บทที่ 4
บุรุษมากเล่ห์
เหอเจ่อฮั่นยืนเคว้งคว้างอยู่หน้ากองไฟที่กำลังคุกรุ่น เช่นเดียวกับอารมณ์ของบุรุษผู้นั่งอยู่ตรงข้ามกับเขาในยามนี้
“อาหลิ่ง~” เหอเจ่อฮั่นเอ่ยเรียกเสียงอ่อย ยามนี้พื้นดินที่ใช้ใบไม้ปูรองนั่งร้อนเกินไปจนเขานั่งไม่ติด
“ข้าขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจจะหลอกลวงเจ้า เพียงแต่ข้า...ข้า”
“ข้าอะไร? พูดต่อให้จบสิ” ซ่งหานหลิ่งเอ่ยถามเสียงห้วน
หมอหนุ่มเสียความรู้สึกไม่น้อยที่ถูกอีกฝ่ายแกล้งหลอก เขาหรืออุตส่าห์รีบออกจากป่าเพื่อพาอีกฝ่ายไปหาผู้เป็นตา เพราะกลัวว่าเหอเจ่อฮั่นจะกลายเป็นเด็กไม่รู้ความไปตลอดชีวิต แต่กลับกลายเป็นว่าเขาถูกอีกฝ่ายหลอกเสียจนเปื่อยไปเสียนี่
“ก็ข้ากลัว...เจ้าไม่ไยดีข้าเลย พอรักษาบาดแผลของข้าหาย เจ้าก็จะให้ไล่ข้ากลับ ไม่สนใจเลยว่าข้าจะเผชิญหน้ากับอันตรายใดบ้างในป่านี้ ทั้งๆ ที่หลายปีก่อนเราเป็นสหายกันแท้ๆ” เหอเจ่อฮั่นเอ่ยแล้วก็ตีสีหน้าสลด
ได้ฟังความจากปากเหอเจ่อฮั่นแล้วหมอหนุ่มก็ถอนหายใจ คนผู้นี้ไยจึงมีความคิดเป็นเด็กได้เช่นนี้นะ?
จริงอยู่ว่าหากรักษาบาดแผลบนร่างกายของเขาหายดี แล้วเขาจะถูกส่งตัวกลับ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะถูกปล่อยทิ้งให้เดินตามลำพังในป่าเสียเมื่อใด
“เจ้าก็เลยแกล้งทำตัวเป็นเด็ก เพื่อที่จะให้ข้าเป็นห่วง โดยที่ไม่รู้ตัวเองเลยว่าก่อนหน้านี้เจ้าไปโดนอะไรมา”
“ข้าไปโดนอะไรมา?” เหอเจ่อฮั่นเอ่ยถามอย่างโง่งม
ซ่งหานหลิ่งพ่นลมหายใจทิ้งครั้งหนึ่ง “เช่นนั้นเจ้าบอกข้ามา ว่าหลายวันก่อนหน้านั้นเจ้าได้เดินออกจากเรือนไม้ไผ่ไปที่ใดหรือไม่”
หากเหอเจ่อฮั่นตอบว่าไม่ ก็แสดงว่าเป็นเขาที่คิดไปเองว่าอีกฝ่ายเดินเข้าไปในป่า แล้วไปเจอกับไก่เจ็ดสีเข้า ทั้งถูกพิษกลลืมกายของมันมา แต่แท้ที่จริงแล้วกลับเป็นเพียงเล่ห์กลมารยาของบุรุษผู้นี้
“ข้า...ข้าออกจากเรือนไปในป่าจริง แต่เพียงแค่ชั่วครู่เดียวเท่านั้น” เหอเจ่อฮั่นเอ่ยตอบ
“แล้วพบเจออะไรบ้าง”
คนถูกถามส่ายหน้า “ไม่เจออะไรเป็นพิเศษ ข้าเจอแค่ไก่สีรุ้งตัวเดียวเท่านั้น ข้าคิดจะจับมัน แต่ยังไม่ทันได้ขุดหลุมดักสัตว์มันก็หายตัวไปเสียก่อน”
ซ่งหานหลิ่งถอนหายใจทิ้งอีกครั้ง คราวนี้เขาถอนหายใจออกไปด้วยความโล่งอก ที่อย่างน้อยๆ เขาก็คาดเดาถูก ว่าอีกฝ่ายถูกมนตร์กลลืมกายของไก่เจ็ดสีมาจริงๆ
