ๆ จากพลังแห่งธรรมชาติ
และเมื่อสรรพสิ่งทั้งหลายถูกสร้างขึ้น เหล่าผู้สร้างจึงแยกย้ายกันไปหาที่แห่งใหม่พักอาศัยอยู่ จึงทำให้ดินแดนที่เคยอยู่นั้นเปลี่ยวร้างไร้ผู้คน ทว่ายังคงแฝงไว้ด้วยพลังอันมหาศาลที่ซุกซ่อนอยู่
นั่นจึงเป็นสาเหตุให้ในดินแดนเปลี่ยวร้างมีสิ่งวิเศษที่เรียกว่าบ่อมายา ทว่าด้วยพลังแห่งผู้สร้าง บ่อมายานี้จึงไม่ตกอยู่ในความครอบครองของผู้ใด เช่นเดียวกันกับสิ่งวิเศษชนิดอื่นๆ อย่างเช่นอ่างศิลาเย็น ที่สามารถย้อนดูอดีตชาติได้
แต่คุณสมบัติของบ่อมายานี้มีประโยชน์มากกว่าย้อนดูอดีตชาติอยู่มาก นั่นคือมันสามารถปลุกและสร้างพลังได้
แม้ดินแดนเปลี่ยวร้างในอดีตจะเคยเป็นดินแดนของผู้สร้าง ทว่าหลายพันหลายหมื่นปีมานี้ เขาเป็นผู้เดียวที่อาศัยอยู่ในนั้น นั่นจึงเท่ากับว่าเขาเป็นผู้ครอบครองดินแดนแห่งนั้นไปโดยปริยาย
และเมื่อดินแดนถูกบุกรุกโดยคนแปลกหน้าในรอบหลายพันปี เป็นไปได้หรือที่เขาจะไม่อยากรู้อยากเห็น ว่าคนคนนั้นเป็นผู้ใด?
แต่เมื่อมารู้ว่าคนผู้นั้นเป็นคนของเผ่าสวรรค์ ความเคียดแค้นชิงชังก็เหมือนจะย้อนกลับเข้ามาในจิตใจอีกครั้ง
“ข้ามิเคยยุ่งเกี่ยวกับเผ่าสวรรค์มาช้านาน...ผิดที่เจ้าล่วงล้ำเขตแดนของข้า!” ห่าวอู๋ตะโกนก้อง เรียกบุคคลทั้งสามที่หลับใหลอยู่ให้ตื่นคืนสติ
เหอเจ่อฮั่นลืมตาขึ้นมาด้วยความงัวเงีย เช่นเดียวกับซ่งหานหลิ่งที่พยายามกะพริบตาหลายครั้งเพื่อปรับรับความมืดมนของบรรยากาศรอบกาย
กรี๊ดดดด.....
เป้าจื่อไป๋กรีดร้องลั่นด้วยความตกใจ แม้ว่านางจะอยู่ไกลจากห่าวอู๋ที่สุดเมื่อเทียบกับสองหนุ่ม ทว่าความน่ากลัวและดวงตาแดงฉานที่มองมานั้น ช่างชวนให้ผู้พบเห็นหวาดกลัวโดยแท้
“ไป๋เอ๋อร์!” เหอเจ่อฮั่นร้องเรียกคู่พันธะตน ทว่าเป้าจื่อไป๋คล้ายสติหลุดลอยไปไกลแล้ว
“อาฮั่น พานางออกไป!”