“ไก่ตัวนั้นมีชื่อว่าไก่เจ็ดสี เป็นสัตว์อสูรระดับกลาง ความอันตรายของมันคือเมื่อผู้ใดจับต้องปีกขนของมันในขณะที่มันยังมีชีวิตอยู่ จะทำให้คนคนนั้นกลายเป็นเด็กที่มีพัฒนาการถอยหลัง ทั้งยังสติเลอะเลือน สุดท้ายจะกลายเป็นคนพิการและตายลงไปในที่สุด” ซ่งหานหลิ่งอธิบาย
“หมายความว่าข้าถูกไก่อสูรนั่นเล่นงานเข้าแล้วอย่างนั้นรึ!” เหอเจ่อฮั่นเอ่ยถามตาโต ทั้งยังกระโดดเข้าไปประชิดตัวคนที่เป็นหมอ
“เช่นนั้นจะทำอย่างไรดี อาหลิ่งช่วยข้าด้วย”
“ช่วยรึ?” ซ่งหานหลิ่งเอ่ยถาม ทั้งยังมองคนที่เกาะแขนตนเองอยู่ด้วยหางตา
“อื้อ...หรืออาหลิ่งจะไม่ช่วยข้าเล่า” เหอเจ่อฮั่นเอ่ยอู้อี้
“อาฮั่น” ซ่งหานหลิ่งเอ่ยเรียกอีกคนด้วยน้ำเสียงอ่อนอกอ่อนใจ “ข้ารักษาอาการที่ถูกกลลืมกายนั่นให้เจ้าแล้ว แต่เจ้ากลับทำข้าสับสนไปหมด”
“เช่นนั้นก็หมายความว่าข้าหายแล้ว ไม่ได้เป็นอะไรแล้ว”
ซ่งหานหลิ่งหันมองหน้า ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ถามตัวเจ้าเองเถิด ว่ายามนี้เจ้ากลับมาเป็นดังเช่นปกติแล้วหรือยัง หรือว่ายังเป็นเพียงเด็กน้อยไม่รู้ความอยู่ ซึ่งถ้าหากว่าเป็นอย่างหลังข้าจะได้รีบหาสถานที่เหมาะๆ ให้เจ้า”
“หาสถานที่เหมาะๆ? หาทำไม”
“ฝังเจ้าอย่างไรเล่า” ซ่งหานหลิ่งเอ่ยวาจาไร้ใจได้หน้านิ่งเป็นที่สุด
แต่ถึงกระนั้นเหอเจ่อฮั่นกลับไม่กล้าโต้ตอบชายหนุ่มแม้แต่ครึ่งคำ ทั้งยังมองจ้องซ่งหานหลิ่งด้วยแววตาสำนึกผิด
ไม่รู้ว่าสองหนุ่มใช้เวลาหมดไปเท่าใดในการปรับความเข้าใจกัน เพราะเมื่อหันหน้ากลับมามองสตรีเพียงหนึ่งเดียวอีกทีก็พบว่านางหลับใหลไปแล้ว ทั้งยังกลายร่างเป็นเสือดาวตัวใหญ่อีกครั้ง
“ตกลงนางเป็นตัวอะไรกันแน่” เหอเจ่อฮั่นเอ่ยลอยๆ
ซ่งหานหลิ่งมองร่างเสือดาวตัวใหญ่ด้วยสีหน้าครุ่นคิด เมื่อมาอยู่ใกล้ๆ กองไฟ พวกเขาถึงได้รู้ว่าแท้จริงแล้วเสือดาวตัวนี้ไม่ใช่เสือดาวธรรมดา เพราะนอกจากจะตัวใหญ่กว่าเสือดาวโดยทั่วไปแล้ว ขนทั้งตัวยังมีสีขาวและมีขนสีดำจางๆ อยู่เป็นจุดๆ ซึ่งเป็นลักษณะเด่นของเสือดาว และอีกส่วนที่แตกต่างไปจากเสือดาวทั่วไปก็คือหาง หางของเสือดาวตัวขาวใหญ่ยักษ์ตัวนี้ทั้งยาว และฟูนุ่มราวกับหางของจิ้งจอกอย่างไรอย่างนั้น
“เป็นเสือดาวหิมะ”
“เสือดาวหิมะ?”
“อืม...เป็นสัตว์อสูรที่ไม่ค่อยมีใครพบเห็นมาหลายร้อยปีแล้ว” ซ่งหานหลิ่งอธิบายเพิ่ม
เดิมทีสัตว์อสูรไม่ว่าจะเป็นชนิดใดก็เป็นที่พบเห็นได้ยากอยู่แล้ว ยิ่งถ้าเป็นสัตว์อสูรที่ไม่ถูกพบเห็นมาหลายร้อยปีเช่นนี้ หากไม่มีผู้ใดรู้จักก็คงจะไม่ใช่เรื่องแปลกอันใด
“โชคดีที่ไม่มีใครรู้จักสัตว์อสูรชนิดนี้ ไม่อย่างนั้นนางคงหนีไม่รอดมาจนเจอเจ้ากับข้า”
เหอเจ่อฮั่นพยักหน้าเห็นด้วย หากเป็นเสือดาวหิมะจริงอย่างที่อาหลิ่งว่า แมวน้อยตัวใหญ่ยักษ์ตัวนี้คงไม่มีโอกาสได้มานอนหลับอุตุอยู่อย่างเช่นตอนนี้แน่
“ว่าแต่เราจะทำอย่างไรกับนางต่อไป” เหอเจ่อฮั่นเอ่ยถาม สายตาก็คอยมองดูแมวยักษ์ตัวสีขาวที่กำลังหลับอยู่ด้วยความสนอกสนใจ
เพราะเป็นเสือดาวหิมะนี่เอง เมื่อครั้งกลายร่างเป็นมนุษย์ถึงได้มีผิวขาวโดดเด่น เพราะขนาดตอนนี้ที่อยู่ในร่างเสือดาวยังมีขนขาวราวกับหิมะ ทั้งยังปุกปุยนุ่มฟูดูน่ารักน่าเอ็นดู
“ถามข้าด้วยเหตุใดเล่า ในเมื่อยามนี้นางเป็นสัตว์อสูรคู่พันธะของเจ้า” ซ่งหานหลิ่งเอ่ยตอบอย่างเย็นชา ก่อนจะล้มตัวลงนอนโดยไม่สนใจอีกฝ่ายอีก
พอรุ่งเช้ามาถึง เหอเจ่อฮั่นก็ต้องตกใจจนสะดุ้งอีกรอบ เมื่ออยู่ดีๆ เขาก็ตื่นขึ้นมาเจอสตรีผิวขาวเข้ามานอนอยู่ใกล้ๆ ในระยะห่างไม่ถึงหนึ่งช่วงแขน
“นะ...นี่!” ชายหนุ่มพูดไม่ออก ได้แต่ค่อยๆ ขยับกายถอยออกห่างด้วยความลำบาก
ซ่งหานหลิ่งหรี่ตามองภาพนั้นแล้วก็กลั้นขำ เหอเจ่อฮั่นกลายเป็นโรคกลัวสตรีไปแล้วหรืออย่างไร ทีกับเขามีแต่กอดแขนแน่นอ้อนเอาๆ ราวกับเด็กน้อย...
แต่เอ๊ะ?
มันต้องไม่ใช่อย่างนั้นสิ!