ซ่งหานหลิ่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง สายตาจดจ้องอยู่กับสิ่งที่ยืนอยู่ข้างหน้า ชายหนุ่มไม่รู้ควรจะเรียกอีกฝ่ายว่าอะไร เทพ มาร สัตว์อสูรหรือว่าปีศาจ
“นายท่าน” เป้าจื่อไป๋เอ่ยเรียกผู้เป็นนายเสียงสั่น ทั้งยังเกาะแขนอีกฝ่ายไว้แน่น
“ไม่เป็นไรๆ เจ้าอยู่ตรงนี้ปลอดภัยดีแล้ว” เหอเจ่อฮั่นเอ่ยปลอบ ทั้งยังลูบหัวเจ้าแมวน้อยเบาๆ ด้วยความอ่อนโยน “รออยู่ตรงนี้ แล้วข้าจะมารับ” ชายหนุ่มว่า
เป้าจื่อไป๋พยักหน้ารับงึกๆ นางเชื่อฟังผู้เป็นนายทุกอย่างอยู่แล้ว แม้ว่าเพิ่งจะเป็นนายบ่าวกันได้ไม่กี่วันก็ตาม
“ผู้อาวุโส พวกข้าน้อยทำสิ่งใดที่เป็นการล่วงเกินท่านหรือ?” ซ่งหานหลิ่งเอ่ยถามไถ่ที่มาที่ไป แม้จะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นตัวอะไร แต่เดาได้ว่าต้องฟังภาษาคนรู้เรื่องแน่
ห่าวอู๋มองหน้าคนถาม มนุษย์ผู้นี้ช่างใจกล้านัก เพราะนอกจากจะเห็นรูปลักษณ์ของเขาแล้วแต่กลับไม่คิดกลัว ทั้งยังเจรจาพาทีได้อย่างปกติ ทั้งๆ ที่เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาผู้หนึ่ง หาใช่เทพที่ลงมาเกิดบนโลกมนุษย์เฉกเช่นอีกคนไม่
“หากพวกข้าทำสิ่งใดที่เป็นการล่วงเกินไปโดยไม่รู้ตัว ก็ขอให้ท่านผู้อาวุโสได้โปรดอภัยให้พวกข้าด้วยเถิด”
ซ่งหานหลิ่งเอ่ยอย่างรู้สึกผิด เมื่อนึกไปถึงเหตุการณ์เมื่อตอนหัวค่ำ ที่เหอเจ่อฮั่นเที่ยวใช้ไฟลนตามพุ่มไม้ต้นไม้เพื่อไล่แมลง ไม่แน่ว่าอาจจะเผลอไปล่วงเกินท่านผู้นี้เข้าก็เป็นได้
“อาหลิ่ง” เหอเจ่อฮั่นเอ่ยเรียก ก่อนจะปรายตามองความแปลกประหลาดตรงหน้า “นะ...นี่มันตัวอะไร?”
เหอเจ่อฮั่นมองบุรุษผมขาว ตาแดง ตัวดำทั้งยังมีเกล็ดเต็มตัวแล้วก็เอ่ยถามอย่างฉงน ไม่แปลกใจเลยที่เป้าจื่อไป๋จะหวาดกลัวออกอย่างที่แสดงออก
“หึ!” ตัวประหลาดในสายตาของเหอเจ่อฮั่นหัวเราะออกมาคำหนึ่ง “คนใกล้ตายเช่นเจ้าไม่จำเป็นต้องรู้”
“คนใกล้ตาย?” คนถูกหมายหัวเอ่ยอย่างงุนงง
“เรื่องอะไรมาว่าข้าใกล้ตายกัน คนเยี่ยงข้ายังอายุยืนไปได้อีกร้อยปี ตัวประหลาดที่บังอาจทำแมวน้อยของข้าหวาดกลัวต่างหากที่ต้องตาย!” เหอเจ่อฮั่นโต้กลับอย่างถือดี
“อาฮั่น!” ซ่งหานหลิ่งร้องปราม ทว่าไม่ทันการเสียแล้ว เมื่อแส้สายหนึ่งถูกฟาดตรงมายังจุดที่พวกเขายืนอยู่
“อาหลิ่งระวัง!” เหอเจ่อฮั่นตะโกนก้อง ก่อนจะตวัดสายกรุ่นโกรธไปที่ตัวประหลาดน่าเกลียดตัวนั้น
เจ้าตัวน่ารังเกียจนี่ บังอาจขัดขวางเวลานอนยังไม่พอ ทั้งยังกล้าลงมือทำร้ายอาหลิ่งของเขา ดูท่าคงไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อเสียแล้วกระมัง!
ฟึบ!ฉับ!