กลางยามเฉิน (07.00-08.59น.) หนึ่งสตรีสองบุรุษก็พากันออกเดินทางต่อ ก่อนหน้านี้พวกเขาพูดคุยปรึกษากันว่าจะพากันเดินไปตามทิศทางใด เพื่อที่จะสามารถไปให้ถึงจุดมุ่งหมายโดยเร็วที่สุด
ทว่าก่อนจะได้ออกเดินทาง ก็มีเรื่องเกิดปวดหัวเกิดขึ้นมาอีก เมื่อซ่งหานหลิ่งเอ่ยออกมาว่าเขาจะส่งสองนายบ่าวถึงเพียงแค่ชายป่าเชิงเขาด้านล่างเท่านั้น ซึ่งหลังจากนั้นก็ทางใครทางมัน
แต่ด้วยการรบเร้าของเหอเจ่อฮั่น บวกกับอาการราวกับหมาหงอยที่ถูกเจ้าของทิ้งของเป้าจื่อไป๋ ทำให้ซ่งหานหลิ่งยอมใจอ่อนในที่สุด
ด้วยเพราะความรู้สึกสงสาร ในตอนแรกเขาจึงตั้งใจจะรับเป้าจื่อไป๋เป็นอสูรคู่พันธะ ทั้งอีกฝ่ายยังมีชะตากรรมถูกมนุษย์รังเกียจ ราวกับว่านางเป็นตัวหายนะเช่นเดียวกันกับผู้เป็นน้องสาวของเขาที่ตายไป ชายหนุ่มจึงตั้งใจจะรับเอาอีกฝ่ายมาดูแลปกป้อง และอาศัยอยู่อย่างเงียบสงบภายในป่า
แต่เพราะความแปลกประหลาดและขยันทำในสิ่งที่คาดไม่ถึงของเหอเจ่อฮั่นผู้นั้น ทำให้แผนการที่เขาคิดไว้พังลงทั้งๆ ที่ยังไม่ได้เริ่มลงมือทำอะไร
และไหนๆ ก็เดินทางออกมาไกลแล้ว หากจะหันหลังกลับก็ดูเหมือนจะเป็นเรื่องเสียเวลาและเปล่าประโยชน์เกินไป ซ่งหานหลิ่งจึงโอกาสนี้กลับถังหนานไปเยี่ยมครอบครัวดูสักครั้ง หลังจากที่ไม่ได้พบหน้าคร่าตาพวกเขามานานห้าปีแล้ว
“คุณชายพวกเราจะไปที่ใดกันเจ้าคะ” เป้าจื่อไป๋ถามหาจุดหมายปลายทาง เหตุการณ์ที่นางถูกชาวบ้านขับไล่และหมายจะเผานางทั้งเป็นยังฝังอยู่ในหัว
นางกลัว...กลัวว่าเจอกับมนุษย์ใจร้ายพวกนั้นอีก
“เจ้าเป็นอสูรคู่พันธะของข้านะ มีอะไรก็ถามข้าสิ อีกอย่าง...เจ้าจะเข้าใกล้บุรุษเช่นนี้ไม่ได้” เหอเจ่อฮั่นเอ่ยพร้อมเดินเข้ามาแทรกตรงกลาง
เป้าจื่อไป๋หน้ามุ่ยที่ถูกดุ ซ่งหานหลิ่งส่ายหน้าด้วยความระอา บุรุษผู้นี้ช่างหยาบคายเสียจริง
“เป็นสตรีต้องรักนวล จะเข้าไปใกล้บุรุษที่ไม่ใช่สามีตนมากเกินไปไม่ได้ กับบิดาหรือพี่ชายยังต้องเว้นระยะห่างอย่างเหมาะสม นับประสาอะไรกับชายแปลกหน้า” เหอเจ่อฮั่นยังบ่นต่อ
“ไป๋เอ๋อร์ก็แค่ถามถึงที่หมายที่จะไป เจ้าจะบ่นยาวพูดมากไปทำไมกันอาฮั่น อีกอย่างเจ้ามิใช่มารดาของนางเสียหน่อย”
ซ่งหานหลิ่งเอ่ยปากว่า ทำเอาคนถูกว่าตีสีหน้าไม่ถูก เพราะไม่รู้จะโกรธหรือแปลกใจดีที่อีกฝ่ายเปิดปากพูดมากมายขนาด ทั้งที่ปกติเป็นคนเงียบขรึมเย็นชา
แต่จะว่าไปแล้ว...สองสามวันมานี้ ซ่งหานหลิ่งก็เหมือนจะพูดมากเกินปกติวิสัยของเขาอยู่ไม่น้อย…
อีกทั้งยังเรียกกันเสียสนิทสนม ทั้งที่เพิ่งพบหน้ากันแท้ๆ ไป๋องไป๋เอ๋อร์อะไรกัน!
“แต่ข้าเป็นเจ้านายของนาง นางจะต้องเชื่อฟังข้าสิจึงจะถูก”
“เจ้านายที่ลอบผูกพันธะโดยที่นางไม่รู้ตัวและไม่ได้สมัครใจยินยอมติดตาม เจ้านายแบบนี้น่ายกย่องชื่นชมนักรึ?”