กระบี่เล่มใหญ่ถูกเหอเจ่อฮั่นชักออกมาสกัดปลายแส้ที่พุ่งตรงเข้าหา ก่อนที่เขาจะตวัดปลายกระบี่ปะทะกับแส้ยาวสีดำที่เต็มไปด้วยเกล็ดราวกับว่าเป็นงูตัวยาว
คนก็น่าเกลียดน่ากลัวแล้วยังไม่พอ อาวุธคู่กายยังจะน่าเกลียดอีก!
“กล้าดีต่อสู้กับข้ารึ?” ห่าวอู๋เอ่ยเมื่อชักแส้อสรพิษกลับเข้ามาหาตัว เขาปรายตามองเหอเจ่อฮั่นแวบหนึ่งก่อนจะยิ้มเหยียด แล้วหันไปมองที่อาวุธของอีกฝ่าย
กระบี่ปราณอัคคี?
ห่าวอู๋นิ่วหน้า กระบี่ปราณอัคคีนี้เป็นอาวุธคู่กายของหนึ่งในเหล่าผู้สร้างเมื่อครั้งบรรพกาลไม่ผิดแน่ นั่นยิ่งตอกซ้ำว่าบุรุษผู้ยโสผู้นี้เป็นคนของเผ่าสวรรค์ ทั้งอาจจะเป็นเทพเซียนชั้นสูง ดูจากอาวุธคู่กายของอีกฝ่ายแล้วไม่แน่ว่าบุรุษผู้นี้อาจจะเป็น...เทพอัคคีเยี่ยจวิ้น!
คิดได้ดังนั้นความโกรธแค้นขุ่นเคืองของห่าวอู๋ก็ยิ่งเพิ่มทวีขึ้นมากเรื่อยๆ หนึ่งแสนปีก่อนเขาถูกกักขังไว้ในถ้ำกักมารบนยอดเขาสูง ด้วยฝีมือของเทพสงครามจวินหยางและเทพอัคคีเยี่ยจวิ้น
แต่ด้วยความที่ห่าวอู๋นั้นมีชาติกำเนิดมาจากปลาทองในสระบัวบนสรวงสวรรค์ ต่อให้เวลาต่อมาเขาจะถูกกิเลสครอบงำจนกลายร่างเป็นปีศาจร้าย ทว่าในร่างกายยังมีไอเทพเซียนปะปนอยู่ แม้จะมีเพียงน้อยนิด แต่มันก็เพียงพอที่จะทำให้เขาสามารถหนีออกมาจากถ้ำกักมารได้
ห่าวอู๋ใช้เวลาหนึ่งแสนปีในถ้ำหมดไปกับการบำเพ็ญเพียร และเมื่อตื่นจากการบำเพ็ญอันยาวนาน เขาก็สามารถทลายปราการที่ถูกสร้างโดยเทพสงครามและเทพอัคคี เพื่อกักขังเขาไว้ในถ้ำกักมารได้
และเมื่อหลุดพ้นจากการถูกกักขัง ห่าวอู๋ก็กลับไปยังดินแดนเปลี่ยวร้างของตน ก่อนจะพบว่าสถานที่แห่งนั้นถูกบุกรุกด้วยบุรุษที่เป็นหนึ่งในผู้ที่กักขังเขาไว้เมื่อหนึ่งแสนปีที่แล้ว...เทพอัคคีเยี่ยจวิ้น
“ไม่นึกว่าคนที่ลำพองในความเก่งกาจของตัวเองเช่นเจ้า จะมีวันตกต่ำจนต้องมาใช้กรรมบนโลกมนุษย์เยี่ยงนี้ เยี่ยจวิ้น”
คนถูกถามหันหน้ามองซ่งหานหลิ่งที่ยืนอยู่อีกฝั่ง ก่อนจะหันกลับมาหาตัวประหลาดหน้าโหด รูปร่างหน้าตานับว่าแปลกประหลาดแล้วยังพูดจาประหลาดๆ อีกด้วยหรือ?