“อาหลิ่ง! ไยเจ้าต้องปกป้องนางด้วย” เหอเจ่อฮั่นร้องถาม อารมณ์น้อยใจระคนขัดใจเริ่มเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ
“แล้วไยเจ้าต้องมีอคติกับนางด้วย” ซ่งหานหลิ่งสวนกลับ
“ก็เพราะเจ้า!...” เหอเจ่อฮั่นกำลังจะบอกว่า ก็เพราะเจ้าสนใจนางมากกว่าข้า แต่ยังยั้งปากตัวเองไว้ได้ทัน “ช่างเถอะ!”
“เพราะข้า?...”
“คุณชาย นายท่าน ท่านทั้งสองอย่าทะเลาะกันอีกเลยเจ้าค่ะ”
หญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวเอ่ยปากห้าม แม้ว่าความจริงแล้วนางไม่ควรสอดปาก แต่บุรุษทั้งสองคนนี้กำลังมีปากเสียงกันเพราะนางเป็นต้นเหตุ
คนถูกห้ามทั้งสองมองหน้ากัน ก่อนที่ต่างฝ่ายจะต่างสะบัดหน้าหนี
เป้าจื่อไป๋มองบุรุษทั้งสองคนตาปริบ บุรุษสองคนกำลังถกเถียงกันอยู่ตรงหน้า แต่เหตุใดนางจึงได้รู้สึกราวกับว่ากำลังเห็นภาพของสามีภรรยาแง่งอนกันอยู่?
นี่นางคิดมากไปเองใช่หรือไม่?
บุรุษรูปงามทั้งสองคนจะกลายเป็นสามีภรรยากันได้อย่างไร?
แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีตัวอย่างให้เห็นเสียเมื่อใด...
เป้าจื่อไป๋ส่ายหน้าไปมาด้วยความสับสน ก่อนจะรีบสาวเท้าวิ่งตามบุรุษทั้งสองไป เมื่อนางเห็นว่าพวกเขาเดินนำหน้าไปไกลแล้ว
“ไป๋เอ๋อร์ เสื้อผ้าของเจ้าทำมาจากฝ้ายมายาใช่หรือไม่?” ซ่งหานหลิ่งเอ่ยถาม ยามนี้พวกเขาทั้งสามกำลังนั่งพักอยู่ริมแม่น้ำสายหนึ่ง
จากประสบการณ์การวิ่งหนีชาวบ้านของเป้าจื่อไป๋ ทำให้พวกเขารู้ว่าจุดที่พวกเขาอยู่ในตอนนี้ห่างจากชายแดนของแคว้นหนานไห่ไม่ไกลนัก คาดว่าใช้เวลาเดินทางอีกราวห้าวันก็ถึงชายแดนแล้ว ซึ่งหมู่บ้านที่เป้าจื่อไป๋เคยอาศัยอยู่นั้น เป็นหมู่บ้านห่างไกลติดกับชายแดนตงฟู่ ทว่าหมู่บ้านนั้นกลับเป็นดินแดนของแคว้นเป่ยจ้าว
“ฝ้ายมายา...ฝ้ายมายาคือสิ่งใดเจ้าคะคุณชาย?” คนถูกถามทำหน้างง
“ก็คือสิ่งที่เจ้าสวมใส่อยู่อย่างไรเล่า?” เหอเจ่อฮั่นเอ่ยบอก
ด้วยเพราะชุดที่นางสวมใส่ถูกถักทอมาจากฝ้ายมายานี่เอง ทำให้เขารู้สึกโชคดีมาก ที่ไม่ต้องตื่นมาเห็นเรือนร่างของอิสตรี ที่พาตัวเองมานอนอยู่ข้างๆ เขาตั้งแต่เมื่อใดก็สุดจะรู้
“เสื้อผ้าของข้า?” เป้าจื่อไป๋ยังไม่หายงุนงง
“ฝ้ายมายาเป็นฝ้ายชนิดพิเศษที่สามารถหดและขยายตามรูปร่างของผู้สวมใส่ได้ ทั้งยังมีคุณสมบัติพิเศษ ไม่เปียกน้ำและไม่สกปรก อีกทั้งยังสามารถรักษาระดับความเย็นความร้อนได้ดี ทำให้ผู้ใส่ชุดที่ทำด้วยฝ้ายชนิดนี้รู้สึกสบาย หน้าร้อนไม่ร้อน หน้าหนาวอบอุ่น”
ซ่งหานหลิ่งอธิบายเพิ่ม ทว่ายิ่งเห็นเป้าจื่อไป๋มีสีหน้าตื่นตะลึง ราวกับว่าเพิ่งรับรู้คุณสมบัติของเสื้อผ้าที่ตัวเองใส่อยู่เป็นครั้งแรก บุรุษทั้งสองก็ถึงกับหันมองหน้ากัน
“ยะ...ยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้เชียวหรือเจ้าคะ?”
ซ่งหานหลิ่งพยักหน้ารับ “ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น ว่ากันว่าต้นฝ้ายมายานั้นอาศัยพลังปราณในการเจริญเติบโต ต่อให้ไม่รดน้ำใส่ปุ๋ยก็ไม่ตาย แต่หากวันใดไม่รับพลังปราณไปหล่อเลี้ยง ไม่เกินสามวันต้นฝ้ายมายานั้นก็จะตายลง อีกทั้งต้นฝ้ายมายานี้ยังแตกต่างจากผ้ายธรรมดาทั่วไปตรงที่ใบมีสีแดงและที่สำคัญคือมันมีพิษ”
เป้าจื่อไป๋นั่งฟังด้วยความตั้งใจ นี่นับเป็นความรู้แปลกใหม่ที่นางเพิ่งได้รู้เป็นครั้งแรกในชีวิต
“ว่าแต่เจ้าได้ชุดนี้มาอย่างไร?”
เหอเจ่อฮั่นเอ่ยถาม ในใจเริ่มคิดทบทวนถึงความไม่ธรรมดาของคู่พันธะตน เพราะแค่เสื้อผ้าของนางก็เลิศล้ำเกินหน้าเขาไปหลายส่วนแล้ว ทว่าท่าทางของนางกลับไม่คล้ายอาการของผู้ที่ได้ครอบครองของดีมีค่าสักเท่าไหร่
“นี่เป็นชุดที่ท่านแม่ของข้าตัดให้ ท่านแม่บอกว่าเอาไว้ให้ข้าใส่ตอนอายุสิบห้าหนาว”
มารดาของนางบอกไว้เช่นนั้นจริงก่อนที่อีกฝ่ายจะตายจาก ทว่าไม่รู้ด้วยเหตุใดหลายวันก่อนนางจึงไม่รื้อค้นชุดนี้มาใส่ แต่พอใส่เพียงไม่นานก็เกิดเรื่องขึ้นกับตนเองเสียแล้ว
“แล้วตอนนี้เจ้าอายุเท่าใด?” เป็นเหอเจ่อฮั่นที่เอ่ยถามขึ้นอีก ทั้งยังมองอีกฝ่ายด้วยสายตาประเภทหนึ่ง
“สิบสี่ย่างสิบห้าหนาวเจ้าค่ะ” แม้จะเห็นผู้เป็นนายมองด้วยสายแปลกๆ ทว่าเป้าจื่อไป๋ก็ตอบออกไปอย่างไม่ใส่ใจ
“สิบสี่ย่างสิบห้าหนาว?” เหอเจ่อฮั่นทวน
“เจ้าค่ะ” เป้าจื่อไป๋รับคำอย่างพาซื่อ
เหอเจ่อฮั่นมองนางอีกครั้งด้วยตาสำรวจอย่างเปิดเผย ตั้งแต่หัวจรดเท้า สตรีผู้นี้ไม่เหมือนเด็กสาวอายุสิบสี่เลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะเป็นหน้าตาผิวพรรณ รูปร่างหรือส่วนสูงก็ล้วนแล้วแต่ไกลจากคำว่าเด็กสาวทั้งสิ้น เพราะร่างกายทุกส่วนของนางล้วนโตเต็มที่ราวกับสตรีโตเต็มวัยผู้หนึ่ง
“ทำไมหรือเจ้าคะ?” เมื่อเห็นอีกฝ่ายเพ่งพินิจตน คนที่ก้ำกึ่งระหว่างเด็กสาวและหญิงสาวจึงเอ่ยถามขึ้น
“ไม่มีอันใด ข้าเพียงแต่คิดว่าเจ้าน่าจะอายุสักประมาณสิบเก้ายี่สิบหนาว นึกไม่ถึงว่าเจ้ายังเด็กถึงเพียงนี้”
เหอเจ่อฮั่นเอ่ยตามที่ตนคิด ในขณะที่ซ่งหานหลิ่งกำลังทบทวนและคาดเดาเรื่องราวที่ผ่านมาของเป้าจื่อไป๋
นางเป็นครึ่งคนครึ่งสัตว์อสูร อันที่จริงสิ่งมีชีวิตประเภทนี้ไม่ได้พบเจอบ่อยนัก อาจจะเรียกได้ว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่พิเศษกว่ามนุษย์หรือสัตว์อสูรเสียด้วยซ้ำ เพราะนอกจากจะเป็นอสูรที่มีกายหยาบเช่นเดียวกับมนุษย์ได้โดยไม่ต้องเสียเวลาบำเพ็ญเพียรแล้ว ยังมีพละกำลังเหนือกว่ามนุษย์ธรรมดาอีกด้วย
แต่แล้วเหตุใดสิ่งมีชีวิตที่แสนวิเศษนี้จึงกลายเป็นตัวโง่งมไปได้ เพราะแม้แต่เสื้อผ้าที่สวมใส่นางยังไม่รู้เลยว่ามีความพิเศษเหนือเสื้อผ้าธรรมดาเพียงใด?