“นี่เจ้าตัวแปลกประหลาด เจ้าพูดจาไร้สาระอะไร หากจะพูดให้ตนเองเข้าใจอยู่เพียงคนเดียวก็กลับรูเดิมไปซะ! จะมาก่อกวนสร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่นทำไม”
เหอเจ่อฮั่นพร้อมกับมองจ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างท้าทาย หาได้เกรงกลัวความแปลกประหลาดทว่าน่าเกรงขามนั้นไม่
“หึ! สมแล้วที่เป็นเจ้าเยี่ยจวิ้น เอ่ยวาจาถือดีแม้ในยามใกล้ตายคงจะมีเพียงแค่เจ้าเท่านั้นที่ทำได้ ดี...เช่นนั้นวันนี้ข้าก็จะสั่งสอนให้เจ้ารู้ซึ้งถึงผลของความโอหังที่มีเสียบ้าง!”
พูดจบห่าวอู๋ก็กลายร่างเป็นงูสีดำตัวใหญ่ยักษ์ ความกว้างของขนาดลำตัวของมันกะด้วยสายตาได้ราวๆ สามจั้ง ความยาวจากหัวจรดปลายหางคาดคะเนด้วยสายตาได้ราวครึ่งลี้
ปีศาจ...นี่มันปีศาจชัดๆ
เหอเจ่อฮั่นได้แต่ร้องอุทานในใจ แม้จะรู้สึกหวาดหวั่นกับความใหญ่ยาวของเจ้าสัตว์ประหลาด แต่เขาจะแสดงความขลาดเขลาออกมาให้ผู้อื่นเห็นไม่ได้
โดยเฉพาะซ่งหานหลิ่ง เขาไม่อยากเป็นเพียงตัวโง่งมที่ต้องคอยแต่ให้ผู้อื่นปกป้อง ในยามนี้เขาเก่งกาจขึ้นกว่าเดิมมากแล้ว และมันก็เป็นโอกาสดีที่เขาจะได้แสดงความสามารถนั้นออกไปให้อาหลิ่งรู้ เพื่อที่ต่อไปเข้าจะได้พูดออกไปอย่างเต็มปาก ว่าเขาจะปกป้องดูแลอาหลิ่งเอง!
เหอเจ่อฮั่นกระชับกระบี่ในมือแน่น ก่อนจะวิ่งเข้าหาปีศาจร้ายตัวแปลกประหลาดด้วยสายตาที่มุ่งมั่นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความกระหายที่จะพิสูจน์ตนเอง
“อาฮั่นระวัง!”
ซ่งหานหลิ่งร้องตามคนใจกล้า สายตาไม่ละไปจากร่างของเหอเจ่อฮั่นเลยแม้แต่เพียงเล็กน้อย ชายหนุ่มไม่รู้มาก่อนเลยว่า ห้าปีที่ผ่านมาเหอเจ่อฮั่นไปทำอะไรมาบ้าง ถึงได้มีวรยุทธและพลังปราณธาตุที่ก้าวหน้าและแข็งแกร่งได้เช่นนี้
“มา! เข้ามา! ยามนี้เจ้าเป็นเพียงมนุษย์ตัวจ้อย หากไม่ตายด้วยน้ำมือข้าในวันนี้ แล้วเจ้าจะตายด้วยน้ำมือใคร!”
ห่าวอู๋ในร่างงูเอ่ยออกมาอย่างเกรี้ยวกราด มันพุ่งเข้าฉกบุรุษตัวเล็กจ้อยเมื่อเทียบกับขนาดของมันอย่างไม่เว้นจังหวะ จู่โจมรวดเร็วรุนแรงจนเหอเจ่อฮั่นแทบจะไม่มีโอกาสได้ตวัดกระบี่ในมือ เพราะมัวแต่หลบหลีกการโจมตี
ซ่งหานหลิ่งมองดูการต่อสู้ที่เหอเจ่อฮั่นเป็นฝ่ายเสียเปรียบ มากกว่าได้เปรียบแล้วก็ให้เกิดความกังวล ชายหนุ่มจึงหยิบเอากระบี่ที่ไม่ได้ใช้งานมาช้านานออกมาจากแหวนมิติ ก่อนจะพุ่งเข้าใส่สัตว์ร้ายหมายแลกชีวิต
การต่อสู้แบบสองรุมหนึ่งอาจฟังดูแล้วง่ายดายมากที่จะได้รับชัยชนะ ทว่าไม่ใช่กับการต่อสู้ในครั้งนี้ สองมนุษย์ธรรมดาหรือจะสามารถเอาชนะอสุรกายที่มีพลังบำเพ็ญนับแสนปีอย่างเช่นห่าวอู๋ได้
อึก!