“ไป๋เอ๋อร์ ส่งมือมาให้ข้า” ซ่งหานหลิ่งเอ่ยกับคนที่กำลังมีสีหน้างุนงง
“เจ้าคิดว่านางไม่สบายเช่นนั้นหรืออาหลิ่ง?” เห็นสีหน้าของหมอหนุ่มแล้วเหอเจ่อฮั่นก็คิดหาเหตุผลที่เขาขอมือของสตรีไปจับได้เพียงแค่นั้น
อาหลิ่งเป็นหมอและเป็นคนมีเมตตา เขาแค่เพียงต้องการรักษาผู้ป่วยก็เท่านั้น
ซ่งหานหลิ่งพยักหน้ารับ ก่อนจะลงมือตรวจชีพจรเมื่อเป้าจื่อไป๋ส่งมือมา
“ไม่มีผู้ใดลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตนเองไปได้โดยไร้สาเหตุ” ชายหนุ่มกล่าวเพียงแค่นั้นแล้วหลับตาฟังจังหวะการเต้นของชีพจรของหญิงสาวด้วยความตั้งใจ
ชีพจรที่เต้นเร็วและช้าสลับกันทำให้หมอหนุ่มขมวดคิ้วเป็นปม เขาลืมตาขึ้นก่อนจะส่งพลังปราณสายหนึ่งเข้าไปยังจุดตันเถียนบนที่อยู่ตรงกลางระหว่างคิ้วทั้งสองข้างของนาง
“เป็นอย่างไรบ้าง?” เหอเจ่ออั่นเอ่ยถาม เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายลดมือลง
“นางบาดเจ็บอยู่จริงๆ” คนเป็นหมอเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเหนื่อยๆ
เท่าที่เขาส่งพลังปราณเข้าไปในร่างกายของฝ่าย ซ่งหานหลิ่งก็พบว่าบริเวณจุดตันเถียนบนของเป้าจื่อไป๋นั้น คล้ายกับว่าถูกผนึกไว้ด้วยพลังบางอย่างที่แข็งแกร่ง และไม่อาจรักษาได้ด้วยยาวิธีทางการแพทย์
“แล้วรักษาได้หรือไม่?” เหอเจ่อฮั่นเอ่ยถาม
ทว่าเมื่อเห็นสีหน้าเรียบนิ่งของหมอหนุ่มแล้ว ชายหนุ่มก็ได้แต่ตีสีหน้านิ่งๆ
“ข้าป่วย...ป่วยเป็นอะไรเจ้าคะ?” เพราะตั้งแต่ที่นางจำความได้ นางไม่เคยเจ็บป่วยเลยสักครั้ง
“ศีรษะของเจ้าอาจจะเคยได้รับบาดเจ็บจนสะเทือนไปถึงสมอง” ซ่งหานหลิ่งกล่าวนิ่งๆ ทว่าคนฟังกลับทำหน้าแหย
“ขะ...ข้าไม่เห็นจะจำได้เลยเจ้าค่ะคุณชาย”
“อาจจะเกิดขึ้นนานมากแล้วจนเจ้าไม่ได้ หรือไม่ก็อาจจะเกิดตั้งแต่ตอนที่เจ้ายังเด็กก็เป็นได้” เหอเจ่อฮั่นเอ่ยสรุป ก่อนจะหันหน้าไปทางคนที่เคยได้ชื่อว่าเป็นหมอเทวดา
“แต่ไป๋เอ๋อร์ เจ้าไม่ต้องกังวลใจไป ตราบใดที่อาหลิ่งอยู่ที่นี่ เขาจะต้องรักษาอาการป่วยของเจ้าได้อย่างแน่นอน ใช่หรือไม่อาหลิ่ง เจ้าไม่อาจปล่อยให้นางกลายเป็นคนสติไม่ดีที่หลงๆ ลืมอยู่แบบนี้ ข้าพูดถูกต้องหรือไม่?”