เอือก!
เหอเจ่อฮั่นกระอักเลือดออกมาค่ำหนึ่ง เมื่อเขาถูกปลายหางของห่าวอู๋ฟาดเข้าอย่างแรงจนล้มลงไปบนพื้นแล้วกระอักเลือดสีแดงออกมา
“อาฮั่น!”
ซ่งหานหลิ่งร้องเรียกอีกฝ่ายเสียงดัง จนเป้าจื่อไป๋ที่หลบอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ชะโงกหน้าออกมามอง
“นายท่าน!” ครึ่งสัตว์อสูรสาวเอ่ยปากร้องอย่างตกใจ เผลอวิ่งออกมาจากที่ซ่อนตัวอย่างหลงลืมความกลัวที่มีในตอนแรก
“เจ้าออกมาทำไม หลบไป!” เหอเจ่อฮั่นร้องบอก ก่อนจะกระอักเลือดออกมาใหม่ ถึงอย่างนั้นชายหนุ่มก็ยังฝืนหยัดกายลุกขึ้นยืน
“ตายยาก...ช่างตายยากจริงๆ ไม่ว่าจะร่างเทพหรือร่างมนุษย์ เจ้าก็ช่างจัดการได้ยากเย็น” ห่าวอู๋เอ่ยเสียงเรียบ ทว่ากลับทำให้คนฟังรู้สึกเย็นยะเยือกไปถึงกระดูก
ซ่งหานหลิ่งมองสายตาของอสุรกายตัวร้ายแล้วได้แต่นึกหวั่น ทั่วทั้งลำตัวของมันล้วนเต็มไปด้วยเกล็ดสีดำเลื่อมที่แข็งมากจนกระบี่ฟันแทงไม่เข้า แล้วเช่นนี้พวกเขาจะเอาชนะสัตว์ร้ายตัวนี้ได้อย่างไร
ทันใดนั้นเองชายหนุ่มก็นึกถึงผงพิษที่ตนเองมีเก็บไว้อยู่ในแหวนมิติ และเมื่อเจ้างูยักษ์ตัวนั้นกำลังจะเข้าจู่โจมเหอเจ่อฮั่นอีกครั้ง ชายหนุ่มก็กระโดดพุ่งตัวไปขวางหน้าไว้ทันที
ฉึก!
“อาหลิ่ง!”
เหอเจ่อฮั่นร้องเสียงหลง เมื่อซ่งหานหลิ่งพุ่งตัวมาขวางเส้นทางการจู่โจมของงูยักษ์ เป็นเหตุให้อีกฝ่ายถูกฉกเข้าเต็มๆ ที่หัวไหล่ด้านซ้าย ซ้ำยังล้มทับตัวเขาอีกครั้งอย่างแรงจนกระอักเลือดออกมาเป็นรอบที่สาม
“สมควรแล้ว อยากรนหาที่ตายดีนัก!”
ห่าวอู๋เอ่ยอย่างหยามเหยียด มันชายตามองร่างของคนสองคนที่ล้มทับกันอยู่ ก่อนจะคืนร่างกายกลับเป็นมนุษย์ แล้วสาวเท้าก้าวเข้าไปหาหนึ่งมนุษย์ธรรมดา กับอีกหนึ่งเทพในร่างมนุษย์
“เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าพวกเจ้าสมควรตายไปโดยไม่ต้องถามหาเหตุผล!”
ห่าวอู๋ตะคอกเสียงกล่าว ก่อนจะเรียกแส้อสรพิษออกมา หมายมาดฟาดฟันคนทั้งสองให้ตายตกคามือ ทว่าสิ่งที่คาดไม่ถึงมักจะเกิดขึ้นอยู่เสมอ เมื่อจู่ๆ เสือดาวหิมะตัวใหญ่ก็พุ่งกระโจนมาใส่ร่างของห่าวอู๋จนถอยเซออกไปไกล
โฮกกกกกกก!