ท้ายประโยคเหอเจ่อฮั่นเอ่ยถามแกมบังคับ โดยที่ไม่ได้คำนึงเลยว่าคนที่ถูกถามนั้นจะมีสีหน้าและคำตอบเช่นไร
หากอาการป่วยของเป้าจื่อไป๋ไม่อาจรักษาให้หายเป็นปกติได้อย่างง่ายดาย เช่นนั้นเขาก็มีเหตุผลที่หนักแน่นมากพอจะรั้งให้อาหลิ่งอยู่ข้างกายของเขาไปได้อีกนาน
เพราะอย่างไรแล้ว...วันหนึ่งซ่งหานหลิ่งต้องหาทางเขี่ยเขาออกไปให้พ้นสายตาแน่ ซึ่งเขาจะไม่ยอมให้อีกฝ่ายได้ทำแบบนั้นอย่างเด็ดขาด
เขารึก็อุตส่าห์เดินทางมาตามตัวถึงบนเขาในป่าลึก เรื่องอะไรจะยอมให้อีกฝ่ายห่างจากข้างกายไปอย่างง่ายดาย?
บอกแล้วอย่างไรว่าเขาจะไม่มีทางปล่อยซ่งหานหลิ่งไปไหนอีกเด็ดขาด!
แค่ห้าปีที่ห่างกันนั้นก็มากมายเกินพอแล้ว...
“ว่าอย่างไรเล่าอาหลิ่ง เจ้าจะไม่ยอมรักษานางรึ?” เหอเจ่อฮั่นเลิกคิ้วถาม
“นางเป็นครึ่งอสูรที่ไร้ความเก่งกาจอีกทั้งยังโง่เขลา มีของวิเศษอยู่กับตัวแต่กลับไม่รู้ หากปล่อยนางทิ้งไว้กับบุรุษเสเพลเยี่ยงข้า...มิรู้ว่าวันข้างหน้าของนางจะลำบากมากเพียงใด ข้าเองก็มิใช่พวกรักหยกถนอมบุปผาเสียด้วยสิ”
เหอเจ่อฮั่นร่ายยาวถึงข้อเสียและความร้ายกาจเหลวไหลของตัวเอง ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนั้นก็เพื่อให้ซ่งหานหลิ่งเกิดความกังวล
เหตุใดเขาจะอ่านสายตาของบุรุษผู้นี้ไม่ออกเล่า ซ่งหานหลิ่งอ่อนไหวกับเรื่องที่เป้าจื่อไป๋จะถูกชาวบ้านเผาทั้งเป็นเพียงใด แค่มองลึกเข้าไปในดวงตาอีกฝ่ายเข้าก็แจ้งแก่ใจแล้ว
“คุณชาย...”
“ข้าจะช่วยรักษาอาการบาดเจ็บของเจ้า” ซ่งหานหลิ่งเอ่ยตอบทันควัน เมื่อเป้าจื่อไป๋กำลังจะเอ่ยปากถาม
“และเมื่อเจ้าหายดีจนสามารถดูแลตัวเองได้ เจ้าก็จงตัดแขนของบุรุษผู้นี้แล้วจากไปพร้อมกับอิสระเสีย” หมอหนุ่มว่าก่อนจะลุกเดินจากไป
“อาหลิ่ง!” เหอเจ่อฮั่นร้องตามเมื่อรู้สึกตัว ก่อนจะวิ่งตามซ่งหานหลิ่งไปพร้อมกับปากที่เรียกชื่ออีกฝ่ายไม่หยุด
เป็นอีกครั้งที่เป้าจื่อไป๋มองสองบุรุษตาปริบ เหตุใดนางจึงได้รู้สึกเหมือนเห็นสามีภรรยาทะเลาะกันอีกแล้ว...
นี่นางคิดเรื่องเหลวไหลอะไรกัน?