เสือดาวหิมะตัวนั้นร้องคำรามเสียงดังก้องป่า ก่อนจะพุ่งตัวเข้าใส่ห่าวอู๋ด้วยความรวดเร็ว ฝ่ายห่าวอู๋ที่ถูกจู่โจมก็กลายร่างกลับไปเป็นงูยักษ์สีดำดังเดิม ทั้งยังพุ่งกายเข้าฉกกัดเสือดาวหิมะอย่างไม่เกรงกลัว
สองหนุ่มต่างประคองกายกันและกันลุกขึ้นจากพื้นแล้วมองดูการต่อสู้ของอสุรกายและสัตว์อสูรด้วยสายตาลุ้นระทึก
ทว่าในชั่วพริบตา ร่างของเสือดาวหิมะก็ถูกหางของงูดำฟาดเข้าตรงกลางลำตัวก่อนจะกระเด็นออกไปไกล
“ไป๋เอ๋อร์!/ ไป๋เอ๋อร์!”
บุรุษทั้งสองร้องออกมาพร้อมกัน ก่อนจะเป็นเหอเจ่อฮั่นที่พุ่งกายเข้าไปประจันหน้ากับงูยักษ์ ซ่งหานหลิ่งเห็นดังนั้นก็หันไปหยิบผงพิษออกมาจากแหวนมิติ ก่อนจะเดินหน้าเข้าไปหางูยักษ์ตัวนั้นเช่นเดียวกัน
“อาฮั่น! จุดอ่อนของมันอยู่ที่ดวงตา” ซ่งหานหลิ่งที่มือหนึ่งถือกระบี่ส่วนอีกถือผงพิษตะโกนบอกอีกฝ่าย
เหอเจ่อฮั่นที่หันมองห่อกระดาษสีขาวที่อยู่ในมือซ่งหานหลิ่งแล้วก็พยักหน้ารับ จากนั้นเขาก็ตวัดปลายดาบต่อสู้และหลบหลีกอยู่กับเจ้างูยักษ์อีกราวสองอึดใจ
และในจังหวะที่เหอเจ่อฮั่นกำลังต่อสู้อยู่กับงูยักษ์ เสือดาวหิมะก็พุ่งตัวเข้ามาร่วมวง ก่อนมันจะฉวยโอกาสตอนที่งูยักษ์หันไปจัดการเหอเจ่อฮั่นผู้เป็นนาย ใช้กรงเล็บอันแหลมคมและแข็งแกร่งข่วนเข้าที่ดวงตาทั้งคู่ของเจ้างูยักษ์
ซ่งหานหลิ่งเห็นดังนั้นก็รีบโปรยผงพิษที่อยู่ในมือใส่ดวงตาที่ได้รับบาดเจ็บของเจ้างูยักษ์ในทันที!
อ๊ากกกกกกกก!
ห่าวอู๋ร้องโอดโอยครวญครางออกมาด้วยความเจ็บปวด ผงพิษชนิดนี้ซ่งหานหลิ่งสกัดออกมาจากพิษของงูเกือบสิบชนิด ผสมรวมกับพิษของแมงป่องจึงได้เป็นพิษชนิดนี้ออกมา เมื่อครั้งที่เขาเดินทางไปยังแคว้นหนันหย่ง ดินแดนที่อยู่ติดกับทิศใต้ของแคว้นหนานไห่
“พวกเจ้า! พวกเจ้า!”
ห่าวอู๋เอ่ยออกมาได้เพียงเท่านั้นก็ร้องออกมาอย่างเจ็บปวดและทรมานอีกครั้ง กระทั่งมันทนไม่ไหวกลับร่างคืนกายเป็นมนุษย์แล้ววิ่งหนีเข้าป่าไป
ฟุบ!
เสียงของเสือดาวหิมะตัวใหญ่ล้มลงบนพื้น ก่อนจะค่อยๆ เปลี่ยนร่างเป็นหญิงสาวนางหนึ่ง เหอเจ่อฮั่นเดินโซเซไปประคองเป้าจื่อไป๋ลุกขึ้นจากพื้น ก่อนที่เขาจะต้องเบิกตากว้างพร้อมกับร้องเสียงหลง เมื่ออยู่ๆ ร่างของซ่งหานหลิ่งก็ล้มฟุบไป
“อาหลิ่ง!”
“คุณชาย!”